ตอนที่ 373 ข้าขอเอ่ยเพียงไม่กี่ประโยค

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 373 ข้าขอเอ่ยเพียงไม่กี่ประโยค

“ข้ามิได้อยากเป็นองค์ชาย หรือองค์รัชทายาทอันใดทั้งสิ้น ข้าควรทำเยี่ยงไรดี ? ”

หนานกงอี้หยู่ตื่นตกใจขึ้นมาทันพลัน ถ้วยชาที่อยู่ในมือนั้นพลันหล่นลงพื้นและเกิดเสียงดัง เพล้ง !

ทั่วทั้งใต้หล้านี้ยังมีผู้ที่มิปรารถนาจะเป็นองค์รัชทายาทหลงเหลืออยู่อีกเยี่ยงนั้นหรือ ?

นั่นเป็นถึงจักรพรรดิพระองค์ต่อไป !

เป็นตำแหน่งสูงสุดแห่งแคว้น !

“เจ้ามิเป็นองค์รัชทายาท เช่นนั้นแล้วผู้ใดจะเป็นเล่า จักรพรรดิเหวินเหลือพระโอรสเพียงแค่ 1 พระองค์ แล้ว ซึ่งนั่นก็คือเจ้า เมื่อวานพระองค์ทรงถอดถอนอู๋กานออกจากตำแหน่ง ด้วยเหตุนี้ขุนนางทั้งหลายจึงมิเห็นด้วย แต่เจ้าอย่าได้เป็นกังวลไป ที่พวกเขามิเห็นด้วยนั้นเป็นเพราะต้องการสร้างความมั่นคงให้แก่ราชวงศ์ก็เท่านั้นเอง หากไทเฮามิทรงเสด็จมายังพระราชวังจวี้หัว ฝ่าบาทเองก็คงยากที่จะกลับมาควบคุมเสียงในที่ประชุมได้”

“สิ่งที่พระองค์ทรงทำไปทั้งหมด สมควรจะได้รับคำเอ่ยที่มักง่ายจากเจ้าแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ทั้งหมดที่ทำก็เพื่อปูเส้นทางสู่ความยิ่งใหญ่ให้แก่เจ้า ! ”

“เมื่อปูทางให้เจ้าเสร็จแล้ว เจ้าก็จะเป็นผู้เดียวในราชวงศ์อู๋ที่มิสิทธิ์เข้าไปเป็นองค์ชายกุมอำนาจเหนือพระราชตำหนักบูรพา แต่เจ้ากลับมิใยดีทำ…เช่นนี้มิสมควรยิ่ง เจ้ามิควรมีความคิดเช่นนี้…เช่นนั้นข้าขอเตือนเจ้าไว้เพียงแค่ประโยคเดียว จัวอี้สิงย่อมสังหารเจ้า และเจ้าก็สมควรที่จะโดนสังหารเสียจริง ๆ ”

ฟู่เสี่ยวกวนคาดไม่ถึงว่าเมื่อเอ่ยความจริงจากใจให้ตาเฒ่าผู้นี้ได้ฟังกลับทำให้เขาเดือดดาลขึ้นมาได้

เพราะเขามิได้คาดคิดว่าขุนนางเช่นหนานกงอี้หยู่นั้นจะให้ความสำคัญกับการสืบสันติวงศ์มากถึงเพียงนี้

จัวอี้สิงถึงกับยอมมีความบาดหมางกับหยูเวิ่นซูเพื่อธำรงไว้ซึ่งความมั่นคงของราชบัลลังก์ เขาถึงกับต้องการกำจัดฟู่เสี่ยวกวนให้สิ้นซากเพราะข่าวลือไร้มูลนั่น !

ถึงขนาดที่ว่าเมื่อฟู่เสี่ยวกวนเดินทางมาถึงเมืองชายแดน เขายังไหว้วานเป่ยหวังฉวนให้ใช้ธนูปลิดชีพฟู่เสี่ยวกวนเสีย

แน่นอนเสียว่านี่คือการสมรู้ร่วมคิดกับจักรพรรดินีเซียว แต่จักรพรรดินีเซียวนั้นทำไปเพราะเหตุผลส่วนตัวล้วน ๆ ก็เพื่อที่ว่าอู๋กานโอรสของนางจะได้ขึ้นครองบัลลังก์มังกรเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไป !

แต่จัวอี้สิงนั้นกระทำไปเพื่อบ้านเมือง เขาปรารถนาที่จะเห็นการเปลี่ยนผ่านรัชสมัยเป็นไปอย่างราบรื่น

ในรัชสมัยนี้คงไร้ซึ่งสิ่งใดที่จะสำคัญไปกว่าการสืบสันติวงศ์ เมื่อหนานกงอี้หยู่ได้ยินสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนคิดนั้นก็เลยรู้สึกตื่นตกใจอย่างถึงที่สุด !

