ตอนที่ 374 เขาต้องเป็นองค์รัชทายาท

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 374 เขาต้องเป็นองค์รัชทายาท

รวมทั้งสิ้นสามประโยค

สองมือของจัวอีสิงนั้นคารวะลาก่อนใครอื่น จากนั้นเขาก็ได้กลับไป

โจวถงถงและเสนาบดีคนอื่น ๆ ค่อยทยอยกันมาคารวะ แล้วพวกเขาก็ได้ทยอยออกไปจากคฤหาสน์จิ้งหูไปจนหมด บัดนี้ความสงบสุขก็ได้หวนคืนมาอีกครา

หยูเวิ่นหวิน ต่งชูหลาน และเหล่าศิษย์พี่แห่งสำนักเต๋า จึงได้สบโอกาสออกมาจากห้องของตน พวกเขาต่างมองมาที่ฟู่เสี่ยวกวน แล้วได้แสดงสีหน้าที่แตกต่างกันออกไป

ซูเจวี๋ยคิดว่าท่านอาจารย์ของตนนั้นเก่งกาจเหนือใคร ที่สามารถคัดเลือกศิษย์น้องเล็กผู้นี้ออกมาได้ท่ามกลางหมู่คนเป็นร้อยพัน แล้วเขายังเป็นถึงองค์ชายแห่งราชวงศ์อู๋ที่กำลังจะได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาท และเป็นว่าที่จักรพรรดิแห่งราชวงศ์อู๋อีกด้วย !

เกาหยวนหยวนนั้นสุขใจมากยิ่งนักที่ศิษย์น้องเล็กของตนได้กลายเป็นผู้สูงส่งถึงเพียงนี้ หลังจากนี้คาดว่าคงจะได้ดื่มด่ำกับอาหารเลิศรสเสียมากมาย คงจะได้กินจนอ้วกแตกกันไปข้างหนึ่งเลยใช่หรือไม่ ?

ส่วนซูซูนั้นมิได้รู้สึกสนใจต่อสถานภาพของฟู่เสี่ยวกวนที่ได้เปลี่ยนแปลงไป นางนั่งเชิดคางอยู่บนเก้าอี้ แล้วแกว่งขาของนางไปมา นางนึกถึงฟู่เสี่ยวกวนคนที่ชอบนั่งอยู่ในแปลงนาคนนั้น เพราะดูเป็นฟู่เสี่ยวกวนตัวจริงเสียมากกว่า

เมื่อเห็นสีหน้าของแต่ละคน ฟู่เสี่ยวกวนจึงยิ้มเจื่อน “วางเรื่องเหล่านี้ลงก่อน แล้วมากินข้าวกันเถอะ ! ”

วันนั้นทั้งวันฟู่เสี่ยวกวนมิได้ออกจากประตูเรือนอีกเลย เขามอบหมายให้หนิงซือเหยียนคอยสกัดห้ามให้ผู้ใดเข้ามาคารวะเขาอีกเป็นอันขาด

หนึ่งในคนพวกนั้นมีเยียนหานยวี่และฝานเทียนหนิง

เยียนหานยวี่มาเยือนครานี้มีจุดประสงค์เพื่อจะชักชวนฟู่เสี่ยวกวนให้ไปที่หลิวหยุนถาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้รู้ถึงสถานะที่แท้จริงของฟู่เสี่ยวกวนก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าแขนที่ขาดไปนี้มิได้น่าเสียดายอีกต่อไป ใครจะไปคิดว่าฟู่เสี่ยวกวนจะเป็นองค์ชายแห่งราชวงศ์อู๋เสียจริง ๆ อีกทั้งกำลังจะได้รับการสถาปนาเป็นองค์รัชทายาทในเร็ววันอีกด้วย !

ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง !

เมื่อนึกถึงเรื่องราวที่เมืองฝานหนิง ที่ตนและท่าป๋ายวนได้ดูแคลนและเอ่ยวาจาที่ทำให้เขาเสียเกียรติ เขาก็พลันรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา ราวกับว่าโดนฟู่เสี่ยวกวนตบบ้องหูเข้าอย่างจัง !

สถานะองค์ชายของตนเทียบอันใดได้กัน !

เขาจะได้เป็นองค์รัชทายาทในเร็ววันนี้แล้ว !

