ตอนที่ 133 ผลไม้จิตวิญญาณ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตอนที่ 133 ผลไม้จิตวิญญาณ โดย Ink Stone_Fantasy

เกาชงเข้าไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว หลังจากที่คำรามเสียงต่ำออกมา ไอโลหิตบนตัวก็พรั่งพรูออกมาทันที จากนั้นก็ชี้นิ้วไปยังอสูรสิงห์พยัคฆ์ที่กระโจนเข้ามาอย่างรวดเร็ว

โลหิตแวววาวพุ่งออกมาจากปลายนิ้ว และยังส่งเสียงดัง “เพล้ง!” จากนั้นก็ระเบิดออกมาเป็นหมอกโลหิต

และหลังจากที่เกาชงแสดงวิชากระตุ้นหมอกโลหิตเหล่านี้ มันก็รวมตัวกันจนกลายเป็นหนวดสีแดงขนาดเท่าแขน หลังจากที่มันม้วนตัวไปหนึ่งทีก็ไปพันอสูรสิงห์พยัคฆ์ที่ไม่ทันตั้งตัวไว้ในนั้น

ภายใต้ความตื่นตระหนกตกใจ สายฟ้าบนตัวอสูรสิงห์พยัคฆ์เปล่งประกายโจมตีหนวดสีแดงอยู่ไม่หยุด

แต่เห็นได้ชัดว่าหมอกโลหิตเหล่านี้แตกต่างกับวิชาที่เกาชงแสดงในก่อนหน้านั้นโดยสิ้นเชิง มันไม่เพียงแต่จะไม่ถูกโจมตีจนแตกกระจายในทันที แต่กลับรัดพันอสูรตนนี้ไว้แน่นท่ามกลางแสงสายฟ้าที่เปล่งประกาย ทำให้อสูรสิงห์พยัคฆ์เจ็บปวดจนสายฟ้าบนตัวยิ่งเปล่งประกายมากกว่าเดิม

“ปราณโลหิต”

หลังจากที่มีบางคนสัมผัสถึงกลิ่นไออันน่ากลัวของหนวดสีเลือดแล้ว ก็หลุดปากพูดออกมาอย่างอดไม่ได้

คนอื่นๆ ก็มีสีหน้าหวาดกลัวขึ้นมา

เฟิงฉานจ้องมองเกาชงทีหนึ่ง จากนั้นก็หายวับเข้าไปในศิลาจิตวิญญาณ

แสงสีเหลืองในดวงตามนุษย์ศิลาเปล่งประกาย แท่งหินแท่งหนึ่งพุ่งขึ้นมาตรงเท้าของเฟิงฉานอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ

แต่ร่างของเฟิงฉานแห้งเหี่ยวไปชั่วระยะหนึ่ง และภายในพริบตาเดียวก็กลายเป็นสีดำ แต่เขายังคงโจมตีไปยังด้านหน้าโดยไม่สนใจแท่นหินด้านล่าง

แท่งหินเสียบเอียงๆ เข้าที่เอวของเขาแต่ถูกแรงสั่นสะเทือนทำให้มันระเบิดออกมา

เกือบจะในเวลาเดียวกัน เฟิงฉานขยับตัวไม่กี่ทีก็โจมตีมาถึงด้านหน้าของมนุษย์ศิลา หลังจากที่ไอดำบนมือทั้งสองม้วนตัวออกมา หมัดสีเงินจางๆ ก็ปรากฏออกมาด้วย จากนั้นมันก็พุ่งไปโจมตีศิลาจิตวิญญาณ

แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นติดต่อกันในทันที

ก้อนหินสีดำเจ็ดแปดก้อนที่ลอยวนอยู่กลางอากาศได้โจมตีร่างของเฟิงฉานอย่างต่อเนื่อง แต่มันก็พากันระเบิดตัวออกมาราวกับว่าปะทะโดนเหล็กบริสุทธิ์

