ส่วนที่ 5 ดอกเฟิ่งหวงผลิบาน ตอนที่ 4 ร่วมตกสู่แดนปรภพ (4)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

ก็เหมือนเทพแดนสวรรค์ทุกคนที่มีหน้าที่ของตนเอง หน้าที่เซินซูและอวี้ลวี่ก็คือป้องกันประตูเขาปู้โจวซานไม่ให้มีปรากฎการณ์แปลกปลอมปรากฏ ตอนกระบี่เปิงอวี้เสวียนจีส่งเสียงดัง พวกเขาก็รู้แล้วว่าแม่ทัพเทพสงครามผู้นั้นมาก่อเรื่องอีกแล้ว 

 

 

นี่เป็นคนที่น่าปวดหัว ไม่ใช่กำลังพวกเขาจะจัดการได้ ดังนั้นพอเห็นเสวียนจีบุกมา ในใจเซินซูและอวี้ลวี่ก็ยังหวังว่า ขอนางอย่าได้ลงมือพลการ เซินซูถึงกับกระแอมไอในลำคอ คิดจะพูดจากันด้วยเหตุผล ผู้ใดจะรู้ว่าเสวียนจีอ้อมหลังพวกเขาเข้าประตูแดนปรภพตตรงรอยแยกเขาปู้โจวซานไปเสียอย่างนั้น  

 

 

บุกแดนปรภพเป็นความผิดมหันต์ ทั้งสองรีบตะโกนรั้งไว้ “ท่านแม่ทัพ! เขตแดนคนตาย ไม่อาจบุกเข้าไปพลการ!” 

 

 

วาจาไม่ทันจบ ก็ได้ยินเสียงด้านล่างหัวเราะดังลั่นกล่าวว่า “เซินซู! อวี้ลวี่! พวกเจ้าสองคนอยากมาเล่นกับข้าไหม” 

 

 

ทั้งสองต่างตะลึงงัน อวี้ลวี่รู้ตัวเร็วกว่า พบทันทีว่าเป็นมกรที่ไม่ธรรมดา ในใจก็อดร้องตะโกนไม่ได้ แม่ทัพเทพสงครามมาคนหนึ่งก็พอให้ปวดหัวแล้ว ตอนนี้ยังมีมกรที่เกรงว่าโลกจะไม่วุ่นวายมาอีกคน เป็นเทพเฝ้าประตูนี่ลำบากลำบนจริง จะสนก็สนไม่ได้ จะไม่สนก็ไม่ได้  

 

 

เซินซูขมวดคิ้วกล่าวว่า “ใต้เท้ามกร…ใต้เท้าควรรู้กฎ ไยต้องทำให้พวกข้าลำบากใจ!” 

 

 

มกรร้องว่า “ถุย! เจ้าพวกไร้ความกล้าหาญ! วันๆ เอาแต่ร้องกฎๆ!” 

 

 

อวี้ลวี่ถอนหายใจ “เป็นคนเป็นเทพจะไม่มีกฎได้อย่างไร ใต้เท้ามกรสูงส่ง ยิ่งควรรู้หลักเหตุผลนี้…แต่เหตุใดใต้เท้าจึงมาที่นี่กับท่านแม่ทัพได้” 

 

 

มกรขี้เกียจอธิบาย ในเมื่อพวกเขาไม่กล้าต่อสู้กับตนเอง บีบไปก็ไร้ประโยชน์ เขาเห็นประตูแดนปรภพนั่นเปิดกกว้าง ด้านในมืดมิด ในใจอยู่ๆ ก็แวบความคิดขึ้นมา ยิ้มกล่าวว่า “พวกเรามาที่นี่ ย่อมมีเรื่องมาจัดการ ก็คือ…พวกเจ้าก็รู้ คนผู้นั้นไม่ใช่ถูกขังอยู่ในแดนปรภพหรือ” 

 

 

เซินซูและอวี้ลวี่สีหน้าพลันเปลี่ยน ร้อนใจกล่าวว่า “คนผู้นั้นทำไม?! ราชันสวรรค์มีบัญชาอะไรหรือ” 

