ส่วนที่ 5 ดอกเฟิ่งหวงผลิบาน ตอนที่ 5 อู๋จือฉี (1)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

หลายคนล้วนกล่าวว่านรกมีสิบแปดขุม แต่ละขุมมีการลงโทษที่ทรมานต่างกัน มีไว้ทรมานลงทัณฑ์ผู้ที่ก่อกรรมทำชั่วในชาติก่อน ยิ่งลึกลงไป ทัณฑ์ทรมานก็ยิ่งหนัก เช่น ภูเขามีด ทะเลเพลิง กระทะทองแดง…ล้วนเป็นการลงทัณฑ์ทรมานที่แสนโหดร้ายที่สุด แต่น่าเสียดายมากที่เสวียนจีกับมกรบินอยู่กลางอากาศ นอกจากทะเลเพลิงที่เวิ้งว้างกว้างไกลแล้ว ก็มองไม่เห็นภูเขามีด กระทะทองแดงอันใด 

 

 

เดิมทั้งสองคิดจะทำความรู้จักกับนรกในตำนานเสียหน่อย ปรากฏต้องผิดหวังมาก ไม่ได้เห็นการลงทัณฑ์ทรมานแสนหลากหลายนั่นเลย แม้แต่อู๋จือฉีก็ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน มกรบินไปบินมาหลายรอบ ในที่สุดก็ทนไม่ไหวไปหยุดลงบนเขาหินลูกหนึ่ง น้ำเสียงดุดันกล่าวว่า “ไม่ใช่สิบแปดขุมหรือ?! อีกสิบเจ็ดขุมไปอยู่ที่บ้าบอที่ไหนกัน!” 

 

 

เขากำลังโมโหกับตนเอง ปรากฏเสียงดังเกินไป ทำเอาบรรดาผีน้อยยมทูตด้านล่างหลายตนเงยหน้าขึ้นมองมา พอเห็นคนแปลกหน้าสองคนก็พากันอึ้งไป ผีร้ายที่ถูกลงทัณฑ์กระทะทองแดงแถวหน้าสุดก็ส่งเสียงร้องเรียกวักมือไหวๆ วุ่นวายไปหมด แต่ไรมาพวกเขาไม่เคยเห็นคนนอกปรากฏขึ้นในนรกนี้ ผีร้ายถูกลงทัณฑ์อย่างทรมานแสนสาหัสได้แต่คิดจะคว้าเอาฟางเส้นนี้ไว้ อยากรอดพ้นจากทะเลเพลิงนี้ 

 

 

“มีคนพบเราแล้ว!” เสวียนจีถลึงตาใส่มกร แต่ไม่ได้ออกอาการตำหนิอันใด นางเหมือนกับมกร ล้วนเป็นพวกไม่อยู่ในกฎเกณฑ์ อย่างไรก็เริ่มต้นก่อเรื่องแล้ว เช่นนั้นก็ก่อต่อไปให้ถึงที่สุดแล้วกัน จะมาทิ้งกลางคันย่อมไม่ใช่วิสัยของพวกเขา 

 

 

ทั้งสองโดดลงจากหน้าผาไปหยุดอยู่ริมฝั่งทะเลเพลิงที่ใกล้ที่สุด หินใต้ฝ่าเท้าเผาจนหลอมแดงฉาน รองเท้าเหยียบลงไปก็ส่งเสียงฉ่า แต่เขาสองคนดูเหมือนเป็นพวกไม่รู้สึกรู้สา ยามเผชิญกับทะเลเพลิงร้อนแรง หน้าตาก็ยังไม่รู้สึกอะไร เสวียนจีกอดอก กวาดตามองบรรดายมทูตหน้าเขียวเขี้ยวยาวที่กำลังยืนงงและผีน้อยที่บนหัวมีเนื้องอกน่าขันแยกเขี้ยวมองมาอย่างสนใจ ทำเอาบรรดาผีที่ถูกลงทัณฑ์ทรมานส่งเสียงตะโกนร้องเรียกระงมไปหมด 

 

 

นางถามว่าอย่างสุภาพเกรงใจว่า “ที่นี่คือนรกกระมัง” 

 

 

ทุกคนอึ้งไป พยักหน้าเซ่อซ่ายอมรับ เป็นครั้งแรกที่มีคนแปลกหน้าบุกมานรกทะเลเพลิง ยังไม่รู้ว่าที่นี่คือที่อะไร ท่าทางถามยังเป็นการเป็นงาน เสวียนจีน่าจะเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ 

 

 

“เช่นนั้น ขอถามหน่อย พวกเราจะไปอีกสิบเจ็ดขุม ควรไปทางไหน” นางถามอย่างสุภาพต่อ  

 

 