จำต้องสานความสัมพันธ์กับฟู่เสี่ยวกวนเสียให้มั่น หวังว่าเขาจะมิลืมคำเอ่ยเหล่านั้น ตำแหน่งองค์รัชทายาทของข้าจะต้องพึ่งพาอำนาจของเขาเพื่อที่จะได้มันมา

แม้ว่าจะเป็นอีกคราที่อีกฝ่ายปิดประตูหนี แต่เยียนหานยวี่กลับมิได้รู้สึกโกรธเคือง อีกทั้งยังมอบเหล้าหมักซีซานอีก 2 ลังให้กับหนิงซือเหยียน

“วันหน้าข้าจะมาใหม่ ! ”

ฝานเทียนหนิงนั้นยืนอยู่ด้านหน้าของคฤหาสน์จิ้งหู สายตาของเขานั้นทอดมองข้ามทะเลสาบไป ราวกับต้องการจะรู้ให้ได้ว่าบัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนกำลังทำสิ่งใดอยู่

เขาย้อนนึกถึงภาพของฟู่เสี่ยวกวนตลอดทั้งสามวันของการแข่งขันที่ผ่านมา เกรงว่าเขาได้ล่วงรู้ทุกอย่างล่วงหน้ามาก่อนแล้ว จึงมิได้ใส่ใจการการแข่งขันครานี้สักใดนัก เพียงแต่นึกข้องใจว่าเรื่องเยือนแคว้นฝานที่ตกลงไว้นั้น เกรงว่าจะเป็นโมฆะไปเสียแล้ว

ฝานเทียนหนิงรู้สึกเสียดายมากยิ่งนัก เขาและคูฉานก็ได้ลากลับด้วยอารามเศร้าสร้อย

ข่าวนี้มิเพียงแต่สร้างความคึกโครมและมีผลกระทบต่อขุนนางในท้องพระโรงเพียงเท่านั้น

แต่ยังมีผลกับทั้งเมืองกวนหยุน ราษฎรอีกหลายล้านคนก็กำลังถกเถียงเรื่องนี้อยู่เช่นกัน

“นั่นไง…ข้าว่าแล้วมิมีลมก็คงมิมีคลื่น เรื่องสถานภาพที่แท้จริงของฟู่เสี่ยวกวนเคยเป็นข่าวลือมาระยะหนึ่งแล้ว เป็นเยี่ยงไรเล่าตอนนั้นข้าแน่ใจเป็นอย่างมากว่าฟู่เสี่ยวกวนก็คือโอรสของฝ่าบาท แล้วเหตุใดพวกเจ้าถึงมิเชื่อข้า ! ”

“ตำแหน่งองค์รัชทายาทนี้หากจะกล่าวภาพใหญ่ก็คือปกครองบ้านเมือง หากจะกล่าวในภาพเล็กนั้นก็ล้วนแต่เชื่อมโยงกับชีวิตของพวกเราอย่างแน่นแฟ้น หากฟู่เสี่ยวกวนได้รับการสถาปนาให้เป็นองค์รัชทายาทเสียจริง ๆ เช่นนั้นหากนำมาเปรียบเทียบกับอู๋กานองค์รัชทายาทพระองค์ก่อนนั้น พวกเจ้าคิดว่าเป็นเยี่ยงไร ? ”

“สมองของเจ้าเหตุใดถึงได้ทึ่มถึงเพียงนี้ จะนำอู๋กานไปเปรียบกับฟู่เสี่ยวกวนได้เยี่ยงไร เจ้าเคยได้ยินข่าวคราวว่าฟู่เสี่ยวกวนติดหอนางโลมมิยอมกลับบ้านช่องเยี่ยงนั้นหรือ เจ้าเคยได้ยินว่าฟู่เสี่ยวกวนมั่วสุมอบายมุขทุกประการเยี่ยงนั้นหรือ คงมิเคย เขาเป็นถึงอัจฉริยภาพหนึ่งเดียวบนผืนปฐพี คงจะท่องหลักคำสอนของขงจื๊อได้อย่างแม่นยำ หากเขาได้เป็นจักรพรรดิ ก็ย่อมเป็นจักรพรรดิที่มีคุณธรรม”

“……”

บัดนี้ราษฎรต่างนำเรื่องนี้ไปสนทนากันจนแพร่สะพัดไปทั่วเมืองกวนหยุน สายลับของหอเทียนจีได้แอบแฝงตัวอยู่ในฝูงชนเหล่านั้น พวกเขาได้นำข้อคิดเห็นต่าง ๆ ที่ราษฎรมีต่อฟู่เสี่ยวกวนบันทึกใส่กระดาษ จากนั้นก็ส่งไปยังหอเทียนจี หลังจากที่โจวถงถงได้เห็นก็ได้ทำการคัดลอกไว้สองฉบับ