 

 

มกรยิ้มกล่าวว่า “ให้พวกเรามาดู นำวาจาไปกล่าวกับเขา” 

 

 

อวี้ลวี้ไม่อยากมีเรื่อง พอได้ยินว่าราชันสวรรค์ฝากวาจามาก็รีบหลีกทางให้ไป เซินซูกลับหัวทื่อเถรตรง กล่าวเพียงว่า “ในเมื่อราชันสวรรค์มีรับสั่ง ก็ควรมีสิ่งนำ ปากว่าไร้หลักฐาน” 

 

 

มกรแค่นเสียงฮึ กล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “สมองสุกร! มิน่าเจ้าได้แต่เป็นเทพเฝ้าประตู! หากนำวาจาเปิดเผยมา ต้องมาให้พวกเจ้านำไป? ข้าไปเมืองนรกอี้ตูโดยตรงเลยดีกว่าไหม!” 

 

 

เซินซูฟังเขาว่ามาก็มีเหตุผล แต่ว่าเหตุใดจึงไม่ ‘เปิดเผย’ กัน เขาเห็นท่าทางดุร้ายของมกรแล้วก็ไม่กล้าถาม ได้แต่ประสานมือเปิดทาง 

 

 

แหะๆ เจ้าโง่สองตัว! มกรได้ใจบินเชิดหน้าผ่านสองเทพเข้าไป จิ้งจอกม่วงตามเขาเข้าไปอย่างเลื่อมใสยิ่ง พลางถาม “ใต้เท้ามกรจะไปแดนปรภพเยี่ยมเยียนอู๋จือฉีหรือ” 

 

 

มกรค้อนใส่นาง แค่นเสียงฮึ กล่าวว่า “โง่! ข้าจะไป…” พูดกันถึงตรงนี้ อยู่ๆ ก็คิดได้ เขาลงมาแดนมนุษย์ก็เพื่อไปแดนปรภพหาอู๋จือฉี ในเมื่อเซินซูและอวี้ลวี่ปล่อยแล้ว ทำไมเขาไม่ฉวยโอกาสไปแดนปรภพจริงๆ สักที? ก่อนหน้านี้ที่เขาบอกว่ามีวาจาจากราชันสวรรค์ล้วนเหลวไหลทั้งเพ คิดไม่ถึงว่าจะหลอกพวกเขาสองคนได้ โอกาสยากจะพานพบเช่นนี้ หากเขาไม่คว้าเอาไว้ย่อมต้องคั่งแค้นเสียใจไปชั่วชีวิต! 

 

 

“ข้า เอ่อ ข้าจะไม่ไปได้อย่างไร!” เขาเปลี่ยนเรื่องหน้าตาเฉย หัวเราะแหะๆ กล่าวว่า “ไป! ไปตอนนี้เลย! นังหญิงหน้าเหม็นล่ะ” เขามองไปรอบทิศ พลันเห็นเงาร่างชุดขาวลอยขึ้นมา เขารีบตะโกนดังอย่างดีใจขึ้นว่า “นี่! เจ้าสังหารหมดแล้วหรือยัง พวกเราไปแดนปรภพกัน!” 

 

 

เสวียนจีกำลังตั้งสมาธิไล่ล่าอูถง ไม่ได้ยินเสียงตะโกนเขาแม้แต่น้อย แม้ว่าอูถงจะถูกกระบี่นางฟันไปที แทงอีกที แต่ยังเคลื่อนไหวรวดเร็วจนน่าตกใจ เห็นชัดว่าเขาเชี่ยวชาญพื้นที่เขาปู้โจวซานนี่มากกว่านางมาก วกมาทางนี้ที อ้อมไปทางนั้นที เสวียนจีไล่ตามจนทนไม่ไหว น้ำเสียงดุดันกล่าวว่า “เจ้าหยุดนะ!” 

