ตอนที่ 132 ศิลาจิตวิญญาณ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตอนที่ 132 ศิลาจิตวิญญาณ โดย Ink Stone_Fantasy

บริเวณขอบรอบๆ หลุมยักษ์ เงาร่างคนสี่คนโซเซเล็กน้อยก่อนที่กลับมายืนได้อย่างมั่นคง

“วานรตนนี้ช่างน่ากลัวยิ่งนัก เห็นๆ อยู่ว่าก่อนหน้านั้นถูกพวกเราสี่คนโจมตีจนหายใจแขม่วๆ ไม่คาดคิดว่าจะยังสามารถระเบิดตนเองได้ ถ้าไม่ใช่ว่ามีพลังของเขตจำกัดช่วยต้านทานไว้ ไม่แน่อาจจะมีคนเสียชีวิตไปแล้วก็ได้” ชุดของชายหน้าดำได้รับการกระทบกระเทือนจากแรงระเบิดเมื่อครู่จนขาดรุ่งริ่ง หลังจากที่เขามองซากเนื้อไหม้เกรียมในหลุมใหญ่แล้วก็กล่าวพึมพำออกมาด้วยความรู้สึกหวาดกลัวอย่างอดไม่ได้

“นั่นน่ะสิ! ข้าเองก็ไม่คาดคิดว่าปีศาจวานรตนนี้จะมีนิสัยรุนแรงเช่นนี้ เมื่อเห็นว่าไม่สามารถต้านทานได้ก็ไม่คิดหาวิธีหนี แต่กลับคิดที่จะตายไปพร้อมกันกับพวกเรา!” หน้ากากสีเงินบนหน้าหยางเฉียนมีสีดำอยู่ติดอยู่เล็กน้อย เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วกล่าวออกมาเช่นกัน

“แต่ธงค่ายกลของศิษย์พี่ชุดนี้ก็ถูกทำลายไปโดยสมบูรณ์ น่าเสียดายจริงๆ!” หลิ่วหมิงสวมชุดคลุมใหม่อีกชุด จากนั้นก็มองดูสถานการณ์รอบด้าน แล้วพลันหัวเราะกล่าวออกมา

“ไม่เป็นไร มันก็แค่ธงค่ายกลชุดหนึ่งเท่านั้น ขอแค่ได้รับผลประโยชน์จากบนเขามามากพอ ก็สามารถทดแทนการสูญเสียเล็กน้อยนี้ได้” หยางเฉียนกลับกล่าวอย่างไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย

“เสียดายถุงน้ำดีของปีศาจวานรตนนี้ ด้วยพลังอันแข็งแกร่งของมัน คิดว่าผลลัพธ์ของถุงน้ำดีมันจะต้องสูงส่งกว่าปีศาจวานรตนอื่นมาก” ชายหน้าดำดึงชุดคลุมที่ขาดรุ่งริ่งออกมา และกล่าวด้วยน้ำเสียงเสียดาย

“อันนี้ก็ช่วยไม่ได้ ใครจะไปคิดว่ามันจะเบิดตัวออกมา” หยางเฉียนกล่าวราบเรียบ

“ศิษย์พี่ทั้งสองเรื่องอื่นๆ ค่อยว่ากันทีหลังเถอะ! พวกเราควรจะรีบขึ้นเขากันดีหรือไม่? ตอนนี้บนเขาไม่มีปีศาจวานรแล้ว อย่าให้โดนคนอื่นแย่งไปก่อนได้” จินอวี่กล่าวอย่างอดไม่ได้

“ฮึ! พวกเราออกแรงมากขนาดนี้ถึงสามารถจัดการปีศาจวานรเหล่านั้นได้ ใครกล้าแย่ง? ถ้าหากมีคนแย่งจริงๆ ล่ะก็ อย่าคิดว่าจะมีชีวิตรอดลงไปได้เลย” ชายหน้าดำได้ยินก็กล่าวด้วยประกายตาที่ดุร้าย

