ตอนที่ 210

Crazy Leveling System

CLS ตอนที่ 210: ดวล

 

“เจ้ามานี่ได้ยังไง ที่นี่สำหรับเจ้าแล้ว มันมีแรงกดดันมากเลยนะ….” หยางซีเสวี่ยรีบพูดขึ้นมา

 

“มีแรงกดดันอะไรที่ไหน? เจ้าฝึกของเจ้าไปเถอะ ขอข้าเดินดูที่นี่หน่อย” อี้เทียนหยุนไม่ได้นั่งลงฝึก แต่กลับเอาแต่เดินไปเดินมาในห้องนี้แทน พร้อมกับสำรวจอักษรรูนบนผนัง

 

หยางซีเสวี่ยไม่กล้าเดินไปไหนมาไหนตามใจ หลังจากมองตามเขาด้วยสายตาช่วยไม่ได้แล้ว ก็กลับมานั่งฝึกของตนต่อ ที่นี่ไม่ได้มีอันตรายอะไร แต่ในเมื่อบอกแล้วไม่เชื่อก็คงต้องแล้วแต่บุญแต่กรรม

 

หยางอวี่ที่อยู่ข้างนอกมองอย่างตกตะลึง อี้เทียนหยุนไม่เพียงเข้าไปได้เท่านั้น แต่กลับเดินเตร่ไปทั่ว ทำแบบนี้แล้วมีความหมายอะไร?

 

เรื่องนี้พลันแพร่กระจายไปในตำหนักเทียนเหวินอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นก็นำมาซึ่งเสียงหัวเราะเยาะ เพิ่งจะเข้าร่วมตำหนักเทียนเหวิน แต่กลับท้าทายกับชั้น 5 โดยตรง ยิ่งกว่านั้นยังมากถึง 10 วัน! ทรัพยากรจำนวนมากขนาดนี้ ไม่ควรเสียเปล่าอย่างนี้เลย

 

หลังจากแพร่ออกไป ศิษย์ตำหนักเทียนเหวินหลายคนก็เข้ามามุง เจี่ยผิงพร้อมด้วยเลี่ยวเหวินก็มาดูเช่นกัน เมื่อเลี่ยวเหวินสังเกตเห็นอี้เทียนหยุนอยู่ข้างใน ในสายตาก็เกิดประกายขึ้นหลายส่วน พร้อมกับพูดกับเพื่อนที่อยู่ใกล้ๆ ว่า “ลูกพี่เจี่ย เจ้าเด็กนี่แหละที่ทำร้ายพี่เฟิง!”

 

เจี่ยผิงหัวเราะหึหึ แล้วพูดขึ้นว่า “มันเข้าไปนานแค่ไหนแล้ว?”

 

“เกือบจะชั่วยามแล้ว” เมื่อศิษย์ที่อยู่ใกล้ๆ เห็นเขา ก็อ้าปากค้างพร้อมกับพูดออกมา

 

“เกือบชั่วยามอย่างงั้นเหรอ….” เจี่ยผิงแค่นเสียงออกมา น้ำเสียงของเขาดังลงมาถึงชั้นล่าง หลังจากนั้น เขาก็ลงไปรับยันต์ช่วยชีวิตมา มีเพียงยันต์ช่วยชีวิตนี้เท่านั้นถึงจะสามารถเข้าไปได้ ไม่มีมันก็ทำได้เพียงมองดูจากข้างนอกเท่านั้น

 

หลังจากได้ยันต์ช่วยชีวิตมาแล้ว เขาก็ก้าวเข้าไปในห้อง ตำแหน่งของเขาอยู่ในอันดับที่ 24 ผู้จัดการหวงบอกว่ามีเพียง 30 อันดับแรกเท่านั้นถึงจะสามารถทนอยู่ในนี้ได้เป็นเวลานาน เวลานานที่ว่านี้คือจำนวน 2-3 วัน

 

ถ้าไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้ 2-3 วัน ถือว่ามาไม่คุ้มอย่างแท้จริง

 

“ลูกพี่ มีคนกำลังไปสร้างปัญหาให้ท่าน!” ในตอนนี้เอง หยางอวี่ก็ตะโกนเข้าไปข้างใน

 

เลี่ยวเหวินมองมาที่เขาอย่างเย็นชา พร้อมกับพูดเสียงเย็น “หยางอวี่ เจ้าจะหาเรื่องพวกเราอย่างงั้นเหรอ?”

 

“หาเรื่องอะไร ข้าก็ตะโกนเท่านั้น มีปัญหาอะไรอย่างงั้นเหรอ?” หยางอวี่ได้กลัวพวกเขา

 

ในตอนนี้เอง ที่ข้างใน เจี่ยผิงก็ได้เดินมาตรงหน้าอี้เทียนหยุน พร้อมกับพูดอย่างจริงจังว่า “เจ้าหนู นี่ที่ที่ข้าชอบ ไสหัวไปซะ!”