 

 

วาจาจบลง ผู้ใดจะคิดว่าเขาหยุดจริง คนผู้นี้ราวกับมักจะทำแต่เรื่องเหนือความคาดหมาย เสวียนจีไม่สนใจเขามีอุบายอะไร พุ่งเข้าไปกระชากเสื้อเขาไว้ อุบายก็ดี แผนร้ายก็ดี อย่างไรนางก็จะไม่ปล่อยมือ 

 

 

อูถงถูกนางคว้าไว้ ยังคงเผยรอยยิ้มบาง ใบหน้าเขามีทั้งเหงื่อทั้งเลือด ดูแล้วน่ากลัวมาก น้ำเสียงก็ไม่ได้อบอุ่น “ข้าจะตายแล้ว ขอบคุณที่เจ้านำข่าวมาบอกข้า ให้ข้าได้ดีใจ!” 

 

 

เสวียนจีตะลึงงัน อยู่ๆ พลันเข้าใจว่าเขาหมายถึงเรื่องจงหมิ่นเหยียนกับหลิงหลง รีบกล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “ทำเจ้าผิดหวังแล้ว ผู้ใดก็ไม่ตาย! เจ้าวางแผนไว้หมดรอบด้าน น่าเสียดายไม่สำเร็จสักอย่าง!” 

 

 

อูถงเจ็บปวดทั่วทั้งร่าง ความรู้สึกเลือนราง เขาราวกับไม่ได้ยินวาจาเสวียนจี ยังคงยิ้ม ยิ้มกว้าง กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ยามนี้ข้าเข้าใจแล้ว…มีชีวิตไม่มีอะไรให้ไล่ตาม สิ่งที่ข้าต้องการ ตายแล้วจึงได้รับ…” 

 

 

เสวียนจีมองดูเขาเหมือนจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม แววตาสับสน ก็ตกใจอยู่บ้าง กำลังจะผลักเขาออก พลันได้ยินเสียงเพลงเซินซูและอวี้ลวี้ดังเหนือศีรษะ ตามมาด้วยเสียงดังก้องฟ้า พวกเขาเหมือนกำลังจะปิดเขาปู้โจวซาน ได้เวลาปิดประตูใหญ่แดนปรภพแล้ว! 

 

 

นางกำลังจะหันหลังจากไป ผู้ใดจะรู้ว่าอูถงกลับคว้าข้อมือนางไว้แน่น มือเขาเย็นเยียบ ราวกับห่วงเหล็กคล้องข้อมือไว้แน่นหนา เจ็บจนนางตกใจตัวสั่น อูถงกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้า…เจ้าอย่าคิดหนี…ไปปรภพกับข้า! หลิงหลง…” 

 

 

อะไรนะ? เสวียนจีสูดลมหายใจลึก ยังไม่ทันได้บอกเขาว่าตนเองไม่ใช่หลิงหลง พลันก็มีแรงดึงดูดมหาศาลที่ไม่อาจต้านทานตรงหน้า ผมและเสื้อผ้าของทั้งสองต่างถูกพลังดึงดูดลากไป ผีร้ายด้านหลังส่งเสียงร้องระงม ร้องตะโกน ถูกประตูแดนปรภพดึงลากกลับมา เวลาแห่งอิสระผ่านไปแล้ว ได้เวลากลับแล้ว  

 

 

พริบตาเขาทั้งสองก็ถูกแรงดึงดูดนั้นลากถลาออกไปไกล มุ่งตรงไปด้านใน สุดท้ายยังคงเป็นเสวียนจีใช้เท้าเกี่ยวกับหินงอกถ้ำหนึ่งที่หน้าผาหินไว้ได้จึงหยุดลง เห็นชัดว่าแรงดึงดูดทวีขึ้นเรื่อยๆ คิดจะกระชากผีร้ายที่ปล่อยออกมาก่อนหน้ากลับเข้าไปให้หมด ข้อมือทั้งสองของเสวียนจีอูถงดึงไว้แน่น นางทานแรงสองคนไม่อยู่ ได้แต่ค่อยๆ หมดแรง เบื้องหน้าปรากฎถ้ำดำมืดและกว้างลึก ลมเย็นผสมเสียงร่ำไห้ รอบๆ มีผีร้ายถูกดูดเข้าไปไม่รู้เท่าไร ด้านหน้าก็คือแดนปรภพ! นางตะโกนสุดเสียง “ปล่อยข้า!” กล่าวจบก็ใช้อีกเท้าถีบเขาเต็มแรง การทำเช่นนี้ทำให้นางคว้าไว้ไม่อยู่ ถลาไปด้านหน้าอีกหลายฉื่อ กว่าจะหาที่คว้าไว้ได้อีกครั้งก็ไม่ง่าย  