“ศิษย์น้องจินอวี่พูดมาก็มีเหตุผล! พี่อวิ๋น ศิษย์น้องไป๋ พวกเรารีบไปกันให้เร็วหน่อยเถอะ และก็ไม่ต้องไปด้วยกันแล้ว พอถึงบนเขาใครหาพืชจิตวิญญาณอะไรได้ก็เป็นของคนนั้น แต่ถ้าพบเจอคนแปลกหน้าล่ะก็ ให้รีบปล่อยลูกเปลวไฟขึ้นไปบนอากาศหนึ่งลูกเพื่อแจ้งให้คนอื่นๆ ทราบ พวกเราจะได้รวมตัวกันขับไล่คนอื่นๆ ออกไป” หยางเฉียนกล่าว

หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ได้ยินเช่นนี้ก็ไม่ มีข้อคัดค้านใดๆ แม้แต่น้อย

ดังนั้นพวกเขาจึงทะยานขึ้นฟ้าแล้วเหาะไปยังยอดเขาที่อยู่ไม่ไกล

……

เสียงดัง “ฟิ้ว!”

ดาบยักษ์สีฟ้ายาวสิบกว่าจั้งฟันลงมาอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ มันฟันเข้าไปยังหัวของอสรพิษหงอนเงินที่ถูกน้ำค้างแข็งสีฟ้าปกคลุมไว้

มือทั้งสองที่จับกันแน่นเพื่อทำท่ามือของสองพี่น้องตระกูลหลานค่อยๆ แยกออกจากกันหลังจากที่รู้สึกผ่อนคลายลง

เสียงดัง “ฟู่!”

ดาบยักษ์สีฟ้าที่ลอยอยู่กลางอากาศกลายเป็นนี้ทะเลสีฟ้ากระจายออกมา และดาบสั้นสีฟ้าที่มีขนาดเท่าหัวแม่มือ ก็กระพริบหายเข้าไปในแขนเสื้อของชายหนุ่มอย่างไร้ร่องรอย

“ฮ่าๆ ในที่สุดก็สามารถจัดหารอสรพิษหงอนเงินตนนี้ได้! การลงทุนลงแรงของพวกเราก่อนหน้านี้ไม่เสียเปล่าแล้ว อย่างนี้เราก็สามารถขึ้นเขาไปหามังกรแดงได้แล้ว” ชายหนุ่มปล่อยมือหญิงสาว และหลังจากมองดูศพที่ไร้หัวของอสรพิษแล้วก็หัวเราะขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง

“พี่ใหญ่ท่านรีบเก็บร่างให้ดี รีบใช้เวลาฟื้นฟูพลังเวทย์กันเถอะ! มิเช่นนั้นถ้ามีคนเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเราในตอนนี้ เกรงว่าใครก็เดาออกว่าพวกเราทั้งสองเป็นเผ่าเจ้าสมุทร” หญิงสาวร่างอรชรที่อยู่ด้านหลังกล่าวกับพี่ชายด้วยความรอบคอบ

“น้องเล็กพูดมาก็มีเหตุผล เมื่อครู่ข้าหลงระเริงไปหน่อย แต่เวลามีไม่มากอย่าเพิ่งรีบฟื้นฟูพลังเวทย์ เราไปตามหามังกรแดงตนนั้นก่อนเถอะ! มิเช่นนั้นถ้าหากระว่างนี้เกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดขึ้น มันอาจทำให้เสียการใหญ่ได้”

“พี่ใหญ่ ท่านเลอะเลือนจริงๆ เลย ถึงแม้มนุษย์ผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นจะบอกว่ามังกรแดงตนนั้นบาดเจ็บสาหัส คงจะไม่มีแรงต่อต้าน แต่อย่างไรมันก็เป็นอสูรระดับผลึก ถึงแม้จะฟื้นฟูพลังเวทย์ได้เพียงเล็กน้อย ชีวิตน้อยๆ ของข้ากับท่านก็จะอาจต้องทิ้งไว้ที่นี่ ดังนั้นเพื่อป้องกันเหตุที่ไม่คาดคิด พวกเราควรขึ้นเขาด้วยสภาพที่ดีที่สุดถึงนับว่าเป็นผู้ฉลาดปราดเปรื่อง ยังไงพวกเราก็เสียเวลามานานขนาดนี้แล้ว จะเสียอีกครึ่งวันจะเป็นไรไป” หญิงร่างอรชรกลับส่ายศีรษะกล่าวออกมา

