ภาคที่ 2 บทที่ 186 สสารต้นกำเนิด

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 186 สสารต้นกำเนิด

“ว่าไงนะ ?? เจ้าเลือกกองหินโง่ ๆ กองหนึ่งกลับมางั้นหรือ ?” หวังโต้วซานเบิกตากว้างร้องถามเสียงดัง

ตอนนี้พวกเขากลับมายังหอพลังต้นกำเนิดแล้ว

หวังโต้วซานอดฉงนไม่ได้ว่าซูเฉินจะเลือก 3 สมบัติใดกลับมาหลังจากที่มุมานะทำงานหนักหนาจนได้รับคะแนนผลงานลำดับที่ 1 มาเช่นนี้

หากแต่ไม่ว่าจะเป็นแผ่นหินกักวิญญาณหรือคัมภีร์หิรัณย์ต่างก็ไม่ใช่สิ่งที่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งโดยตรงได้ โดยเฉพาะ ‘สมบัติ’ ชิ้นสุดท้ายยิ่งแล้วใหญ่ เขากลับเลือกหินไร้ค่ากองหนึ่งมา

ทว่าซูเฉินกลับเผยยิ้มกว้างราวกับได้ของดีกลับมา

จากนั้นเอ่ยว่า “เจ้าไม่รู้หรือ ? สิ่งที่น่ารู้สึกดีที่สุดคือขยะเหล่านั้นข้ามองมันว่าเป็นของล้ำค่า ด้วยถ้าข้าสามารถเปลี่ยนสิ่งที่คนส่วนมากมองว่าเป็นขยะให้กลายเป็นสิ่งจำเป็นได้ มันก็สามารถเพิ่มมูลค่าให้มันอย่างที่คนอื่นไม่สามารถทำได้”

ผ้าเท่อลั่วเค่อที่อยู่ในแผ่นหินกักวิญญาณเป็นอดีตปรมาจารย์อาร์คาน่า แม้หลายปีที่ผ่านมาผู้คนจะเริ่มลืมเลือนวิชาโบราณอาร์คาน่า หากแต่ก็ไม่ลืมเลือนความเข้าใจและความรู้ทั้งหลายที่เผ่าอาร์คาน่าเหลือทิ้งไว้ให้ คนอื่น ๆ อาจมองว่าไร้ค่า แต่พวกมันเป็นของล้ำค่าในสายตาซูเฉิน

คัมภีร์หิรัณย์ก็เช่นกัน อาจารย์ของเขาจำเป็นต้องใช้มันในการพัฒนาหนทางในการทำให้ผู้ไร้สายเลือดสามารถทะลวงสู่ด่านทะลวงลมปราณได้

ของแต่ละอย่างมีมูลค่าที่แท้จริงมากกว่ามูลค่าที่ตีตราไว้ภายนอก

แต่ซูเฉินกลับยินดีที่สุดที่ได้หินกองนั้นมา

ตอนที่เขาอยู่ในคลังสมบัติ ซูเฉินใช้เนตรมองพลังต้นกำเนิดมองกองหินเหล่านั้น เขาพบว่าหินเหล่านี้มีสสารต้นกำเนิดอันเป็นเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันมากกว่าสิบชนิด

การที่สสารต้นกำเนิดสามารถอยู่รวมกันภายในหินหน้าตาธรรมดาสามัญเช่นนี้ได้นั้นเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง

แม้ซูเฉินจะไม่รู้ว่าทำไมมันจึงสำคัญ แต่การที่มันมีสสารต้นกำเนิดมากกว่าสิบชนิดอยู่ภายใน เท่านั้นก็คุ้มค่าให้เขาเลือกมันมาแล้ว

ด้วยชายหนุ่มศึกษาสายเลือดมาหลายสาย แต่สามารถควบคุมสสารต้นกำเนิดได้เพียง 2 ชนิดเท่านั้น การสกัดสสารต้นกำเนิดจากสายเลือดอสรพิษทะยานและสายเลือดจิตวิญญาณอัสนีบาตนั้นได้ผลลัพธ์คือการที่วิชาก้าวย่างหมอกอสรพิษ ฝ่ามือดอกไม้บิน และดาบอัสนีบาตสามารถแข็งแกร่งเหนือขีดจำกัดทางสายเลือดได้ ทำให้สามารถฝึกวิชาได้ดียิ่งขึ้น จริง ๆ แล้วระเบิดเพลิงปักษาและเพลิงปักษารุ่นต่อ ๆ มาเองก็พัฒนาขึ้นมาจากพื้นฐานนี้เช่นกัน

ส่วนสสารชนิดอื่น ๆ นั้น เขาก็กำลังศึกษาโดยละเอียดอยู่

และตอนนี้ในหินเหล่านี้มีสสารต้นกำเนิดที่เป็นเอกลักษณ์แตกต่างกันมากกว่าสิบชนิด อีกทั้งยังเป็นชนิดที่ยอมนั่งนิ่ง ๆ ให้ซูเฉินนำมันมาทดลองอีกด้วย แล้วเขาจะไม่ตื่นเต้นได้อย่างไร ?