 

 

แรงดึงดูดจากแดนปรภพยิ่งแรงขึ้นเรื่อยๆ ผสมกับเสียงร้องสะอื้นไห้และเสียงร้องโหยหวนเป็นระยะ ด้านในมีแต่ความมืดมิดผืนใหญ่ มองไม่เห็นอันใดทั้งสิ้น ภาพนี้ทำให้คนได้แต่ขนลุกหวาดกลัว ผมเสวียนจีปัดลงมาปรกใบหน้า บดบังวิสัยทัศน์ นางพยายามกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ข้า ข้าไม่ใช่หลิงหลง! เจ้าปล่อยมือเดี๋ยวนี้!” 

 

 

อูถงถูกแรงดึงดูดกระชากจนยืนไม่ติด ลำตัวเอนราบ แต่สองมือเขายังคงคว้านางไว้แน่น ไม่ยอมปล่อย ได้ยินเสวียนจีกล่าวเช่นนี้ เขาหัวเราะดังลั่น ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดสดๆ เผยให้เห็นฟันขาวเรียงวาววับ กล่าวน้ำเสียงเศร้าว่า “ข้าแม้ตายก็ไม่ปล่อยมือ!” 

 

 

กล่าวจบ เขาก็ยิ้มราวกับกำลังอยู่ในห้วงฝัน พึมพำกล่าวว่า “ใช่ ไม่ปล่อยมือ ครั้งนี้ข้าจะไม่ปล่อยมือเจ้าอีกแล้ว…หลิงหลง หลิงหลง…เจ้าเด็กโง่ ยังไม่เข้าใจหรือ” 

 

 

ใบหน้าเขาพลันแลดูอัปลักษณ์บิดเบี้ยว ราวกับสิ้นหวัง บ้าคลั่ง ยังเหมือนโกรธแค้นสุดขีด น้ำเสียงดุดันกล่าวว่า “ตายไปพร้อมกับข้าเถอะ!” 

 

 

เสวียนจีรู้สึกเพียงแค่ด้านหลังชนเข้ากับอะไรสักอย่าง นางไม่อาจคว้าหาส่วนที่ยื่นใดๆ ได้อีก เพราะเขาคว้านางไว้แน่น ทั้งสองพริบตาก็ถูกดูดเข้าไปในถ้ำลึก เขาปู้โจวซานปิดดังสนั่น ไม่มีเสียงใดอีก 

 

 

  

 

 

**** 

 

 

  

 

 

พอฟื้นมา เสวียนจียังคงงุนงง ไม่รู้ตนเองแท้จริงอยู่ที่ใด รอบๆ ไม่มีอะไรสักอย่าง มีแต่ความมืด ดำมืดอย่างที่สุด ในความมืดดำนั้นยังมีแสงสีแดงวูบวาบราวกับดวงไฟไกลออกไป นางตัวแข็งทื่อราวกับมีคนดึงไว้ พลันนึกถึงใบหน้าเปื้อนเลือดน่ากลัวของอูถง นางก็รีบกระโดดตัวลอยยกเท้ากระทืบเอาร่างคนผู้หนึ่ง ได้ยินเสียงร้อง “โอ๊ย” ขึ้นเสียงหนึ่ง ตามมาด้วยเสียงด่าของคนผู้นั้นอย่างไม่เกรงใจ “ผู้ใดกระทืบข้า! ไม่มีตาหรือ!” 