“ดี พี่จะเชื่อเจ้า” ถึงแม้ว่าในใจของชายหนุ่มจะไม่ยินยอม แต่กลับรู้ว่าน้องสาวของเขาคนนี้พอฟื้นคืนร่างแท้จริงแล้ว จะมีสติปัญญาสูงกว่าคนทั่วไปมาก ก่อนหน้านั้นนางก็ไม่เคยคาดเดาพลาด ด้วยเหตุนี้หลังจากที่เขาลังเลเล็กน้อยแล้วก็รับปากกลับไป

ดังนั้นทั้งสองต่างก็หยิบถุงหนังสีขาวตรงเอวออกมาแล้วโยนขึ้นไปบนอากาศ จากนั้นก็ทำท่ามือร่ายคาถา น้ำทะเลสีฟ้าม้วนกลิ้งอยู่กลางอากาศในทันที หลังจากที่มันโหมซัดสาดก็กลายเป็นสายน้ำกรอกเข้าไปในถุงหนัง

ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป น้ำทะเลทั้งหมดก็โดนดูดเข้าไปในถุงหนังจนไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว

ตอนนี้ทั้งสองถึงได้เปลี่ยนท่ามือก่อนที่ร่างของพวกเขาจะพร่ามัวในทันที จากนั้นก็กลับมามีรูปร่างเป็นมนุษย์ดังเดิม

ต่อมาทั้งสองก็เก็บถุงหนัง และทานโอสถเข้าไปคนละเม็ด จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิกำหนดลมหายใจเข้าออก

……

เสียงดัง “ตู้ม!”

แท่งหินสีขาวเทายาวจั้งกว่าๆ พุ่งขึ้นจากพื้นโดยไม่มีการแจ้งเตือนใดๆ ทำให้ร่างของศิษย์หนุ่มนิกายเอกะที่หลบไม่ทันถูกแทงจนทะลุ ม่านแสงปกคลุมร่างกายที่ดูแข็งแรงแต่กลับแตกละเอียดในพริบตา ซึ่งประสิทธิภาพมันไม่ดีเท่าไหร่เลย

และในสถานการณ์เช่นนี้ ศิษย์นิกายเอกะก็ยังไม่ได้เสียชีวิตในทันที แต่กลับร้องเรียกขอความช่วยเหลืออย่างน่าเวทนา

แต่ในขณะนั้นเอง นอกจากจะมีอสูรสิงห์พยัคฆ์ตนนั้นอยู่ในกองหินแล้ว ยังมีมนุษย์ศิลาสูงสามจั้งกว่าที่มีตะไคร่น้ำเต็มตัวปรากฏออกมา

รูปร่างภายนอกของมนุษย์ศิลาตนนี้ดูคล้ายมนุษย์มาก แต่ว่าร่างทั้งหมดถูกห่อด้วยหินแข็งแกร่งที่ไม่ทราบชื่อ และบริเวณตัวมันยังมีหินสีดำขนาดเท่าศีรษะจำนวนเจ็ดแปดก้อนหมุนวนอยู่ไม่หยุด ทำให้ศิษย์แต่ละนิกายที่อยู่บริเวณนั้นต้องถอยอย่างต่อเนื่อง

การเคลื่อนไหวของมนุษย์ศิลานี้ดูเชื่องช้า แต่พอมีแสงสีเหลืองเปล่งประกายออกมาในดวงตาจะต้องมีแท่งหินแทงขึ้นมาจากพื้นที่บริเวณนั้น บริเวณรอบๆ ตัวมันตอนนี้ปกคลุมไปด้วยแท่งหินสามสิบถึงสี่สิบแท่ง ทำให้ศิษย์แต่ละนิกายหลบหลีกยากยิ่งขึ้น

และอีกด้านหนึ่ง อสูรสิงห์พยัคฆ์ที่มีบาดแผลเต็มตัวก็พ่นเปลวสายฟ้าไปยังด้านนอกอยู่ไม่หยุด ไม่ไกลจากด้านหลังของมันก็มีศพศิษย์นิกายวาตอัคคีที่ดำเกรียมหดตัวอยู่บนพื้น