ฟู่เสี่ยวกวนเลยเอ่ยได้เพียงว่า “ข้าขอเอ่ยตามตรง ทำการเพาะปลูกนั้นข้าทำได้ แต่องค์รัชทายาทนี้เกรงว่าข้าจะมิมีคุณสมบัติเพียงพอน่ะสิ ! ”

“ด้วยเหตุนี้เจ้าจึงต้องศึกษาเล่าเรียน บัดนี้กำลังอยู่ในช่วงรุ่งเรืองขององค์ฝ่าบาท หากเจ้าได้อยู่ข้างพระวรกายของฝ่าบาท แน่นอนว่าย่อมได้เรียนรู้หลักการการบริหารบ้านเมือง”

“มิเคยมีจักรพรรดินีปรากฏขึ้นในประวัติศาสตร์เลยเยี่ยงนั้นหรือ ? ” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถามด้วยความรอคอย เพราะจักรพรรดิเหวินยังมีพระราชธิดาอยู่อีก 1 พระองค์นั่นก็คืออู๋จ้าว !

หนานกงอี้หยู่ทำหน้าเคร่งขรึมใส่ฟู่เสี่ยวกวน “เจ้าก็เคยร่ำเรียนหลักคิดแบบขงจื๊อ สามีคือต้นภรรยาตาม หลักสามกฎง่าย ๆ เจ้าลืมไปแล้วเยี่ยงนั้นหรือ พระราชธิดาสักวันนั้นย่อมแต่งงานมีพระสวามี จะเป็นจักพรรดินีได้เยี่ยงไร ฟ้าดินนั้นมีหยินและหยาง เบื้องบนนั้นคือหยางส่วนเบื้องล่างนั้นคือหยิน หากให้สตรีเป็นจักรพรรดินี เจ้าคิดเยี่ยงนั้นหรือว่าจะนำมาซึ่งสู่ความสงบสุขได้ เพราะนี่เท่ากับการพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน ! ”

เยี่ยงนั้นแล้วบุคคลอย่างอู๋เจ๋อเทียนดังเช่นในประวัติศาสตร์นั้นแทบจะมิมีโอกาสเป็นไปได้

ฟู่เสี่ยวกวนสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดเพื่อให้จิตใจของตนสงบ เขาเพียงแค่เดินทางมาร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมเพียงเท่านั้น แต่กลับได้พลิกบทมาเป็นองค์รัชทายาท…คนเขียนบทละครยังมิกล้าเขียนบทเยี่ยงนี้เลยมิใช่หรือ ?

แน่นอนเสียว่า ถ้าหากคิดในอีกแง่มุมหนึ่ง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างแน่นอน

แต่ก่อนเขามีที่ทำการเพาะปลูกที่เมืองหลินเจียง เป็นผืนดินอุดมสมบูรณ์กว้างใหญ่ไพศาล

ทว่าทุกวันนี้มีพื้นที่การเพาะปลูกบนผืนแผ่นดินของราชวงศ์อู๋แทน ผืนแผ่นดินของราชวงศ์อู๋ที่แสนเกรียงไกร คงมากมายเกินประมาณการ

ทว่าเป็นจักรพรรดิห่าเหวอะไรนี้ เป็นปลาเค็มตากแห้งยังสบายใจเสียยิ่งกว่าอีก !

เมื่อคิดว่าต้องตื่นตั้งแต่ก่อนฟ้าสางในทุก ๆ เช้า นี่ก็ช่างลำบากแสนสาหัสแล้ว ในหนึ่งสัปดาห์อย่าเอ่ยถึงวันหยุดเลย แม้แต่วันหยุดยาวก็คงจะมีเพียงแค่มิกี่วัน

คงมิมีอีกแล้ววันที่จะได้นอนจนเต็มอิ่ม คงมิมีอีกแล้ววันที่สามารถเที่ยวดื่มสุราจนเมามายได้ตามอำเภอใจ คงมิมีอีกแล้วเวลาที่จะได้ไปเดินเตร็ดเตร่ที่หงซิ่วจาวหรือจะเป็นหลิวหยุนถายที่เมืองกวนหยุนแห่งนี้ ความสบายใจเหล่านี้คงแปรเปลี่ยนไปเป็นสิ่งที่โหยหา