ผีน้อยที่มีก้อนเนื้องอกอยู่บนหัวตนหนึ่งรับคำว่า “แต่ละขุมล้วนแยกเป็นอิสระจากกัน หากเจ้าจะไปที่อื่น ก็ต้องไปขอป้ายคำสั่งจากท่านผู้พิพากษาก่อน ไม่ใช่สิ! พวกเจ้าเป็นใคร? บังอาจมาก! ถึงกับกล้าบุกมาก่อเรื่องแดนนรก!” ในที่สุดเขาก็ตั้งสติได้ ถามกลับดุดัน เนื้องอกบนหัวสั่นโยกไปมา 

 

 

เสวียนจียกมือคว้าเนื้องอกนั้นอย่างไม่ทันคิดอะไร ราวกับเป็นของเล่นน่าสนุก ทำเอาผีน้อยตกใจตะกายวิ่งหนีไปอีกทาง แผนเสียงร้องดังขึ้นว่า “หญิงชั่ว! เจ้าจะทำอะไร?!” เสวียนจีมองเนื้องอกนั่นอย่างนึกเสียดาย กล่าวเบาๆ ว่า “สนุกจัง ลูบไม่ได้หรือ” 

 

 

“ก่อเรื่องวุ่นวายกันพอได้แล้ว!” ข้างๆ มีคนตะโกนดัง ตามมาด้วยยมทูตผีน้อยหลายตนมารวมตัวกัน ล้อมเขาสองคนไว้ คนที่เป็นคนเอ่ยก่อนผู้นั้นก็คือยมทูตที่พกป้ายคำสั่งสีแดง คิดว่าน่าจะเป็นหัวหน้าหน่วยที่นี่ สีหน้านิ่งเฉย เอาแต่จ้องมองเขาสองคน 

 

 

“ข้าว่าท่านทั้งสองไม่ใช่มนุษย์ ที่นี่เป็นดินแดนคนตาย พื้นที่รับทุกข์เวียนว่าย ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจบุกเข้ามาพลการ ขอเชิญทั้งสองท่านรีบออกไป!” 

 

 

เสวียนจีสบตากับมกร กล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้าบอกพวกเราก่อนว่าออกไปอย่างไร” 

 

 

ยมทูตผู้นั้นสีหน้านิ่งขรึม กล่าวว่า “ดูท่าบุกเข้ามาโดยพลการจริงๆ! เรื่องนี้ไม่อาจจบแค่นี้ ข้าจะรายงานใต้เท้าผู้พิพากษา…” 

 

 

มกรโมโหกล่าวว่า “ข้ารำคาญพวกผีน้อยอวดเบ่งอ้างบารมีนายเช่นพวกเจ้าที่สุด! เจ้าไปรายงานเลย! ตามนายเจ้ามาต้อนรับพวกเรา! พาพวกเราไปหาอู๋จือฉีด้วยตนเองเลย!” 

 

 

ทุกคนได้ยินคำว่าอู๋จือฉีก็พากันตกใจสีหน้าแปรเปลี่ยน ยมทูตผู้นั้นสีหน้าจ้องมองพวกเขาสีหน้าสับสน ไม่กล่าวอันใด ได้แต่ดึงกระดาษยันต์แผ่นหนึ่งออกจากอกเสื้อ หนีบไว้ที่หว่างนิ้วโบกเบาๆ ยันต์นั่น ฟุ่บ เสียงหนึ่งก็เผาไหม้ขึ้น พริบตากลายเป็นเถ้า เสวียนจีกับมกรยังไม่รู้เขาเล่นอะไร พลันท้องฟ้าสว่างวาบ ราวกับม่านกลางคืนถูกคนกระชากออกกะทันหัน แสงทองอร่ามสาดทะลุออกมาจากร่องแยกนั่น ผีร้ายมากมายส่งเสียงตะโกนร้องก้มลงโขกคำนับ 

 

 

ตามมาด้วยเสียงดังเหนือศีรษะ “มีเรื่องใดต้องแตกตื่นตกใจกันเช่นนี้” 

 

 

พอเสวียนจีได้ยินเสียงนี้ ในใจก็สะดุ้ง รู้สึกว่าคุ้นเคยมาก อดหันขวับไปมองไม่ได้ เห็นกลางแสงสีทองมีคนหลายคนยืนอยู่ คนเป็นหัวหน้าผู้นั้นสวมชุดขุนนางยาวแขนกว้าง ใบหน้ากระจ่าง มีเคราหนวดแพะบนใบหน้าหลายแห่ง หน้าตาคุ้นมาก 

 

 

นางอึ้งเป็นนาน ลองเรียกดูขึ้นเสียงหนึ่ง “ผู้พิพากษา?” 