ที่น่าแปลกประหลาดไปกว่าก็คือ พอมีคนคิดที่หันหน้าวิ่งหนีออกไปด้านนอก จะต้องชนกับกำแพงอากาศไร้รูปจนต้องกระเด็นกลับมา

และสถานการณ์บริเวณกองหินเหล่านี้แตกต่างจากก่อนหน้านั้นโดยสิ้นเชิง

ก้อนหินขนาดต่างๆ ที่เดิมทีวางระเกะระกะได้ล้อมรอบพวกเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่อาจรู้ได้ พวกมันแต่ละก้อนค่อยๆ ซ้อนตัวขึ้นเป็นค่ายกลศิลาธรรมชาติที่เรียบง่ายขึ้นมา

เฟิงฉาน เกาชง และคนอื่นๆ ถูกปีศาจอสูรสองตนตามล่าจนต้องร้องโอดครวญในใจอยู่ไม่หยุด

ก่อนหน้านั้นพวกเขาใช้วิธีการต่างๆ โจมตีอสูรสิงห์พยัคฆ์จนบาดเจ็บ และคิดว่าเพิ่มพลังอีกนิดก็จัดการมันได้แล้ว แต่กลับมีศิลาจิตวิญญาณที่เคยได้ยินคำเล่าลือโผล่ขึ้นมาจากพื้นดินโดยฉับพลัน

ศิลาจิตวิญญาณนี้พูดได้ว่าเป็นสัตว์ประหลาดครึ่งปีศาจครึ่งวิญญาณ ถือเป็นปีศาจอสูรชนิดหนึ่ง แต่มันสามารถใช้วิชาต่างๆ ที่สังกัดธาตุดินได้ตั้งแต่กำเนิด ทั้งยังมีผิวบางเนื้อหนาเป็นอย่างมาก และยังสามารถใช้ดินและหินสร้างเปลือกนอกมาซ่อมแซมตัวเองได้อย่างรวดเร็ว ด้วยเหตุนี้วิธีการโจมตีธรรมดาไม่อาจทำร้ายมันได้เลยแม้แต่น้อย

ถึงแม้เฟิงฉาน และคนอื่นๆจะเคยได้ยินคำร่ำลือเกี่ยวกับศิลาจิตวิญญาณมาแล้ว แต่มันก็เป็นแค่สิ่งที่บันทึกไว้ในคัมภีร์โบราณเท่านั้น และในเวลานั้นก็ได้โจมตีอสูรสิงห์พยัคฆ์จนได้รับบาดเจ็บแล้ว ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้พวกเขาย่อมไม่ยอมละทิ้งโอกาสนี้ไปแน่ จึงได้ดันทุรังอยู่ที่เดิมเพื่อที่จะสังหารอสูรสิงห์พยัคฆ์ให้เสร็จก่อน แล้วเรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง

แต่สิ่งที่พวกเขาคิดไม่ถึงก็คือ พอศิลาจิตวิญญาณตนนี้ปรากฏออกมา มันก็กระตุ้นก้อนหินทั้งหมดที่อยู่บริเวณนั้น และใช้เวลาเพียงไม่นานก็สามารถสร้างค่ายกลศิลาธรรมชาติขึ้นมาได้ ทำให้พวกเขาโดนถูกกักขังอยู่ภายในนั้น

ถ้าหากภายใต้สถานการณ์ปกติ ถึงแม้ค่ายกลศิลานี้จะลี้ลับมหัศจรรย์มาก แต่เรื่องที่กักขังพวกได้นั้นย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

แต่ถ้าหากว่ายังมีปีศาจอสูรที่มีพลังแข็งแกร่งไล่ล่าอยู่ในค่ายกล สถานการณ์ย่อมแตกต่างกันสิ้นเชิง

ที่ร้ายแรงไปกว่านั้นคือ อสูรสิงห์พยัคฆ์ที่ดูเหมือนว่าหายใจแขม่วๆ พลันมีพลังขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ ไม่ว่าจะเป็นลูกเปลวไฟที่พ่นออกมา หรือว่าอานุภาพสายฟ้าที่ปกป้องตัวมันอยู่ก็ดูเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้นอีกครึ่งหนึ่ง