นำตำแหน่งองค์จักรพรรดิของแคว้นมาอ้างนั้นก็ฟังดูดีอยู่หรอก แต่สำหรับฟู่เสี่ยวกวนนั้น การรับตำแหน่งนี้ก็เท่ากับว่าได้ขายวิญญาณของตนให้กับแคว้นนี้ไปเสียแล้ว ขายสิ้นทั้งอิสรภาพ สุขภาพ งานอดิเรก และแม้กระทั่งการแต่งงานและการมีลูก

เรื่องราวมากมายถาโถมเข้ามากะทันหันเยี่ยงนี้ทำให้แผนการอยู่อย่างสุขสบายดั่งปลาเค็มของเขานั้นพังทลาย ที่เขาเรียกเพียงแค่หนานกงอี้หยู่เข้ามาสนทนานั้นก็เพียงเพราะต้องการจะรู้ว่าขุนนางอีกร้อยกว่าชีวิตนั้นมีความคิดเห็นเยี่ยงไรบ้าง และตอนนี้เขาก็ได้เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าหากเขาไม่ยอมรับสถานภาพนี้ ผลลัพธ์ที่ตามมาจะเป็นเยี่ยงไร

ดูเหมือนว่าผลลัพธ์จะแสนสาหัสเกินกว่าที่คาดคิดไว้ !

แล้วตัวเขาก็ดันอยู่บนผืนปฐพีของราชวงศ์อู๋เสียด้วยสิ !

อยากหนีก็ไร้หนทางหนี !

เขาเชื่อยิ่งนักว่าด้านนอกคฤหาสน์จิ้งหูนั้นมีผู้คนมากมากที่ถูกจักรพรรดิเหวินรับสั่งให้มาติดตามเขา ภายนอกนั้นดูเหมือนว่าจะมาคอยคุ้มกัน แต่แท้จริงนั้นเกรงว่าจะมีกลิ่นอายของการจับตามองเขามิให้ละสายตาแฝงมาด้วย

นี่นับเป็นยุทโธปกรณ์ของแคว้น ต่อให้ข้างกายของเขามียอดฝีมือระดับสูงจากสำนักเต๋าถึง 7 คน แต่ก็มิอาจพาเขาเหาะเหินข้ามผืนแผ่นดินของราชวงศ์อู๋ไปได้

หากลองไตร่ตรองให้ละเอียด ต่อให้เขาเหาะเหินกลับราชวงศ์หยูได้อย่างแท้จริง ฮ่องเต้ย่อมจับเขามัดแล้วส่งตัวเขากลับมายังแผ่นดินราชวงศ์อู๋อีกเป็นแน่

“เอาเยี่ยงนี้ก็แล้วกัน ท่านลองดูเถิดว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่…”

ฟู่เสี่ยวกวนเหมือนจะฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ แต่ก็ยังไม่ทันได้เอ่ยออกไปก็โดนหนานกงอี้หยู่ขัดเข้าทันควัน “มิต้องเอ่ยสิ่งใดทั้งสิ้น เวลานี้เจ้าไร้สิทธิ์เสียงที่จะเอ่ยสิ่งใดทั้งนั้น ! ”

“มิใช่เช่นนั้น ท่านอย่าได้รีบร้อน จักรพรรดิเหวินยังเจริญพระชนมพรรษาได้มิถึง 40 พรรษา พระองค์ยังสามารถประสูติพระราชโอรสหรือพระราชธิดาอีกสักสองสามคนได้อยู่”

เขายังไม่ทันได้เอ่ยจบ หนานกงอี้หยู่ก็แสดงท่าทีโต้แย้งขึ้นมาอีกครา “เจ้าคิดหรือว่าขุนนางทั้งราชวงศ์มิเคยโน้มน้าวพระองค์ให้ทำเช่นนั้นมาก่อน ? ”

เขาส่ายหน้า “จักรพรรดิเหวินนั้นเป็นคนยึดมั่นในความรัก เรื่องนี้ผู้คนต่างก็ย่อมรู้ดี รักแท้ของพระองค์เพียงหนึ่งเดียวนั่นก็คือมารดาของเจ้า บุตรสาวของข้าที่ได้อภิเษกสมรสกับพระองค์ก็เกิดขึ้นภายใต้การบังคับของไทเฮา ราชวงศ์ทุกราชวงศ์บนผืนปฐพีนี้จะมีราชวงศ์ไหนขาดแคลนเชื้อพระวงศ์ได้มากถึงเพียงนี้อีกเล่า ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนหมดคำกล่าว หากเรื่องนี้ไปถึงหูของฟู่ต้ากวน ตาอ้วนผู้นั้นคงจะกระโดดน้ำตายกันไปข้างหนึ่ง