 

 

คนผู้นั้นมองเสวียนจี แววตาวาบกระตุก ดีใจกล่าวว่า “ที่แท้เจ้าเอง! เสวียนจีตอนนี้ตื่นรู้แล้ว กลับแดนสวรรค์แล้วใช่ไหม” 

 

 

ดังคาด เขารู้จักนาง! เสวียนจีกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ผู้พิพากษา…อาจารย์?” 

 

 

ดังคาด คนผู้นั้นก็คือผู้พิพากษา ตอนนั้นเสวียนจีอยู่แดนนรกหลายเดือนเพื่อเรียนรู้จากเขา ทั้งสองมีวาสนาศิษย์อาจารย์กัน เขาเห็นเสวียนจีเหมือนรู้เหมือนไม่รู้ ก็ถอนหายใจเบาๆ กล่าวว่า “ที่แท้ยังไม่ตื่นรู้…ท่านนี้ก็คือใต้เท้ามกรกระมัง? ทั้งสองท่านบุกแดนนรกด้วยเรื่องใด” 

 

 

มกรยังไม่ทันได้กล่าวอะไร ยมทูตข้างๆ ผู้นั้นก็แย่งเล่าเรื่องราวมากมายก่อน ครู่หนึ่งก็ว่าบุกแดนนรกพลการ ครู่หนึ่งก็ว่าข่มขู่ยมทูต ครู่หนึ่งก็ว่าขัดขวางการลงทัณฑ์ พูดจนเขาสองคนแทบจะมีความผิดมหันต์ในแดนนรกนี่ ควรรีบลากไปตัดหัวให้จบเรื่อง 

 

 

มกรโมโหกล่าวว่า “ผายลม ผายลม! เจ้าพูดจาไม่เป็นใช่ไหม? ข้าจะสอนเจ้าเองว่าควรพูดอย่างไร!” เขาถลกแขนเสื้อ จะบุกเข้าไปจัดการ ผีน้อยยมทูตพวกนั้นตกใจส่งเสียงหวีดร้องดัง หันหลังวิ่งหนีทันที เสวียนจีดึงเขาไว้ กล่าวเบาๆ ว่า “อย่าก่อเรื่องสิ นี่คืออาจารย์ข้า เมื่อก่อนเคยสอนหลักการเหตุผลข้ามากมายตอนอยู่แดนนรก” 

 

 

มกรแค่นเสียงฮึ “ผู้พิพากษาตัวเล็กๆ จะมีหลักการเหตุผลใดมาสอนเจ้า!” 

 

 

ผู้พิพากษาไม่โมโห เพียงยิ้มกล่าวว่า “เสวียนจีพอนึกถึงเรื่องเมื่อก่อนได้บางเรื่องแล้ว ข้าว่ากลิ่นอายสังหารเจ้าลดลงไปมาก เป็นเรื่องน่ายินดีจริง บางทีอีกระยะหนึ่ง ก็จะตื่นรู้หลักการได้เองแล้ว” 

 

 

เสวียนจีส่ายหน้ากล่าวว่า “ข้า…ไม่รู้อะไรคือหลักการ ซือเฟิ่งว่า เป็นคนควรอยู่กับปัจจุบัน ทุกอย่างตรงหน้าคือสิ่งที่สำคัญที่สุด แม้ข้านึกถึงเรื่องในอดีตได้ นั่น…ก็ย่อมเป็นแค่อดีตชาติ ไม่เกี่ยวกับชาติปัจจุบันข้า” 

 

 

ผู้พิพากษาขมวดคิ้วกล่าวว่า “ไม่มีเหตุไหนเลยจะมีผล นี่คือข้อสรุปที่เหลวไหลที่สุด นับประสาอันใดกับปากเจ้าว่าชาตินี้ไม่เกี่ยวกับชาติก่อน เช่นนั้นเหตุใดจึงยังใช้พลังตนเองชาติก่อนได้ จะว่าชาตินี้ไม่เกี่ยวข้องกับชาติก่อนอีกหรือ” 

 

 

เสวียนจีกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ก็ใช่ ข้าก็ยังคิดไม่เข้าใจทั้งหมด หลายเรื่องข้าก็ยังไม่รู้ แต่ข้าไม่อยากให้ชาตินี้กลายเป็นเคราะห์กรรมที่ต้องผ่านพ้นเพียงเพื่อทำให้ทุกอย่างของแม่ทัพเทพสงครามสมบูรณ์ ข้าหวังว่าชาตินี้จะมีความสุข ควรค่าแก่การเก็บไว้ในความทรงจำ เรียนรู้สิ่งที่เมื่อก่อนข้าไม่เคยได้รู้ อาจารย์ แม้ท่านว่าผิด แต่ข้าก็ไม่คิดหันกลับไปอีกแล้ว” 

 

 

ผู้พิพากษานิ่งเงียบเป็นนาน อยู่ๆ ก็ยิ้มออกมา กล่าวอ่อนโยนว่า “ไม่…ข้ารู้สึกน่าสนใจมาก เสวียนจีมีความคิดเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าเจ้าโตแล้ว” 

 

 

นางคิดไม่ถึงว่าเขาจะชมเช่นนี้ อดตกใจระคนดีใจไม่ได้ พลันได้ยินเขากล่าวอีกว่า “ครั้งนี้พวกเจ้ามาด้วยเรื่องอู๋จือฉี?” 

