หลังจากนั้นเซี่ยปิงก็ไม่ได้หยุดแต่อย่างใด เพราะว่าเขายังจำเป็นต้องทำการทดสอบค่ายกลรูปแบบอื่นๆอีกมากมาย

นี่คือสิ่งที่เรียกว่าการปฏิบัตินำไปสู่ความรู้ที่แท้จริง ต่อให้ในตอนนี้เขาจะมีความรู้เชิงทฤษฎีอยู่ ทว่าหากไม่ได้เริ่มลงมือปฏิบัติจริงๆ มันก็เหมือนกับการวางแผนรบบนกระดาษ การที่ได้ติดตั้งค่ายกลด้วยตนเองนั้น มันจะนำไปสู่ความเข้าใจได้อย่างท่องแท้

ทว่าการที่ได้ติดตั้งค่ายกลรวบรวมพลังฉีไว้ที่เกาะไจแอนแล้วนั้น ดังนั้นเซี่ยปิงจึงต้องไปที่เกาะอื่นๆเพื่อติดตั้งค่ายกลที่แตกต่างออกไป

ข่าวเรื่องนี้ก็ได้แพร่งพรายไปสู่เหล่าผู้นำระดับสูงของรัฐบาลโลกอย่างรวดเร็ว พวกเขาต่างก็มีดีใจกันอย่างมาก ทันใดนั้นก็ได้เชิญชวนเซี่ยปิงให้เข้ามาติดตั้งค่ายกลในเกาะสำคัญต่างๆของเผ่าพันธุ์มนุษย์

อีกทั้งพวกเขาก็เต็มใจที่จะมอบหินหยกจำนวนมหาศาลและมอบกำลังคนมากมายเพื่อช่วยเหลือเช่นกัน

เพราะว่าถึงอย่างไรแล้ว ตอนนี้เกาะไจแอนก็ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าอัศจรรย์จริงๆ ราชันมนุษย์ในสถานที่อื่นๆต่างก็อิจฉา ตอนนี้เกาะไจแอนนั้นได้กลายเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการบ่มเพาะที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ก็ว่าได้

ราคาอสังหาริมทรัพย์บนเกาะไจแอนก็ได้เพิ่มขึ้นมาอย่างมากเช่นกัน เพิ่มขึ้นมาหลายเท่า ผู้คนของตระกูลที่ยิ่งใหญ่ต่างก็ต้องการที่จะย้ายเข้าไปอยู่บนเกาะแห่งนี้ เพราะว่าถึงอย่างไรการที่บ่มเพาะบนเกาะนี้นั้น มันจะมีพัฒนาการที่รวดเร็วอย่างถึงที่สุด เป็นการได้ผลลัพธ์มาสองเท่าทั้งที่ใช้ความพยายามเพียงแค่ครึ่งเดียว

เซี่ยปิงก็ไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด การที่มีความช่วยเหลือของรัฐบาลโลกนั้น ไม่รู้ว่าจะประหยัดระยะเวลาเขาไปได้มากแค่ไหน ยินดีที่จะให้ความร่วมมือกับรัฐบาลโลก ทำให้พื้นที่ทั่วทั้งโลกแห่งเมฆากลายเป็นฐานทดลองของเขา

ในขณะที่เซี่ยปิงทำการติดตั้งค่ายกลรวบรวมพลังฉีแต่ละที่นั้น เขาก็ค้นพบว่าไม่ใช่ทุกๆที่จะเหมาสมสำหรับการติดตั้งค่ายกลรวบรวมพลังฉีแปดทิศ

ปกติแล้วค่ายกลรวบรวมพลังฉีนั้นจะต้องดำเนินการตามสภาพของท้องที่นั้นๆเช่นกัน

เหตุผลที่เกาะไจแอนเหมาะสมกับการติดตั้งค่ายกลรวบรวมพลังฉีแปดทิศนั้น เป็นเพราะว่าในบริเวณใกล้เคียงมีชีพจรพลังฉีอยู่แปดจุดด้วยกัน ดังนั้นจึงสามารถที่จะติดตั้งฐานค่ายกลนี้ได้ ดึงดูดพลังงานของชีพจรพลังฉีทั้งแปดเข้ามา

ทว่าในบางสถานที่นั้นมีชีพจรพลังฉีเพียงแค่จุดเดียว ไม่ก็มีประมาณ3-4จุดเท่านั้น มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะติดตั้งค่ายกลรวบรวมพลังฉีแปดทิศในสถานที่เหล่านี้