ซูเฉินมองหินกองนั้นเป็นสมบัติล้ำค่า แม้จะนำเครื่องมือต้นกำเนิดระดับเซียนมาแลกเขาก็ไม่ยอม

ได้ยินซูเฉินแล้วหวังโต้วซานก็เอ่ยเสียงท้อใจ “เอาเถอะ เป็นเรื่องของเจ้าอยู่แล้ว จะเลือกสมบัติใดก็เป็นเรื่องของเจ้า”

ทั้งสองคนคุยเล่นกันอีกเล็กน้อย ก่อนหวังโต้วซานจะกลับไป

ซูเฉินกลับไปยังห้องทดลองตนเอง จากนั้นดึงแผ่นหินกักวิญญาณออกมา “ออกมาได้แล้ว”

วิญญาณของผ้าเท่อลั่วเค่อออกมาและทำการโค้งคำนับซูเฉิน “นายท่าน !”

ซูเฉินนั่งลง “2 วันมานี้ท่านเห็นแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ข้าสละโอกาสเลือกสมบัติล้ำค่าเพื่อนำท่านกลับมา หวังว่าท่านจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”

ผ้าเท่อลั่วเค่อรีบตอบ “ข้ามีประโยชน์ต่อท่านแน่”

“ดีมาก เช่นนั้นต่อไปนี้ท่านเป็นคู่หูทดลองของข้า ใช่แล้ว ท่านมีความคิดเกี่ยวกับการแพร่ย้อนกลับของสสารผ่านพื้นผิวเป็นอย่างไร?”

ครั้งนี้คือการทดสอบอีกฝ่าย และเป็นการเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กัน

ผ้าเท่อลั่วเค่อเอ่ยขึ้นอย่างไม่รีบร้อน “การแพร่ย้อนกลับมีปัจจัยหลัก 3 ประการ คือการซึมผ่าน ความเหนียวแน่น และไอโซเมอไรเซชัน (1) ข้าจะอธิบายเรื่องการซึมผ่านก่อน……”

ซูเฉินตั้งใจฟังเป็นอย่างยิ่ง

ภายใต้แสงเทียนสีเหลือง วิญญาณชายชราและมนุษย์ชายหนุ่มเริ่มสนทนาถกเถียงกันเรื่องความรู้และชุดของมูลในครั้งโบราณและในยุคสมัยปัจจุบันที่ทั้งสองสั่งสมมา

สำหรับซูเฉินแล้ว ผ้าเท่อลั่วเค่อนั้นเป็นดั่งคลังข้อมูลอันประมาณค่าไม่ได้เลยทีเดียว

เผ่าอาร์คาน่านั้นมุ่งเน้นเรื่องการพัฒนาความรู้ขั้นพื้นฐานเป็นอย่างมาก พวกเขามีความเข้าใจและมีมุมมองต่อโลกแตกต่างจากคนอื่น ๆ

อาทิเช่น สสารต้นกำเนิดที่ซูเฉินค้นพบ แท้จริงแล้วได้ถูกค้นพบตั้งแต่ครั้งที่อาณาจักรอาร์คาน่ายังคงอยู่ หากแต่เมื่อครั้งนั้นมันมีชื่อว่า อนุภาค

เผ่าอาร์คาน่าค้นพบว่าอนุภาคเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของพลังต้นกำเนิด เมื่อมีอนุภาคหลากหลายย่อมสำแดงพลังออกมาได้แตกต่าง และเมื่ออนุภาคเหล่านั้นมารวมตัวกันเป็นจำนวนมากพอแล้ว ก็จะสามารถเกิดเป็นลักษณะของพลังต้นกำเนิดต่าง ๆ เช่น พลังต้นกำเนิดประเภทไฟหรือลม

อสูรกายและเทพอสูรนั้นทรงพลังมาก เป็นเพราะภายในร่างพวกมันมีอนุภาคที่เข้ากันได้อยู่มากมาย มนุษย์หยิบยืมสายเลือดมาเพื่อทำให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้น เพราะเมื่อได้รับสายเลือดมาแล้วก็จะได้รับอนุภาคจากสายเลือดนั้นมาด้วย

ซึ่งเรื่องเหล่านี้ตรงกับสิ่งที่ซูเฉินค้นพบ แต่เป็นเพราะเขาทำการค้นคว้าคนเดียวมาตลอด ดังนั้นจึงขาดข้อมูลจากคนอื่น ๆ ด้วย

“หากสามารถสืบต่อสายเลือดได้ เช่นนั้นก็หมายความว่าสิ่งมีชีวิตก็สามารถสร้างอนุภาคขึ้นได้เองงั้นหรือ ?” ซูเฉินถาม

ผ้าเท่อลั่วเค่อส่ายหัว “อนุภาคคือองค์ประกอบที่เล็กที่สุดในใต้หล้า ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดสามารถสร้างอนุภาคขึ้นมาได้ แต่พวกมันจะถูกเปลี่ยนเป็นรูปร่างที่แตกต่างกันอยู่ตลอดเวลา การสืบผ่านสายเลือดเกิดขึ้นได้เพราะมนุษย์พัฒนากลไกที่สามารถดูดซับอนุภาคที่เหมาะสมที่ล่องลอยอยู่ในอากาศได้ยามที่ได้รับสายเลือดนั้นมา”