อสูรสิงห์พยัคฆ์ตนนี้ไม่ได้แสดงพลังทั้งหมดตั้งแต่แรก มันรอจนศิลาจิตวิญญาณปรากฏถึงแสดงพลังอันน่ากลัวออกมา

ถ้าไม่ใช่เพราะว่าคนที่มาด้วยในครั้งนี้ มีชายหนุ่มแซ่เถียนที่แสดงวิชาอัคคีวารีผสานซึ่งเป็นวิชาที่ร้ายกาจวิชาหนึ่งต้านทานพลังการโจมตีกว่าครึ่งหนึ่งของอสูรสิงห์พยัคฆ์ไว้ล่ะก็ เกรงว่าคนเหล่านี้คงถูกปีศาจอสูรทั้งสองสังหารไปจนหมดเกลี้ยงแล้ว

แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตามก็ยังมีคนสองคนถูกฆ่าตายภายในชั่วพริบตาเดียว

“พี่เถียน ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ไหวแน่ พวกเราจะต้องทำลายค่ายกลศิลานี้ให้ได้!” เฟิงฉานหลบหลีกแท่งหินแท่งหนึ่งที่โผล่ขึ้นจากพื้น และตะโกนบอกชายหนุ่มที่อยู่อีกด้านด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดเป็นอย่างมาก

ไม่ไกลออกไป ชายหนุ่มแซ่เถียนกำลังกวัดแกว่งพัดใบลานที่ขยายขนาดใหญ่ขึ้นมา มันพัดอักขระสีแดง และสีฟ้าไปหาอสูรสิงห์พยัคฆ์ด้วยความรวดเร็ว

“เรื่องนี้ข้ารู้ดี ขอแค่มีคนร่วมมือกับข้า ข้าจะใช้พลังทั้งหมดโจมตี มันก็จะก่อให้เกิดพลังมหาศาลทำลายค่ายกลศิลานี้ได้ภายในระยะเวลาอันสั้น แต่ก็ต้องมีคนหน่วงเหนี่ยวอสูรสิงห์พยัคฆ์สองตนนี้ไว้ ข้าถึงจะมีเวลาแสดงพลังออกมาได้” ชายหนุ่มแซ่เถียนกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน

จนถึงเวลานี้แล้ว ศิษย์นิกายวาตอัคคีผู้นี้ยังคงไม่รีบร้อนแต่อย่างใด

“ข้ามีเคล็ดวิชาที่สามารถกักขังศิลาจิตวิญญาณนี้ได้ช่วงเวลาหนึ่ง แต่ในช่วงระหว่างเวลานี้ก็ไม่สามารถโจมตีอสูรตนนี้ได้” หลังจากที่เฟิงฉานตาเป็นประกาย เขาก็ตอบกลับอย่างรวดเร็ว

“ส่วนอสูรสิงห์พยัคฆ์ล่ะก็ ให้ข้าจัดการเถอะ ถ้าข้าไม่เสียดายพลังเวทย์ล่ะก็ ก็พอมีวิธีกักขังมันได้ในช่วงเวลาหนึ่ง เช่นนี้แล้วพี่เถียนคงไม่มีปัญหาอะไรแล้วใช่ไหม?” เกาชงได้ยินเช่นนี้ก็กัดฟันกล่าวออกมา

มาถึงเวลานี้แล้ว เขาย่อมไม่สนเรื่องอื่นแล้ว ต้องรวมพลังกันทำลายเขตจำกัดให้ได้ก่อน แล้วเรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง

“ดี ถ้าอย่างนั้นก็มอบมันทั้งสองให้กับพวกเจ้า อีกสักครู่สหายท่านอื่นๆ ก็ใช้วิธีการที่เก่งกาจที่สุดร่วมมือกับข้าทำลายค่ายกลพร้อมกัน” ชายหนุ่มแซ่เถียนถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างรวดเร็ว และกล่าวอย่างไม่ลังเล

……………………………………….