ทว่ายอดปรมาจารย์ด้านค่ายกลนั้นจะแตกต่างออกไปจากเซี่ยปิง พวกเขาไม่จำเป็นที่จะต้องหาสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม สามารถที่จะพึ่งพาเพียงแค่พลังอำนาจตนเองได้ เปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของโลก ต้องการที่จะติดตั้งค่ายกลใดๆก็สามารถที่จะติดตั้งได้

เห็นได้ชัดว่าเซี่ยปิงนั้นยังไม่ได้พัฒนาไปจนถึงระดับนั้น ทำได้เพียงแค่ดำเนินการตามสภาพของท้องที่ที่แตกต่างกัน

………….

หนึ่งเดือนต่อมา

เพราะว่าเซี่ยปิงได้ติดตั้งค่ายกลในทุกๆที่นั้น ทั่วทั้งโลกแห่งเมฆาก็ได้เปลี่ยนแปลงไปราวกับฟ้ากับเหว

เกาะบางเกาะที่ถูกเขาติดตั้งค่ายกลหมอกไว้ พื้นที่ในระยะนับร้อยกิโลเมตรปกคลุมไปด้วยหมอกหนา อีกทั้งยังสามารถรบกวนแม้กระทั่งคลื่นแม่เหล็ก ยานอวกาศที่เข้ามาจะต้องสูญเสียทิศทางการบิน สถานที่แห่งนี้ก็ถูกระบุให้เป็นสถานที่ต้องห้ามสำหรับปีศาจใต้ท้องทะเลเช่นกันและถูกเรียกว่าเกาะหมอกทึบ

บางเกาะที่เขาได้ติดตั้งค่ายกลเขาวงกตนั้น เหมือนกับว่าสิ่งมีชีวิตใดๆที่บุกรุกเข้ามาในสถานที่แห่งนี้นั้น จะเป็นเหมือนกับการเข้ามาในเขาวงกตก็ว่าได้ หากไม่มีผู้เชี่ยวชาญในด้านค่ายกลเข้ามาด้วย ทั้งชีวิตนี้ก็จะหลงทางอยู่ในเขาวงกตนี้โดยที่ไม่สามารถออกไปได้

เขาก็ได้ไปที่เมืองทะเลทรายตะวันตกของมนุษย์เช่นกันและได้ติดตั้งค่ายกลพายุทราย สามารถที่จะไหลเวียนพลังอำนาจของพายุทรายของโลกได้ เป็นเหมือนกับค่ายกลสังหาร ต่อให้ราชันเข้าไป ก็จะต้องถูกบีบรัดจนตายไป

นอกจากนี้เขาก็ได้เข้าไปในผืนป่าลึกเช่นกันและติดตั้งค่ายกลรวบรวมธาตุไม้ที่เมืองมนุษย์แห่งหนึ่งซึ่งอยู่ลึกเข้าไป สามารถที่จะควบคุมพืชในพื้นที่รัศมีหลายร้อยกิโลเมตรได้ ไหลเวียนพลังอำนาจธาตุไม้ของโลก อีกทั้งยังสามารถที่จะต้านทานกองทัพของทหารนับพันได้

ทว่าด้วยการปรากฏของค่ายกลเหล่านี้ นี่ก็ทำให้ปีศาจและปีศาจใต้ท้องทะเลจำนวนนับไม่ถ้วนตกตะลึง เหมือนกับว่าระดับการป้องกันเมืองมนุษย์จะสูงขึ้นมาอย่างมาก น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าเดิม

หากมีปีศาจใดๆกล้าที่จะบุกรุกเข้าไปอย่างสิ้นคิดล่ะก็ จะต้องตายอย่างแน่นอน

“ในที่สุดก็เข้าใจทั้งหมด”

ในช่วงเวลานี้ เซี่ยปิงได้กลับมาสู่วิลล่าของตนเองภายในเกาะไจแอน เขาได้ลืมตาขึ้นมา เผยให้เห็นแสงลึกลับที่ส่องประกาย

หลังจากระยะเวลาหนึ่งเดือนของการฝึกฝนและด้วยความช่วยเหลือจากรัฐบาลโลกนั้น เขาก็ได้ติดตั้งฐานค่ายกลกว่าพันแห่ง ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ค่ายกลพื้นฐาน ทว่ามันก็ทำให้เซี่ยปิงได้รับผลประโยชน์มาอย่างมาก เข้าใจได้ถึงปริศนาและความลับต่างๆของค่ายกล