 

 

มกร? เสวียนจีรีบยกเท้าออก มองไปรอบๆ ที่นี่เป็นที่รกร้างผืนหนึ่ง นอกจากท้องฟ้ามืดมิด ผืนดินดำมืด ก็ไม่มีอะไรอีก ท้องฟ้าไกลออกไปยังมีสีแดงหม่นๆ ราวกับไฟกำลังลุกไหม้ เพียงแต่มองไม่เห็น ทั้งหมดที่นี่ล้วนเลือนราง 

 

 

มกรกระโดดขึ้นมา คลำศีรษะป้อยๆ กล่าวอย่างแปลกใจว่า “ที่นี่คือแดนปรภพ? ทำไมหนาวเช่นนี้! อู๋จือฉีอยู่ไหน” 

 

 

เสวียนจีส่ายหน้า นางไม่เพียงไม่รู้ว่าอู๋จือฉีคือใคร อยู่ที่ไหน แม้แต่อูถงกับจิ้งจอกม่วงก็ไม่เห็น พวกเขาน่าจะถูกดูดเข้ามาในถ้ำนี้ด้วยกัน อูถงยังคว้ามือนางไว้แน่น แต่สุดท้ายก็เหลือแค่มกรอยู่กับนาง เสวียนจีก้าวเท้าไปสองก้าวอย่างงงงวย พลันแยกทิศไม่ออก ที่นี่ก็คือแดนปรภพหรือ ทำไม…ต่างจากที่นางจินตนาการไว้มาก เมืองนรกอี้ตูล่ะ ยมทูตกับผีน้อยล่ะ 

 

 

“อา อา อา! ตรงนั้นมีไฟ! หรือว่าที่นี่คือนรก?! ทำไมแล่นมาแดนผีละเนี่ย!” มกรตกใจร้องดัง อยู่ๆ ได้สติ “ใช่แล้ว ที่นี่คือที่ที่เรียกผีร้ายพวกนั้นกลับมา ก็ต้องเป็นนรกสินะ เจ้าอู๋จือฉีก็ควรอยู่ใต้นี้ลงไปอีกหลายขุม…” 

 

 

เขาเห็นเสวียนจียังงงอยู่ ก็เคาะหัวนางอย่างแรงทีหนึ่ง กล่าวว่า “งงอะไรเล่า! ไปสิ! เกิดพวกผู้พิพากษาแดนนรกมาเห็นเราคงเป็นเรื่องใหญ่” 

 

 

“ไป…ไปไหน” เสวียนจีถามอึ้งๆ ถูกเขาลากบินไปข้างหน้า 

 

 

“ไปหาอู๋จือฉี! ดูว่าเขาตายหรือยัง” 

 

 

อู๋จือฉี ชื่อนี้กระแทกใส่สมองนางอีกครั้ง เสวียนจีอยู่ๆ เหมือนสัมผัสอะไรได้ รู้สึกเพียงแค่เป็นชื่อที่คุ้นมาก พลันคิดไม่ออกว่ามาจากไหน น่าแปลก มีความทรงจำบางอย่างนางคิดก็ออก มีความทรงจำบางอย่างทำไมคิดอย่างไรก็ไม่ออก อู๋จือฉี…อู๋จือฉี…แท้จริงคือใคร 

 

 

มกรยังพร่ำบ่นไม่เลิก “เขาถูกขังอยู่ใต้นี้มาใกล้พันปีแล้วกระมัง! ตอนนั้นเขาไปก่อเรื่องสะเทือนฟ้าดินจริงๆ เกือบทำเอาน้ำทะลักท่วมสวรรค์ มังกรอิงหลง[1]ชอบบอกว่า โจมตีที่แจ้งรับมือง่าย โจมตีที่ลับยากรับมือ หากไม่ใช่ไป๋ตี้หาคนมาซื้อตัวมารปีศาจข้างกายคนสนิทเขา รู้จุดอ่อนเขา เกรงแต่ว่าเขาคงได้สังหารกวาดล้างสวรรค์ไปหมดแล้วจริงๆ หาเรื่องใหญ่โตจริงๆ แต่ไรมาข้าก็อยากจะสู้กับเขาสักตั้ง ดูว่าผู้ใดร้ายกาจกว่า แต่ไป๋ตี้ก็เอาแต่ไม่ยอมให้ข้าลงมา ฮิๆ ครั้งนี้ข้ามาหาถึงแดนปรภพ สู้ก่อนค่อยว่ากัน! ไป๋ตี้จะทำอะไรข้าได้” 