ถึงแม้เฟิงฉานจะถูกกระทบกระเทือนจนต้องล่าถอยอยู่ไม่หยุด แต่ไม่มีบาดแผลปรากฏบนตัวเขาแม้แต่น้อย เขากระทืบเท้าข้างหนึ่งลงพื้นอย่างรุนแรง จากนั้นสองมือก็พุ่งโจมตีศิลาจิตวิญญาณด้วยตรงหน้าจนเกิดเป็นภาพพร่ามัว

ไม่นานก็มีเสียงดังสะเทือนไปทั่วฟ้า เงาหมัดสีเงินจำนวนมากเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว มันโจมตีมนุษย์ศิลาจนหินบนตัวแตกละเอียดออกมาเป็นจำนวนมาก

ถึงแม้ศิลาจิตวิญญาณจะเคลื่อนไหวเชื่องช้า แต่มันก็ไม่ถึงกับไม่โต้ตอบกลับเมื่อมีการโจมตีในระยะประชิดเช่นนี้

มันคำรามเสียงแปลกประหลาดดังออกมาพร้อมกับกระทืบเท้าลงพื้นอย่างรุนแรง ก้อนหินขนาดต่างๆ ลอยขึ้นมาจากพื้นบริเวณนั้นทันที หลังจากที่มันสั่นไหวหนึ่งทีก็พุ่งยิงเข้าใส่เฟิงฉานราวกับฝนตก

เฟิงฉานคำรามออกมาด้วยความโมโห หมัดสีเงินเปลี่ยนทิศทางในทันที มันพุ่งออกไปทั่วทิศราวกับดอกไม้บาน ทำให้ก้อนหินส่วนมากถูกโจมตีนจนแตกละเอียด

แต่เฟิงฉานยังคงไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย

“ข้าทั้งสองยืนหยัดได้ไม่นาน น้องเถียนรีบลงมือเถอะ!” ถึงแม้จะดูเหมือนว่าร่างของเฟิงชาฉานนั้นฟันแทงไม่เข้า ทำให้ศิลาจิตวิญญาณไม่สามารถทำอะไรเขาได้ชั่วขณะ แต่เขาก็ยังเอ่ยปากเร่งออกมา

ประจักษ์ชัดว่าวิธีการป้องกันอันน่าหวาดกลัวนี้ไม่สามารถยืนหยัดได้นานมากนัก

ชายหนุ่มแซ่เถียนเก็บอาการตื่นตะลึงแล้วก็ตอบรับกลับไป จากนั้นก็หันหน้าไปยังค่ายกลศิลาที่อยู่ด้านหลัง และโยนพัดใบลานในมือขึ้นไปในอากาศทันที นิ้วทั้งสิบปลดปล่อยพลังเวทย์ออกมาเป็นสายๆ

พลังเวทย์ทั้งหมดนี้จมหายเข้าไปในพัดใบลานอย่างรวดเร็ว และยังส่งเสียงดังวิ้งๆ ก่อนที่จะมีอักขระสีฟ้า และสีแดงลอยออกมาจากพัด

เฉียนฮุ่ยเหนียง และผู้ที่เหลือก็ค่อยๆ แสดงวิชาประสานพลังกับชายหนุ่มแซ่เถียน เพื่อใช้ในการโจมตีอันน่าอัศจรรย์

เสียงดัง “ฟู่!” “ฟู่!”

ตอนที่อักขระสีฟ้า และสีแดงตรงบริเวณพัดใบลานปรากฏออกมามากขึ้นจนดูราวกับเบียดเสียดไปทั่วทุกพื้นที่นั้น กลิ่นไอบนร่างของชายหนุ่มแซ่เถียนก็เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม รัศมีแสงสีฟ้าและสีแดงขนาดใหญ่โผล่ออกมาหมุนวนรอบตัวเขาอยู่ไม่หยุด

“ชีพจรจิตวิญญาณอัคคีวารี!”