หากก่อนหน้านี้ เขาเป็นเพียงแค่ปรมาจารย์ด้านทฤษฎีเท่านั้น ทว่าตอนนี้แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ตราบใดที่เขาต้องการ เขาก็สามารถที่จะติดตั้งค่ายกลที่ยิ่งใหญ่รูปแบบต่างๆได้ ดึงพลังอำนาจของสวรรค์และโลกเข้ามา

เพราะว่าพัฒนาการของเขาในด้านค่ายกลนั้น มันก็ทำให้พลังเวทมนตร์ของเขาพัฒนาขึ้นมาอย่างมากเช่นกัน สามารถที่จะควบคุมพลังเวทมนตร์ได้อย่างอิสระมากขึ้น อยู่ในขั้นที่สมบูรณ์แบบ

“ดูเหมือนว่าขั้นตอนต่อไปจะเป็นการหล่อหลอมสิ่งประดิษฐ์เวทมนตร์พลังชีวิต”

เมื่อเซี่ยปิงรู้สึกคุ้นเคยกับค่ายกลในรูปแบบต่างๆนั้น เขาก็ต้องการที่จะหล่อหลอมสิ่งประดิษฐ์เวทมนตร์พลังชีวิตของตนเอง

ไม่ว่ายอดฝีมือที่แท้จริงคนใด ก็จะต้องมีสิ่งประดิษฐ์เวทมนตร์พลังชีวิตของตนเอง สิ่งประดิษฐ์เวทมนตร์เช่นนี้จะเชื่อมโยงกับจิตวิญญาณของตนเอง สามารถที่จะแสดงพลังอำนาจที่มากกว่าสิ่งประดิษฐ์เวทมนตร์ทั่วไปได้หลายเท่า นี่เรียกได้ว่าเป็นไพ่ตายที่แท้จริงก็ว่าได้

ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งประดิษฐ์เวทมนตร์พลังชีวิตนั้นก็มีศักยภาพในการเติบโตเช่นกัน สามารถที่จะพัฒนาไปตามผู้ใช้ได้

มันเป็นเหมือนกับลูกปัดพิภพ ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นสิ่งประดิษฐ์เวทมนตร์พลังชีวิตของเซนต์พิภพ ทรงอำนาจอย่างมาก มอบผลประโยชน์นับไม่ถ้วนให้กับเซนต์พิภพ

“ดูเหมือนว่าวัตถุดิบจะไม่เพียงพอ”

เซี่ยปิงเอามือเท้าคาง เขาค้นพบว่าในตอนนี้ตนเองมีทรัพยากรที่ไม่เพียงพอ เขาได้ปล้นชิงความมั่งคั่งมาจากผู้คนมากมาย เก็บแร่หายากและสมุนไพรวิญญาณมหาศาลไว้ในลูกปัดพิภพ รวมถึงวัสดุต่างๆมากมาย

ทว่าวัตถุดิบเหล่านี้ก็ไม่ทรงพลังเพียงพอ เขาไม่สามารถที่จะหล่อหลอมสิ่งประดิษฐ์เวทมนตร์พลังชีวิตที่ทรงอำนาจด้วยวัตถุดิบเหล่านี้ได้ อีกทั้งเขาก็จำเป็นที่จะต้องมีแกนกลางของสิ่งประดิษฐ์เวทมนตร์เช่นกัน แกนกลางนี้จะต้องเป็นวัตถุดิบที่ล้ำค่าและหายากของจักรวาล เป็นสิ่งที่ล้ำค่าอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

น่าเสียดายที่ในตอนนี้ในตัวเขาไม่ได้สิ่งที่ล้ำค่าเช่นนี้อยู่

“ดูเหมือนว่าจะต้องออกเดินทางไปสู่จักรวาลอีกครั้ง ค้นหาแร่ที่ล้ำค่ามาหรือว่าวัสดุพิเศษที่หายาก” เซี่ยปิงคิดขึ้นมา คิดว่าในโลกแห่งเมฆานั้นคงจะไม่มีวัสดุที่เหมาะสมสำหรับการหล่อหลอมสิ่งประดิษฐ์เวทมนตร์พลังชีวิตของตนเอง จำเป็นที่จะต้องออกเดินทางไปสู่จักรวาล

ดิ้ง ดิ้ง!!

ในตอนนี้ เสียงเครื่องมือสื่อสารของเขาได้ดังขึ้นมา

“หืมม นี่มัน? เฟิงเหอตัง?”