เขาก็เป็นบิดาของตนเช่นกัน หากจะกล่าวไปแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนนั้นรู้สึกซาบซึ้งต่อสิ่งที่ฟู่ต้ากวนทำให้เขาเสมอมา

ความรักที่ตาอ้วนผู้นั้นมีให้เขานั้นมิใช่การเสแสร้งแกล้งทำอย่างแน่นอน

ต้องรีบเขียนจดหมายไปให้เขาทราบโดยด่วนที่สุด ไม่ ! ต้องเขียนไปหาไป๋ยู่เหลียน แล้วให้เขามอบหมายให้ผู้อื่นส่งไปให้ตาอ้วนผู้นั้นอีกครา

เดิมทีเขาเพียงแค่อยากเป็นขุนนางแห่งราชวงศ์หยูไปแบบผ่าน ๆ เมื่อสมรสกับหยูเวิ่นหวิน ต่งชูหลาน และเยี่ยนเสี่ยวโหลวเสร็จแล้วก็จะเกษียณ จากนั้นก็จะไปอยู่ที่ซีซาน ไปบนภูเขาเฟิ่งหลิน และนำตาอ้วนไปอยู่ด้วย เช่นนั้นครอบครัวก็จะได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา มีชีวิตที่สุขสำราญไปวัน ๆ

แล้วเพาะปลูกบนที่ดินผืนนั้นของตนอย่างตั้งใจ เขาเชื่อมั่นเหลือเกินว่าเขาสามารถทำได้ ประการที่หนึ่ง หากเขามีเมล็ดข้าวพันธุ์ผสมแล้ว เขาก็ย่อมได้ผลผลิตข้าวในปริมาณที่มากขึ้นอย่างมหาศาล ประการที่สอง หากเขามีมันเทศพืชผลมหัศจรรย์นี้ ปีหน้าเขาก็สามารถผลักดันให้เกิดการแพร่หลายได้ แล้วปีถัดไปมันเทศก็ย่อมได้รับความนิยมกันทั่วผืนแผ่นดินราชวงศ์หยู

ปัญหาเรื่องปากท้องของประชากรก็ย่อมได้รับการแก้ไขอย่างเต็มรูปแบบ ย่อมไร้ซึ่งคนเร่ร่อนและอดยากอีกต่อไป ส่วนคนเหล่านั้นที่ขึ้นเขาไปเป็นโจรป่า ก็ย่อมกลับตัวกลับใจลงจากเขามาทำการเพาะปลูก

หากปืนใหญ่หงอี้ได้รับการพัฒนาตกทอดมารุ่นสู่รุ่น ปืนคาบศิลาอาวุธแสนวิเศษนี้ก็จะถูกคิดค้นมาเช่นกัน

ในมือเขานั้นมีกองกำลังพิเศษในแขนงต่าง ๆ มากถึง 4,000 นาย หากได้ลองคิดค้นวิธีการต่อเรือ แล้วออกทะเลไป ปล้นสะดมทรัพย์ ไอหยา…ชีวิตช่างแสนสุขใจมากยิ่งนัก แต่ทว่าเรื่องห่าเหวนี่กลับทำให้ความฝันแหลกสลายกลายเป็นฝุ่นผง !

“ข้าประสงค์จะเข้าเฝ้าจักรพรรดิเหวิน”

“ข้ากลับคิดว่าเจ้าควรจะไปพบเหล่าเสนาบดีที่ออกันอยู่ด้านนอกเสียก่อนจะดีกว่า การหลบซ่อนอยู่คงมิใช่หนทางที่ดีสักเท่าใดนัก”

ฟู่เสี่ยวกวนแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ป่านนี้แล้วเขายังมิได้กินมื้อกลางวันเลย !

เขาใช้สองมือนั้นค้ำโต๊ะแล้วยืนขึ้น จากนั้นก็ได้ก้าวยาว ๆ ออกไป

เขาออกไปยืนตรงกลางลานพอดี ขณะนั้นเองเหล่าเสนาบดีทั้งหลายก็ได้แห่เข้ามายืนอยู่เบื้องหน้าของเขา

“ข้าเพียงแค่อยากจะเอ่ยกับพวกท่านเพียงมิกี่ประโยค”

“ประโยคที่หนึ่ง งานราชการของราชสำนักนั้นสำคัญยิ่งกว่า ! ”

“ประโยคที่สอง เรื่องนี้ข้าต้องขอเวลาสักเล็กน้อย”

“และประโยคที่สาม ข้าหิวมากยิ่งนัก หากพวกท่านมิยอมกลับไป ข้าจะหิวตายให้พวกท่านดู ! ”