พอเห็นฉากนี้ ผู้คนทั้งหมดต่างก็หลุดปากออกมาด้วยความตื่นตะลึง

และขณะนั้นเอง เสียงร่ายคาถาของชายหนุ่มก็หยุดลง ท่ามือที่ทำอยู่ก็เปลี่ยนไปด้วย

หลังจากที่พัดใบลานโบกสะบัดเล็กน้อย มันก็พัดโจมตีค่ายกลศิลาด้วยความรุนแรง

บังเกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น

ลำแสงสีฟ้าแดงตัดสลับกันพุ่งออกไปปะทะกับกำแพงอากาศไร้รูปที่อยู่ไม่ไกล และกลายเป็นแสงลูกกลมๆ ขนาดใหญ่กลอกกลิ้งไปมาไม่หยุด ขณะเดียวกันก็ส่งเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นจนพื้นที่บริเวณนั้นสั่นสะเทือนขึ้นมา

คนอื่นๆ อีกสี่คนเห็นเช่นนี้ก็พากันลงมือโดยไม่ลังเล

เฉียนฮุ่ยเหนียงเปล่งเสียงออกมาก่อนที่จะมีหอกน้ำแข็งแวววาวที่ยาวจั้งกว่าๆ โผล่ออกมาด้านหน้า จากนั้นมันก็เปลี่ยนเป็นแสงแวววาวเมื่อโจมตีออกไป

ทางด้านคนอีกสามคน ก็มีอสรพิษไฟสีแดง เงาร่างหินยักษ์สีเหลือง และหนามสีเขียวที่พุ่งยิงออกไปจนดูแน่นขนัด ทั้งหมดนี้โจมตีไปยังบริเวณแสงลูกกลมๆ ที่มีสีแดงกับสีฟ้า

ตอนนี้ชายหนุ่มแซ่เถียนถึงได้ยกแขนข้างหนึ่งขึ้นมา มือข้างหนึ่งชี้ไปยังจุดที่แสงลูกกลมๆ รวมตัวกัน

หลังจากมีเสียงดังก้องจนหูจะหนวกดังขึ้นมา แสงลูกกลมๆ กับการโจมตีอื่นๆ ก็ดูเหมือนจะระเบิดออกมาพร้อมกัน ทำให้กำแพงอากาศไร้รูปที่บังอยู่ด้านหน้าแตกละเอียดออกมา

กองหินหลายแห่งก็ถูกกระทบกระเทือนจนแตกละเอียดเป็นผุยผง

“สำเร็จแล้ว รีบไป!”

คนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ ก็พุ่งออกไปจากค่ายกลศิลาด้วยความดีใจ

เกาชงที่กำลังและเฟิงฉานที่กำลังยื้ดยุดศิลาจิตวิญญาณกับอสูรสิงห์พยัคฆ์อยู่ก็พุ่งตีลังกาออกไปอย่างรวดเร็ว

การเคลื่อนไหวของศิลาจิตวิญญาณค่อนข้างเชื่องช้า มันไม่สามารถไล่ตามเฟิงฉานได้ทัน

อสูรสิงห์พยัคฆ์ก็ไม่สามารถสลัดไอหมอกโลหิตได้ชั่วขณะหนึ่ง มันทำได้เพียงมองดูเกาชงหนีลอยนวลไป

ผ่านไปไม่นาน อสูรสิงห์พยัคฆ์ก็คำรามเสียงสลัดตนให้หลุดพ้นจากไอหมอกโลหิตด้วยความโมโห แต่ตอนนั้นผู้คนทั้งหลายก็หนีหายไปกันหมดแล้ว

ศิลาจิตวิญญาณตนนั้นไล่ตามไปจนถึงขอบกองหินโดยไม่แสดงอาการใดๆ บนสีหน้า จากนั้นก็จมหายไปในพื้นดินโดยไร้สุ้มเสียงใดๆ

เมื่อเป็นเช่นนี้ อสูรสิงห์พยัคฆ์ก็ได้แต่คำรามเสียงต่ำอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็หมุนตัวกลับไปยังยอดเขาของตนเอง

……

หลิ่วหมิงเหยียบเท้าอยู่บนก้อนเมฆสีเทาก้อนหนึ่ง เขาเอื้อมมือเก็บเห็ดหลินจือที่ค่อนข้างใหญ่ตรงหน้าผาสูงชัน จากนั้นเก็บมันเข้าไปอย่างระมัดระวัง ซึ่งสีหน้าเขาดูมีความสุขมาก หลังจากเมฆเทาใต้เท้าเคลื่อนไหวอีกครั้ง เขาก็เหาะไปยังหน้าผาที่สูงชันกว่าเดิม