เซี่ยปิงมองออกไปและค้นพบว่าผู้ที่ติดต่อเขามานั้นก็คือเฟิงเหอตังน้องเล็กที่ซื่อสัตย์ของตนเอง เขาก็ไม่ได้พบเจอเฟิงเหอตังมาเป็นระยะเวลานานเช่นกัน

เขาได้กดรับสายทันที ทันใดนั้นภาพเงาที่อ้วนท้วนของเฟิงเหอตังก็ได้ปรากฏขึ้นมาตรงหน้า

เซี่ยปิงขมวดคิ้วขึ้นมา เขาค้นพบว่าในตอนนี้เฟิงเหอตังมีพัฒนาการที่รวดเร็วอย่างมากเช่นกัน การที่ได้รับผลไม้วิญญาณห้าธาตุที่ตนเองมอบให้นั้น ในที่สุดเฟิงเหอตังก็ได้พัฒนาอย่างก้าวกระโดด ใช้ระยะเวลาหนึ่งปี เลื่อนขั้นไปในระดับราชวังสีม่วงขั้นเริ่มต้น กลายเป็นราชันมนุษย์

“พี่ใหญ่ โปรดให้ข้าติดตามพี่ใหญ่ไปในจักรวาลด้วยเถอะ”

เฟิงเหอตังพูดเข้าประเด็นทันที บอกเป้าหมายของตนเองโดยตรงพร้อมกับมองเซี่ยปิงด้วยสีหน้าที่น่าสงสาร

“ติดตามไปในจักรวาล? เจ้าต้องการที่จะออกไปจากโลกแห่งเมฆาหรือ?”

เซี่ยปิงถามขึ้นมา เขาก็ล่วงรู้ว่าด้วยพลังอำนาจของเฟิงเหอตังในตอนนี้และอิทธิพลที่เขาควบคุมอยู่นั้น จะสามารถแสวงหารายได้ที่มหาศาลในโลกแห่งเมฆาได้อย่างแน่นอน

ทว่าหากออกไปในจักรวาลนั้น เขาจะต้องทอดทิ้งความมั่งคั่งและอิทธิพลเหล่านี้ทั้งหมด จะต้องพลิกพันชีวิตของตนเองไปในอีกเส้นทางหนึ่ง

เพราะว่าท้ายที่สุดแล้ว พลังอำนาจระดับนี้ภายในจักรวาลนั้น ก็ถือว่าเป็นเพียงแค่มดปลวกเท่านั้น

“แน่นอน ข้าได้ติดสินใจแล้ว การที่จะอยู่ในโลกแห่งเมฆาต่อไปนั้นก็คงจะหยุดอยู่ในที่เดิม ไม่มีวันก้าวหน้าไปกว่านี้ได้ ดังนั้นข้าจึงต้องการที่จะติดตามพี่ใหญ่ออกไปสู่จักรวาลเช่นกัน” เฟิงเหอตังได้คิดไว้ก่อนแล้ว มีเพียงแค่การที่เขาเกาะแข้งเกาะขาของเซี่ยปิงเท่านั้น เขาจึงจะมีโอกาสในการพัฒนาไปได้ไกลกว่านี้

ยิ่งไปกว่านั้นในตอนนี้โลกแห่งเมฆาก็แตกต่างไปจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง เริ่มที่จะมีการติดต่อสื่อสารกับจักรวาล

หากปล่อยให้เวลาผ่านไป บางทีผู้บ่มเพาะในระดับกายาศักดิ์สิทธิ์ก็อาจจะเป็นเพียงแค่นักวิทยายุทธปกติธรรมดาก็เป็นได้

หากเขาอยู่ในโลกแห่งเมฆาต่อไปนั้น ในอนาคตจะต้องถูกทอดทิ้งโดยกาลเวลาอย่างแน่นอน แม้ว่าเขาจะต้องการเพลิดเพลินกับชีวิตสุขสบายก็เป็นไปไม่ได้ โลกนี้ไม่ใช่สถานที่ที่ใครจะสุขสบายได้ตลอดกาล ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา

“เอาล่ะ เก็บข้าวเก็บของซะ พวกเราจะออกเดินทางในอีกสามวันข้างหน้า”

เซี่ยปิงพยักหน้า เขาไม่ได้สนใจว่าตนเองจะต้องพาผู้คนกลับไปที่นิกายฟ้าดินเพิ่มอีกคนหนึ่ง