 

แน่นอนว่าที่เข้ามา เขาไม่ได้เข้ามาเพื่อรบกวนการฝึกฝนของคนอื่น เจี่ยผิงมาที่นี่เพื่อแก้แค้นให้กับเฟิงยู่หลงโดยเฉพาะ ไม่ได้เข้ามาเพื่อฝึกฝน

 

อี้เทียนหยุนเงยหน้ามองมาที่เจี่ยผิงด้วยสายตาเย็นชา “อาจารย์ของเจ้าไม่เคยสอนเหรอว่า การรบกวนการฝึกฝนของคนอื่น เท่ากับเป็นการฆ่าคนอื่นทางอ้อม!”

 

“โทษที พอดีข้าไม่มีอาจารย์ และนี่ก็เป็นที่ที่ข้าชอบ ไสหัวออกไปฝึกที่อื่นซะ!” เจี่ยผิงคนนี้หนังหน้าหนาจริงๆ เขาไม่ลงมือ แต่คิดจะก่อกวนไม่ให้อี้เทียนหยุนสามารถฝึกฝนได้

 

“เจี่ยผิง พอได้แล้ว! มารบกวนการฝึกของคนอื่น ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป เจ้าไม่กลัวจะถูกหัวเราะเยาะหรือไง!” หยางซีเสวี่ยที่อยู่ใกล้ๆ ทนมองไม่ไหว จึงลุกขึ้นพูด

 

“หยางซีเสวี่ย เจ้าเกี่ยวข้องอะไรกับมัน ถึงได้ช่วยพูดให้กับมัน?” เจี่ยผิงพูดอย่างเย็นชา “คู่หมั้นของเจ้ายังนอนอยู่ที่เตียง แต่เจ้าไม่แม้แต่จะไปดู เจ้ายังมีความรู้สึกอยู่หรือเปล่า?”

 

“ข้ากำลังพูดความจริง ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป เจ้าจะเป็นคนทำให้ตระกูลเจี่ยเสียหน้า! แล้วเขาก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับข้า ยิ่งกว่านั้น เฟิงยู่หลงก็ไม่ใช่คู่หมั้นข้า!” หยางซีเสวี่ยพูดอย่างจริงจัง “ถ้าแน่จริงก็ท้าดวลกันตรงๆ ไปเลยสิ นี่จึงจะเป็นวิธีที่ลูกผู้ชายใช้กัน ไม่ใช่ใช้วิธีการชั้นต่ำแบบนี้!”

 

เธอทนไม่ได้ที่จะมองเรื่องแบบนี้ ขอดวลไปตรงๆ เลยสิ นั่นถึงจะเป็นลูกผู้ชายที่แท้จริง การที่มาก่อกวนอย่างนี้ มันมีแต่จะทำให้คนหัวเราะ แบบนี้มันจะไปต่างอะไรจากพวกอันธพาลกัน?

 

“ดวลอย่างงั้นเหรอ ข้ากำลังคิดอยู่พอดี!” เจี่ยผิงมองไปยังอี้เทียนหยุน พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยว่า “เจ้าเต็มใจยอมรับการประลองกับข้าหรือเปล่า!”

 

“ประลองอย่างงั้นเหรอ? มีอะไรน่าสนใจ” อี้เทียนหยุนพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ข้ามาที่นี่เพื่อฝึกฝน อย่างอื่นไม่เกี่ยวอะไรกับข้า”

 

คำพูดนี้ทำให้เจี่ยผิงแทบจะระเบิดออกมา ไม่แม้แต่จะคิดถึงเรื่องคำท้าของเขา ทั้งยังปฏิเสธออกมาตรงๆ อีก

 

“เจ้ามันขี้ขลาด!” เจี่ยผิงดูถูก “ทุกคนดู ข้าอยากจะท้าดวงกับมันอย่างลูกผู้ชาย แต่ว่ามันกลับปฏิเสธ!”

 

ผู้คนที่อยู่ข้างนอกพลันโห่ร้องออกมาทันที คิดว่าอี้เทียนหยุนเป็นคนขี้ขลาด ไม่กล้าแม้แต่จะขึ้นประลอง

 

อี้เทียนหยุนมองเขาด้วยหางตาตั้งแต่หัวจรดเท้า พร้อมกับพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “แล้วเจ้าอยากจะดวลอะไร?”

 

“ดีมาก ในที่สุดเจ้าก็รับคำท้าของข้า!” เจี่ยผิงพลันตาเป็นประกาย พูดออกมาว่า “ไม่ใช่ว่าเจ้าคือคนที่ออกจากป่าวงกตเร็วที่สุดหรอกเหรอ ทั้งยังเลือกจะอยู่ที่นี่เป็นเวลา 10 วันอีก! เอาอย่างนี้ ข้าจะแข่งขันพลังวิญญาณกับเจ้า ใครอยู่ที่นี่ได้นานกว่าเป็นผู้ชนะ เป็นยังไง!”