 

 

เห็นชัดว่าพอคิดถึงเรื่องต่อยตี เขาก็ดีใจมาก ยังเป็นถึงมารปีศาจสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน นี่ตื่นเต้นยิ่งกว่าอาหารเลิศรสในโลกมากองตรงหน้าเขาเสียอีก 

 

 

เสวียนจียังคงพยายามนึกถึงเรื่องอู๋จือฉี ฟังเขาเล่าน้ำลายแตกฟองเรื่องจุดอ่อนอะไรนั่นแล้วก็รู้สึกคุ้นเคยมาก ภาพความทรงจำมีแต่คำว่าปีศาจใหญ่ ไม่ยอมอยู่ใต้บัญชาฟ้าดิน สติเลอะเลือนมาหาเรื่อง นางพึมพำกล่าวว่า “ที่เรียกว่าจุดอ่อน…ใช่ว่าลุ่มหลงนารีหรือไม่” 

 

 

มกรสะดุ้ง ถลึงตาใส่กลมจ้องมอง “เจ้าฟังผู้ใดเล่ามา?” 

 

 

เสวียนจีส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่รู้ แต่เหมือนพอจำได้” 

 

 

มกรถอนใจกล่าวว่า “จริงๆ แล้วข้าก็ไม่กระจ่างเรื่องตอนนั้นมากนัก แม้ว่ามีเรื่องกันใหญ่โต แต่ราชันสวรรค์มีบัญชาไม่อนุญาตให้สวรรค์คุยเรื่องนี้กัน ไป๋ตี้ยังไม่ยอมให้ข้าลงมาต่อยตีกับเขา ข้าก็ได้แต่ฟังคนอื่นเล่ามา มังกรอิงหลงบอกว่าเขาลุ่มหลงนารีจริง และยังหลงอย่างโงหัวไม่ขึ้น พอเห็นสาวงามก็จะเดินไม่เป็นทางแล้ว” 

 

 

 ในสายตามกร ความชอบเช่นนี้ดูแล้วแสนน่าเบื่อ เขารู้สึกว่าไม่ว่าสตรีงามเพียงใดก็สะใจไม่เท่าต่อยตีหรือกินข้าว แต่ในเมื่อเป็นจุดอ่อนอู๋จือฉี ก็ย่อมไม่มีทางทำอะไรได้ 

 

 

“จะว่าไปก็แปลก ตอนนั้นเจ้าก็นับว่าอันดับหนึ่งแดนสวรรค์ หน้าตาก็งดงาม น่าจะถูกใจเขาพอดี ทำไมไม่ให้เจ้าลงไปจัดการเขานะ” 

 

 

ไม่เพียงมกรรู้สึกแปลก เสวียนจีเองก็รู้สึกแปลก ใช่แล้ว เหตุใดไม่มีคนให้นางไปรับมืออู๋จือฉี? หรือว่าให้นางไปรับมือแล้ว ปรากฎนางกลับจำไม่ได้? 

 

 

แต่ยามนี้ไม่ใช่เวลามาสนใจคำถามนี้ ทั้งสองบินตรงไปด้านหน้าระยะหนึ่ง อยู่ๆ ก็พบว่าแสงไฟด้านหน้ายิ่งสว่างขึ้น ขจัดความมืดรอบๆ ท้องฟ้าส่องประกายสีส้มแดง ถนนด้านล่างขาดตอนนานแล้ว ที่แท้พวกเขาตกลงมาในหน้าผา ใต้หน้าผามีทะเลเพลิงผืนกว้างมองจนสุดลูกหูลูกตา มิน่าพวกเขารู้สึกมีแสงไฟ กล้าพนันว่านั่นไม่ใช่ไฟ แต่เป็นทะเลเพลิงที่เดือดปุด 