ที่นั้นมีหญ้าจิตวิญญาณสีเหลืองอ่อนที่โชยกลิ่นหอมหอมกรุ่นออกมา

เขาลูกนี้สมกับเป็นสถานที่ที่มีปราณจิตวิญญาณเข้มข้นมากที่สุดในแดนลึกลับแห่งนี้ พืชจิตวิญญาณต่างๆ ที่หาตามที่อื่นๆ ได้ยากยิ่ง ก็สามารถหาได้อย่างรวดเร็วในเขาลูกนี้ และยังมีพืชจิตวิญญาณหลายต้นที่ทานแล้วสามารถกลั่นเป็นพลังเวทย์ได้ทันที

สิ่งนี้ย่อมทำให้หลิ่วหมิงตื่นเต้นเป็นอย่างมาก จากนั้นเขาก็ค่อยๆ เดินไปตามเส้นทางขึ้นเขาบางแห่งเพื่อค้นหาต่อไป

เวลาสองชั่วยามค่อยๆ ผ่านไป หลิ่วหมิงอยู่บนก้อนหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่ง เมื่อเขาจ้องมองสถานที่ที่อยู่สูงขึ้นไป ก็อดที่จะใจเต้นไม่ได้

บนลานราบเรียบที่สูงสิบจั้ง มีป่าท้อเล็กๆ ผืนหนึ่ง มันออกผลสีเขียวแดง และต่างก็เป็นท้อลูกเล็กๆ ทำให้มองดูแล้วไม่อยากจะกินสักเท่าไหร่

แต่ตรงชายป่าของป่าท้อกลับมีศพลูกวานรสองสามตนที่ถูกฟันเป็นชิ้นๆ วางอยู่บนพื้น

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ใจเต้นขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

เขาลืมไปได้อย่างไรว่าวานรไม่กี่ตนนั้นค่อนข้างมีสติปัญญาและยังครอบครองเขาลูกนี้มานานขนาดนี้ มีความเป็นไปได้แปดถึงเก้าในสิบส่วนว่าในรังของมันคงจะมีพืชจิตวิญญาณที่มีมูลค่าไม่เบา

ดูจากสภาพตรงหน้าก็เห็นอย่างชัดแจ้งว่ามีคนแย่งไปก่อนแล้ว

แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ หลิ่วหมิงก็ยังขี่เมฆทะยานขึ้นไปบนฟ้า

ผ่านไปไม่นาน หลิ่วหมิงก็ค่อยๆ ร่อนลงบนลานหิน หลังจากที่เขากวาดสายตามองศพลูกวานรเหล่านั้นแล้ว ก็มองทะลุไปเห็นถ้ำขนาดใหญ่กว่าปกติที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากต้นท้อสิบกว่าต้นตรงหน้า

เขาเดินทะลุต้นท้อเหล่านี้เพื่อตรงเข้าไปในถ้ำไปโดยไม่ลังเล

พอเท้าทั้งสองของเขาแตะปากทางเข้า ก็สามารถมองเห็นทุกสิ่งในนั้นได้อย่างชัดเจน

ถ้ำแห่งนี้เป็นถ้ำธรรมชาติที่เต็มไปด้วยหินย้อยมากมาย และพื้นที่ในนั้นก็กว้างกว่าที่เขาคาดเดาไว้มาก

นอกจากจะมีบ่อขนาดเล็กตรงใจกลางถ้ำแล้ว ยังมีพุ่มไม้เตี้ยอยู่บริเวณรอบๆ

ภายในพุ่มไม้มีร่องรอยของดินที่ขุดขึ้นมาใหม่อย่างเห็นได้ชัด ประจักษ์ชัดว่ามีคนขุดเอาอะไรบางอย่างไปแล้ว

ไม่เพียงแต่เท่านี้ บนผนังรอบด้านของถ้ำก็มีบางแห่งที่ถูกคนเคาะตีจนเป็นหลุมเป็นบ่อ แสดงให้เห็นว่ามีคนงัดเอาของสำคัญไป