 

“ไม่มีปัญหา แล้วบทลงโทษสำหรับผู้ชนะและผู้แพ้ล่ะ?” อี้เทียนหยุนพูดอย่างไม่ใส่ใจ

 

“ถ้าข้าแพ้ ข้าจะเป็นคนรับใช้เจ้า! แต่ถ้าเจ้าแพ้ เจ้าจะต้องเป็นคนรับใช้ข้า ระยะเวลา 1 ปี ว่ายังไง!” เจี่ยผิงบอกเงื่อนไข

 

“ไม่จำเป็น สำหรับคนรับใช้ข้านั้น เจ้ายังมีคุณสมบัติไม่เพียงพอ” อี้เทียนหยุนพูดออกมา “คำขอของข้าก็ง่ายๆ ให้ข้าตบหน้าเจ้า มันจะได้ซึมลึกลงไปในสมองของเจ้านานหน่อย”

 

คำพูดนี้ของเขาทำให้หลายคนพากันตกใจ เด็กใหม่คนนี้ช่างใจกล้าจริงๆ? กล้าพูดคำนี้ออกมาอย่างไม่คาดคิด แม้ว่าอันดับของเจี่ยผิงจะไม่ได้สูงเป็นพิเศษ แต่ก็อยู่ในอันดับที่ 24 ถือว่าเป็นศิษย์ที่โดดเด่นคนหนึ่ง แต่เขากลับมีคุณสมบัติไม่พอ? ต้องติด 1 ใน 10 อย่างงั้นเหรอ ถึงจะมีคุณสมบัติพอ?

 

“ดี ดี ดี!” เจี่ยผิงโกรธจนตัวสั่น “เอาตามเจ้าว่า! ตราบเท่าที่เจ้าชนะข้า อย่าว่าแต่ทีเดียว ข้าให้เจ้าตบ 2 ทีด้วยซ้ำ แล้วตอนนี้จะเริ่มได้หรือยัง!”

 

เขาระเบิดความโกรธออกมา ถ้าไม่ใช่เพราะกฎ เขาคงลงมือกับอี้เทียนหยุนไปแล้ว นอกจากความยินยอมทั้งสองฝ่าย ไม่อย่างนั้นห้ามลงมือเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะถูกลงโทษอย่างรุนแรง!

 

“เริ่มตอนไหนแล้วแต่เจ้าเลย” อี้เทียนหยุนบอกเขา

 

“งั้นก็เริ่มตอนนี้เลย!” เจี่ยผิงหยิบยันต์ช่วยชีวิตออกมา พร้อมกับนั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม จากนั้นก็ใส่พลังวิญญาณเข้าไปในยันต์ ทำให้ยันต์เปล่งแสงออกมา จากนั้น พลังวิญญาณที่อยู่รอบๆ ก็โหดซัดเข้าใส่ร่างของเขาอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ร่างของเขาสั่นน้อยๆ เริ่มการดวลในทันที

 

อี้เทียนหยุนก็หยิบยันต์ออกมาเหมือนกัน หลังจากใส่พลังวิญญาณลงไป จากนั้นก็ทนรับพลังวิญญาณที่โจมตีเข้ามาจากรอบด้าน

 

อี้เทียนหยุนไม่ได้หลับตา แต่ยังคงตรวจสอบอักษรรูนที่อยู่ใกล้ๆ ไม่ได้เก็บการประลองนี้มาใส่ใจ

 

คนที่มุงอยู่ข้างนอกหลายคนไม่ได้ชอบหน้าอี้เทียนหยุน เหตุผลนั้นง่ายมาก เพราะอันดับของอี้เทียนหยุนต่ำเกินไปยังไงล่ะ แค่อันดับที่ 81 แต่กลับกล้าเผชิญหน้ากับเจี่ยผิงที่อยู่ในอันดับ 24 ซึ่งห่างกันหลายสิบอันดับ!

 

อันดับนี้ไม่ได้จัดขึ้นมามั่วๆ แต่เป็นการแสดงถึงความต่าง พวกเขาคิดว่าอี้เทียนหยุนคงคิดว่ามันเป็นเรื่องง่าย ว่าการทะลวงระดับของพลังวิญญาณจะเหมือนกับระดับฝึกตน ซึ่งบอกได้เลยว่ายากกว่ามาก เพราะงั้น มันจึงมีแต่การประลองยุทธ์ แต่ไม่มีการประลองพลังวิญญาณ

 

ยิ่งกว่านั้น อี้เทียนหยุนยังเลือกที่จะไม่หลับตาอีก เขาไม่ได้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย ที่จริงแล้วเพราะเขาโง่ หรือว่ามั่นใจจริงๆ กันแน่?