 

 

ทั้งสองต่างตะลึงงัน มารปีศาจอู๋จือฉีก่อกรรมทำเข็ญถูกขังในแดนปรภพ พวกเขากล้าพูดจารุนแรงใส่ยมทูต แต่ก็ไม่กล้าจะกล่าวเช่นนั้นกับผู้พิพากษา พลันคิดไม่ออกว่าจะกล่าวอ้างเช่นไรดี ได้แต่ฟังผู้พิพากษากล่าวว่า “จริงๆ แล้ว พวกเรารู้นานแล้วว่าจะมีวันนี้ นี่ก็คือเหตุต้นผลกรรมของพวกเจ้า หากพวกเจ้าจะพบเขา ข้านำทางไปได้ แต่ข้ามีเงื่อนไขข้อหนึ่ง” 

 

 

ทั้งสองรับคำพร้อมกัน “เงื่อนไขอะไร” 

 

 

ผู้พิพากษาเพียงยิ้มไม่กล่าว หันกายกลับไปกล่าวว่า “สองท่านตามข้ามา” พลันคิดอะไรขึ้นมาได้ หันไปกวักมือให้คนรับใช้ด้านหลัง “นำคนผู้นั้นมา” 

 

 

บรรดายมทูตด้านหลังก็ผลักคนชุดดำที่ถูกมัดแน่นหนาคนหนึ่งออกมา ทั้งตัวมีแต่เลือด ใบหน้ายังคงเหมือนเด็กน้อยที่ดูไร้สมอง เสวียนจีตกใจ ถึงกับเป็นอูถง! ที่แท้เขาถูกผู้พิพากษาจับตัวไว้! เช่นนั้นจิ้งจอกม่วงล่ะ หรือว่าตกอยู่ในมือพวกเขาด้วย 

 

 

ผู้พิพากษากล่าวว่า “คนผู้นี้บุกแดนนรกพลการ พอดีร่วงลงตรงริมฝั่งแม่น้ำลืมภพชาติ ถูกบรรดายมทูตจับตัวได้ เดิมคิดจะสอบปากคำ แต่เขาสิ้นลมทันที ข้าสั่งให้คนตรวจเส้นทางชะตาเขา พบว่ากระแสดุร้ายยิ่งนัก ตอนมีชีวิตทำเรื่องชั่วช้าไว้มากมาย พอเขาตายจิตญาณก็รวมตัว ความอาฆาตแค้นพุ่งทะยานขึ้นท้องฟ้า ดังนั้นจึงกรอกน้ำลืมภพชาติให้เขา ข้าอยากถามหน่อยว่า คนผู้นี้เป็นคนรู้จักพวกเจ้า?” 

 

 

เสวียนจีมองท่าทางอนาถอูถง กลายเป็นผีก็ยังมีเลือดท่วมตัว ใบหน้าที่เคยทำให้นางเกลียดเข้ากระดูกดำ ตอนนี้ดูแล้วปัญญาอ่อนไม่รู้เรื่องรู้ราว ท่าทางเช่นนี้นางไม่รู้สึกแปลกใจ ขอเพียงดื่มน้ำลืมภพชาติ ลืมเรื่องราวชาติก่อนทั้งหมด ก็จะมีอารมณ์ความรู้สึกเช่นนี้ ปากเขาพึมพำอะไรอยู่ก็ไม่รู้ ทุกอย่างดูเลือนลางกลายเป็นควันลอยสลายไปต่อหน้า 

 

 

จิตวิญญาณลึกๆ ของเขาคงยังคิดถึงดรุณีน้อยผู้นั้น คงไม่มีโอกาสได้รู้ตลอดไป ไม่อาจได้ยินตลอดไป 

 

 

เสวียนจีมองเขาครู่หนึ่ง กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ไม่…พวกเราไม่รู้จักเขา” 

 

 

ผู้พิพากษาพยักหน้า สั่งการไปว่า “พวกเจ้านำเขาลงไป ไปตามเรื่องราวที่เคยทำมาต่างๆ นานาในชาติก่อน ดูว่าควรจัดการเช่นไร” 

 

 

ยมทูตหลายคนรับคำนำตัวอูถงไป 

 

 

ผู้พิพากษายิ้มให้เสวียนจีเล็กน้อย กล่าวว่า “ไปกันเถอะ ข้าพาพวกเจ้าไปพบอู๋จือฉี”