หนึ่งฉบับนั้นถูกส่งไปให้จักรพรรดิเหวิน ส่วนอีกหนึ่งฉบับนั้นถูกส่งไปให้ไทเฮาที่พระราชตำหนักเปียวเหมี่ยว

เวลานี้หนานกงตงเซวี๋ยก็ได้อยู่ที่พระราชตำหนักเปียวเหมี่ยวเช่นกัน และบัดนี้นางกำลังบอกเล่าให้กับไทเฮาถึงสิ่งที่นางได้ยินมาเมื่อคราที่ไปเยือนคฤหาสน์จิ้งหู

“เจ้าคนนี้…องค์ชายใหญ่คงอยู่สุขสบายเสียจนเคยตัว คงเป็นเพราะได้เผชิญกับข่าวอึกทึกคึกโครมเช่นนี้ องค์ชายใหญ่ถึงได้เอ่ยว่ามิประสงค์จะรับตำแหน่งองค์รัชทายาท อาจจะเป็นเพราะยังมิได้ใคร่ครวญให้ถ่องแท้ หากให้เวลากับพระองค์สักนิด คาดว่าพระองค์คงจะยอมเปลี่ยนแปลงความคิดก็เป็นได้นะเพคะ”

ไทเฮาทรงแย้มพระสรวล “มิใช่หรอก เขามิใช่ยังมิได้ใคร่ครวญให้ถ่องแท้ แต่เขาเพียงแค่มิประสงค์จะเป็นองค์รัชทายาท”

“เพราะเหตุใดกันเพคะ ? ”

“เจ้ายังเข้าใจเขามิดีพอ อายเจียนั้นเฝ้าดูเขามาเนิ่นนานแล้ว”

สายพระเนตรของไทเฮาตกไปอยู่บนแผ่นกระดาษที่หอเทียนจีได้ส่งมาให้ ข้อคิดเห็นที่ผู้คนมีต่อฟู่เสี่ยวกวนตามท้องถนนนั้นฟังดูสูงส่งยิ่ง และต่างคาดหวังในตัวเขามากพอสมควรเช่นกัน นี่นับเป็นเรื่องดี ที่มิได้ก่อความวุ่นวายอันใดมาให้

หนานกงตงเซวี๋ยถามด้วยความระมัดระวัง “ถ้าหากว่าเขามิประสงค์จะเป็นองค์รัชทายาท เช่นนั้นแล้วควรจะทำเยี่ยงไรเพคะ ? ”

“เช่นนั้นก็ต้องบังคับให้เขาเป็น เขาจะต้องเป็นองค์รัชทายาท ! ”

หนานกงตงเซวี๋ยตะลึงเสียจนอ้าปากค้าง เกิดมาเคยได้ยินแต่บังคับให้สมรส ได้ยินมาว่าถูกบังคับเสียจนต้องไปกระโดดหอคอยเพื่อฆ่าตัวตาย แต่นางมิเคยได้ยินว่ามีการบังคับให้เป็นองค์รัชทายาทมาก่อนในชีวิตนี้ !

ไทเฮาได้นำจดหมายฉบับหนึ่งส่งให้หนานกงตงเซวี๋ย “เจ้าคงมิล่วงรู้ว่าเขาทำสิ่งใดอยู่ที่ภูเขาซีซาน เมื่อเขาเป็นองค์รัชทายาท อนาคตของราชวงศ์อู๋ก็จะยิ่งใหญ่อย่างที่มิเคยเป็นมาก่อน ! ”

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้หนานกงตงเซวี๋ยตกตะลึงทันพลัน นางรู้เพียงแค่ว่าฟู่เสี่ยวกวนคือชายหนุ่มอัจฉริยะด้านงานประพันธ์ ทว่าเมื่อได้ยินไทเฮาทรงตรัสเช่นนี้ก็ยิ่งรู้สึกตกตะลึงเข้าไปใหญ่ หรือว่าเขายังประสบความสำเร็จในด้านอื่นอีกเยี่ยงนั้นหรือ ?