 

 

คลื่นความร้อนสูงเผาหินด้านล่างจนกลายเป็นสีน้ำตาลแดง หน้าผาที่พวกเขาอยู่ไม่ใช่มีเพียงหนึ่งเดียว กลางทะเลเพลิงมีภูเขาหินขนาดใหญ่คั่นเป็นระยะ ด้านบนราวกับยังมีเสียงคนมากมายร้องไห้คร่ำครวญหวนไห้ เสียงร้องไห้แว่วมาตามไอร้อนผ่าวที่พัดมา ให้ความรู้สึกน่าหวาดกลัว 

 

 

แม้ว่าเสวียนจีกับมกรล้วนเป็นเทพเบื้องบน หากเคยได้ยินเรื่องราวทรมานในแดนนรกมาแต่ก็ไม่เคยได้เห็นด้วยตา ตอนนี้ได้เห็นกลางทะเลเพลิงมีเขาหินนับไม่ถ้วนที่เต็มไปด้วยผู้คนปีนป่าย ด้านบนยังมียมทูตผีน้อยมากมายใช้แส้ตีพวกเขาลงไปทีละคน ตีจนสุดท้ายไร้ทางถอย พวกเขาได้แต่กระโดดลงไปเหมือนโยนเกี๊ยวลงหม้อต้มเสียงดังต๋อมๆ คนเป็นหากถูกไฟเผานั้นยังตายได้ ตายแล้วไร้ความรู้สึกก็นับว่าโชคดี แต่นรกนี้แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง คนเหล่านี้ตอนมีชีวิตก่อกรรมทำชั่ว ถูกนรกทะเลเพลิงลงโทษ กระโดดลงไปไม่ตาย หากต้องตะกายอยู่ในทะเลเพลิงเช่นนั้นไป ถูกเผาจนไม่เหลือเค้าโครง เหลือแต่เถ้ากระดูก สุดท้ายถูกบรรดาผีน้อยที่อยู่ริมฝั่งใช้พลั่วตักขึ้นมาวางบนฝั่ง พอลมเย็นเยียบพัดมาก็กลับคือสู่สภาพเดิมที่มีกายขึ้นมา แล้วก็ถูกแส้ต้อนขึ้นไปบนเขาหินอีก ก่อนจะกระโดดลงมาอีกเวียนวนไป 

 

 

“นี่มันน่าอนาถแท้…” มกรมองจนอ้าปากค้าง พึมพำขึ้น “เจ้าอู๋จือฉีคงไม่ไร้ประโยชน์เพียงนี้ ไม่ถูกเจ้าผีน้อยพวกนี้รังแกกระมัง” 

 

 

เสวียนจีกล่าวเบาๆ ว่า “ข้ารู้ ในตำราเคยกล่าวไว้ นรกมีสิบแปดขุม นี่ก็คือนรกทะเลเพลิง น่าจะมีกระทะทองแดง เขามีดดาบ ดึงลิ้น อะไรพวกนั้น…” 

 

 

“กระทะทองแดงลิ้นอะไร…กินได้ไหม” มกรเห็นชัดว่าไม่ตั้งใจฟัง “หลายขุมเช่นนี้ หรือว่าพวกเราต้องหาทุกขุม” มัวตามหาเช่นนี้ มหาเทพโฮ่วถู่คงรู้สึกได้ว่าพวกเรามาแล้ว 

 

 

เสวียนจีส่ายหน้า “บินไปข้างหน้าต่อเถอะ…เดาว่ายังอยู่ข้างล่าง” 

 

 

 

 

 

 

 

 

[1] ตำนานกล่าวถึงกิเลนเป็นเจ้าแห่งสัตว์ป่า วิหคเฟิ่งหวงเป็นเจ้าแห่งสัตว์ปีก มังกรอิงหลงเป็นบรรพบุรุษของทั้งสอง ตำนานว่าเป็นมังกรมีปีกห้าสี เกล็ดสีเหลือง เป็นหนึ่งในเก้ามังกรแดนสวรรค์