ซูเฉินเข้าใจ “ดังนั้นผู้ที่ ‘มีความสามารถ’ ส่วนมากจึงมีกลไกการดูดซับอนุภาคที่เหนือกว่าคนอื่น ๆ กระมัง ? เช่น ข้าฝึกบ่มเพาะพลังประเภทไฟ ดังนั้นข้าจึงควรไปฝึกฝนยังสถานที่ที่มีเปลวไฟอยู่มาก เพราะจะมีความหนาแน่นของอนุภาคประเภทไฟสูงที่สุด เช่นนั้นใช่หรือไม่ ? แต่หากข้าฝึกตนผิดสถานที่ ไม่ว่าจะเก่งกาจเพียงไหนก็ไร้ค่า เช่นนี้แล้วสมาชิกตระกูลสายเลือดชั้นสูงจึงจำเป็นต้องปลุกสายเลือดตนเองให้ตื่นขึ้น กระบวนการปลุกสายเลือดจะถูกกระตุ้นด้วยการดูดซับอนุภาคที่มากเพียงพอ เมื่อดูดซับมาจนถึงระดับหนึ่ง ความแข็งแกร่งทางสายเลือดจึงจะสำแดงออกมาได้”

“ถูกต้อง และโอสถสืบสายเลือดที่พวกเจ้าเหล่ามนุษย์สร้างขึ้นก็คือสิ่งที่ทำให้สามารถผลักเอาอนุภาคปริมาณมากของสายเลือดนั้น ๆ เข้าร่างกายไป โดยที่ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงกลไกการดูดซับอนุภาคที่เหมาะสมของร่างกาย ดังนั้นมนุษย์ที่มีสายเลือดผสมจึงอ่อนแอกว่าและยังไม่สามารถส่งต่อสายเลือดไปยังลูกหลานได้”

“หากเป็นเช่นนั้นแล้ว เราก็อาจสามารถพัฒนาโอสถสืบสายเลือดด้วยการกำจัดข้อด้อยของมันได้” ซูเฉินพึมพำ หากแต่จุดมุ่งหมายของเขาคือการที่สามารถก้าวข้ามผ่านข้อจำกัดทางสายเลือดได้ ไม่ใช่การสร้างสายเลือดทรงพลังสุดขีดขึ้นมา ดังนั้นเขาจึงปัดความคิดนั้นทิ้งไปในพริบตา อย่างน้อยเขาก็คงจะยังไม่ศึกษามันในเร็ววันนี้แน่

ทั้งสองยังคงสนทนากันต่อไป

ผ้าเท่อลั่วเค่อนั้นเป็นหัวหน้าปรมาจารย์อาร์คาน่าอย่างแท้จริง ความรู้ของเขาล้ำลึก อีกทั้งยังมีพื้นฐานแข็งแรง ซูเฉินได้ความรู้เรื่องพื้นฐานพลังต้นกำเนิดจากเขามามากมาย

เช่น เมื่อสมัยอาณาจักรอาร์คาน่ายังคงอยู่ มีบางคนเสนอว่ามีสสารที่เป็นองค์ประกอบพื้นฐานกว่าอนุภาค มันมีชื่อว่าเมล็ดพันธุ์ต้นกำเนิด เกิดขึ้นได้โดยการรวมตัวกันของอนุภาคที่แตกต่างกัน ทำให้เกิดเป็นประเภทแตกต่างกัน เมล็ดพันธุ์ต้นกำเนิดนั้นนับว่าเป็นพื้นฐานของทุกสิ่งอย่าง

หากแต่กระทั่งยามอาณาจักรอาร์คาน่าล่มสลายลง การศึกษาวิเคราะห์เมล็ดพันธุ์ต้นกำเนิดก็ดำเนินไปได้ไม่มากนัก มีบันทึกอยู่ในตำราโบราณอยู่บ้างว่ามีคนอื่น ๆ ที่ยืนยันการมีอยู่ของเมล็ดพันธุ์ต้นกำเนิด แต่ก็ไม่มีข้อมูลอื่น ๆ นอกเหนือจากนั้นอีก

ซูเฉินรู้สึกเสียใจยิ่งนัก

หากเนตรมองพลังต้นกำเนิดของเขาสามารถมองเห็นสิ่งที่เล็กกว่านั้นได้ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะไขความลับที่ล้ำลึกกว่าเดิมในโลกที่ไม่อาจมองด้วยตาเปล่าเห็นได้ก็เป็นได้

ชายหนุ่มมีความรู้สึกว่าวันหนึ่งดวงตาของเขาจะสามารถทำเช่นนั้นได้

และเมื่อถึงตอนนั้น ความลับทั้งหลายในโลกหล้านี้ก็อาจอยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือก็เป็นได้

เชิงอรรถ

คือปฏิกิริยาที่สารเปลี่ยนโครงสร้างจากไอโซเมอร์หนึ่งไปเป็นอีกไอโซเมอร์หนึ่ง