สายตาของนางนั้นไล่ตามตัวอักขระบนแผ่นกระดาษ ไทเฮาทรงแย้มพระสรวลแล้วตรัสถาม “หากจะกล่าวว่าข้าวหนึ่งหมู่จะสามารถให้ผลผลิตได้มากกว่าเดิมถึงสองเท่า เจ้าจะเชื่อหรือไม่ หากจะกล่าวว่าปืนใหญ่หงอี้นั้นสามารถพลิกสงครามจากแพ้เป็นชนะได้นั้น เจ้าจะเชื่อหรือไม่ ? ”

หนานกงตงเซวี๋ยนั้นแทบไม่จะอยากเชื่อ นางจึงหันไปมองไทเฮาด้วยสายตาที่หลากหลายความหมาย

“แต่สิ่งเหล่านี้นั้นล้วนแต่เป็นเรื่องเล็กน้อย เขายังเคยประพันธ์หนังสือกั๋วฟู่ลุ่นให้กับทางราชสำนักของราชวงศ์หยู” ไทเฮาทรงชี้ไปยังชั้นวางหนังสือเหล่านั้น “เอากล่องนั้นมาสิ”

หนานกงตงเซวี๋ยยกกล่องไม้จันทน์ด้วยสองมือของนาง ไทเฮาทรงเปิดกล่องนั้นออกแล้วทรงนำสมุดพกเล่มบางออกมา

“อันนี้สิถึงจะเป็นยุทโธปกรณ์ที่สำคัญของบ้านเมือง ! เจ้าจงดูเถิด แต่อย่าได้นำไปเผยแพร่เป็นอันขาด”

หนานกงตงเซวี๋ยก้มหน้าอ่านอย่างตั้งใจ ในใจนั้นรู้สึกตกตะลึงเสียยิ่งกว่าเดิมราวกับมีคลื่นยักษ์ถาโถมเข้ามาใส่ตัวของนาง !

เขา…เขามิเพียงแต่เป็นเลิศเหนือผู้ใดในด้านงานประพันธ์ แต่ด้านทำคุณประโยชน์ให้กับสังคมก็ไร้ผู้ใดมาเทียบเท่าได้เช่นกัน !

หากนำราชวงศ์อู๋ไปเปรียบเทียบกับราชวงศ์หยู ราษฎรในแคว้นของราชวงศ์อู๋นั้นมีความเปิดกว้างมากกว่า เพราะอิทธิพลจากแนวคิดของขงจื้อนั้นยังมิได้ถูกฝังเข้าไปในความคิดของผู้คนลึกจนเกินไป จึงทำให้สามารถเปิดรับแนวคิดใหม่ ๆ ได้ง่ายกว่า

หนังสือเล่มนี้ในสายตาของเยี่ยนเป่ยซีนั้นเห็นว่าต้องวางแผนยุทธศาสตร์แห่งชาติจากนั้นจึงค่อยเป็นค่อยไป แต่กลับกันหากเป็นมุมมองของไทเฮาแล้ว เพียงแค่มีคนที่เข้าใจในหลักการนี้แล้วนำไปประยุกต์ใช้ได้เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

และวันนี้ผู้ที่เข้าใจหลักการนี้ก็มีแล้ว เพียงแต่ว่าต้องรอให้เขาเข้าไปประจำที่พระราชตำหนักบูรพาเสียก่อน แล้วใช้สถานะองค์รัชทายาทในการผลักดันนโยบายนี้

ประการแรก ก็เพื่อรอให้ตำแหน่งประจำพระราชตำหนักบูรพานั้นมั่นคงเสียก่อน ประการที่สอง ในระหว่างที่ผลักดันการใช้หลักการนี้ เขาย่อมต้องการแรงสนับสนุนจากเหล่าขุนนาง ทั้งนี้ก็เพื่อให้เขาได้มีเวลาปูพื้นฐานและทำความเข้าใจที่จะทำงานร่วมกันกับขุนนางเหล่านี้

“อายเจียรู้สึกขอบคุณสวี่หยุนชิงเป็นอย่างมากที่ได้ให้กำเนิดเทพบุตรผู้นี้ เดิมทีอายเจียนั้นแสนจะกังวลอนาคตของราชวงศ์ แต่ทว่าวันนี้คงจะตายตาหลับได้เสียที…”

พระองค์เหมือนจะฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหันไปทอดพระเนตรทางหนานกงตงเซวี๋ย แล้วทรงตรัสถามว่า “เจ้าคิดว่า…เขาคิดว่า เขาจะสังหารจัวอี้สิงหรือไม่ ? ”

หนานกงตงเซวี๋ยถึงกับผงะเมื่อได้ยิน นางลองไตร่ตรองดูแล้ว ท้ายสุดจึงส่ายหัวออกมา

“เพราะเหตุใดกัน ? ”

“เขามิใช่คนประเภทที่มีแค้นต้องชำระเพคะ”

“อ่า…พรุ่งนี้เจ้าจงมาที่นี่ แล้วติดตามอายเจียไปที่ทะเลสาบสือหลี่ อายเจียอยากไปดูบรรยากาศความคึกครื้นของงานประกาศผลเสียหน่อย”