ดูเหมือนว่าตนเองมาช้าไปก้าวหนึ่งจริงๆ สิ่งของที่ค่อนข้างมีมูลค่าถูกคนกวาดไปจนหมดเกลี้ยงแล้ว

หลังจากที่หลิ่วหมิงหัวเราะอย่างขมขื่น ก็ยังคงค้นในถ้ำอย่างละเอียดอีกรอบด้วยความรู้สึกไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆ เลย

เขาทำแม้กระทั่งกระโดดลงไปหาในบ่อน้ำจืดที่อยู่กลางถ้ำหนึ่งรอบ แต่นอกจากแร่ที่ราคาถูกๆ ไม่กี่ก้อนแล้ว เขาก็ไม่ค้นพบสิ่งใดอีก

เขาเลยจำใจเดินออกไปจากถ้ำด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม จากนั้นก็ไปหาพืชจิตวิญญาณตรงสถานที่อื่นๆ

สถานที่แห่งนี้ถูกเก็บกวาดไปจนหมดสิ้นเช่นนี้ ดูท่าแปดถึงเก้าในสิบส่วนคงเป็นฝีมือของหยางเฉียนหรือไม่ก็ศิษย์พี่อวิ๋นผู้นั้น ไม่แน่พวกเขาทั้งสองคงรีบมาที่นี่ตั้งแต่แรกแล้ว ไม่รู้ว่าพวกเขาได้ของล้ำค่าจากรังของปีศาจวานรไปมากมายเท่าไหร่

หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว ในขณะที่เขาเดินผ่านต้นท้อต้นหนึ่งนั้น ก็มีลูกท้อที่สุกครึ่งหนึ่งอยู่บนศีรษะเขาพอดี มันมีขนาดเท่าไข่ไก่ใบหนึ่ง

เขายกแขนเด็ดลูกท้อมากัดกินไปหนึ่งคำอย่างไม่ใส่ใจ และคิดที่จะโยนทิ้งในทันที

แต่ครู่ต่อมาเท้าทั้งสองของหลิ่วหมิงก็ต้องหยุดชะงักในทันที สีหน้าก็เปลี่ยนไปภายในพริบตา ตอนแรกเขารู้สึกอึ้งมาก แต่ต่อมาก็แสดงท่าทีที่ดูเหลือเชื่อ

“ลูกท้อนี้คือ…”

สีหน้าเขาดูเหมือนกับไม่อยากจะเชื่อ หลังจากที่กล่าวพึมพำออกมาแล้ว เขาก็รีบกัดคำที่สองและกลืนลงไปอย่างรวดเร็ว

ภายในพริบตาที่เนื้อผลไม้กลายเป็นของเหลวไหลลงท้อง พลังภายในที่เต็มเปี่ยมก็ไหลเวียนไปทั่วร่างของเขา

ลูกท้อเหล่านี้มีผลลัพธ์ในการช่วยเพิ่มพลังเวทย์เหมือนกับหญ้าจิตวิญญาณที่มีอายุเหล่านั้นได้อย่างน่าอัศจรรย์

หลิ่วหมิงกัดแทะผลไม้ในมือด้วยความรวดเร็วจนหมดเกลี้ยง หลังจากแน่ใจในผลลัพธ์ที่ได้อีกครั้ง เขาก็รีบลงมือด้วยความดีใจ และเริ่มเก็บผลบนต้นท้อด้วยความรวดเร็ว

ตอนนี้เขาถึงค้นพบว่า ต้นท้อสิบกว่าต้นนี้ดูเหมือนจะมีเยอะ แต่ลูกท้อบนต้นมีแค่เจ็ดแปดลูกต่อต้นเท่านั้น

เมื่อรวมกันทั้งหมดสิบกว่าต้น ก็เหมือนกับว่าจะเก็บลูกท้อมาได้ราวๆ ร้อยกว่าลูก

เมื่อเก็บลูกท้อลงมาทั้งหมดแล้วก็วางกองกันบนพื้น หลิ่วหมิงถอนหายใจยาวๆ ออกมา หลังจากนั้นก็หยิบลูกท้อลูกหนึ่งขึ้นมาสังเกตดูอย่างละเอียด

……………………………………….