ภาคที่ 2 บทที่ 187 ควันหยกไหล

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 187 ควันหยกไหล

หลังจากกลับมาถึงสถาบันมังกรซ่อนเร้นแล้ว ซูเฉินก็กลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม ทุก ๆ วันหมกมุ่นอยู่กับการทดลองต่าง ๆ

แต่แน่นอนว่ามีเรื่องหนึ่งที่ไม่เหมือนเดิม นั่นคือตอนนี้เขามีกู่ชิงลั่วคอยเคียงข้างแล้ว

ทุกพลบค่ำ กู่ชิงลั่วจะมาหาเขาที่หอพลังต้นกำเนิด มาคอยอยู่เป็นเพื่อนและสานความสัมพันธ์ระหว่างกันให้แน่นแฟ้นมากกว่าเดิม

หากมองมุมหนึ่ง ชายหนุ่มนับว่าเป็นคนรักที่แย่มาก กู่ชิงลั่วเป็นคนที่คอยชักชวนเขาทำนั่นนี่ ส่วนเขาก็หมกตัวอยู่แต่ในห้องทดลองทั้งวัน

เรื่องนี้เกี่ยวกับคำที่ฉือไคฮวงเคยสอนสั่งเขาไว้เมื่อครั้งยังเป็นศิษย์หน้าใหม่มาก

ด้วยเมื่อครั้งนั้น ซูเฉินได้ให้คำสาบานว่าตนจะก้าวข้ามผ่านข้อจำกัดทางสายเลือดให้จงได้เพื่อกู่ชิงลั่ว เป็นฉือไคฮวงที่บังคับให้เขาลองครุ่นคิดถึงจุดมุ่งหมายตนเองเสียใหม่

ไม่เช่นนั้นยามกู่ชิงลั่วกลับมาหาเขาแล้ว คำสาบานของซูเฉินก็คงจะเป็นโมฆะไป หากเขาเพียงต้องการไล่ตามกู่ชิงลั่วแล้ว เขายังจะนั่งอยู่ในห้องทดลองได้ทุกวันเช่นนี้หรือ ? ทำให้เขานำคำที่ฉือไคฮวงเอ่ยว่า ‘วันนี้เจ้าเอ่ยคำสาบานเพื่อสตรีนางหนึ่ง วันหน้าเจ้าก็สามารถผิดคำสาบานที่ให้ไว้กับสตรีนางนั้นเช่นกัน’ เก็บกลับมาครุ่นคิดมาก

ตอนนี้เขาตั้งใจศึกษาหาค้นคว้าเรื่องต่าง ๆ ด้วยหวังจะนำพาให้เผ่ามนุษย์เข้าสู่ยุครุ่งเรืองแม้ตอนนี้จะมีคนรักแล้ว แต่เขาก็ยังคงตั้งใจแน่วแน่ เดินตามแนวทางที่ตนมุ่งหวังต่อไป ไม่ปล่อยให้สิ่งใดทำเขาไขว้เขว

เมื่อมีปรมาจารย์ผ้าเท่อลั่วเค่อคอยชี้แนะ ความเร็วในการค้นคว้าทดลองของซูเฉินก็พุ่งสูงขึ้นมาก

แล้วเวลาอีกปีหนึ่งก็ผ่านพ้นไป

วันนี้ซูเฉินก็ยังคงอยู่ในห้องทดลอง ทำการค้นคว้าทดลองอยู่เช่นเคย

เกสรดอกผักตบชวาที่เตรียมมาถูกเทลงในขวดอย่างระมัดระวัง ผสมกับของเหลวสีน้ำเงินภายใน มือที่ถือขวดอยู่พลันปรากฏเปลวเพลิงหนึ่งขึ้น ส่งผ่านความร้อนให้ขวดนั้น เปลวเพลิงนั้นเริ่มผันผวน คอยปรับอุณหภูมิภายในขวดแก้วอยู่ตลอดเวลา ของเหลวภายในเริ่มเกิดความเปลี่ยนแปลงและเกิดปฏิกิริยาตอบสนองต่อความร้อนเมื่อใส่ส่วนผสมลงไปมากขึ้นเรื่อย ๆ

“ใส่เลือดตะกวดสีครามลงไป !” ซูเฉินบอก

กังเหยียนคว้าตะกวดเลือดครามที่อยู่ไม่ไกลแล้วบีบคอมัน ก่อนมันแลบลิ้นออกมา กังเหยียนจึงเจาะรูหนึ่งที่ลิ้นมัน เลือดตะกวดสีคราม 2-3 หยดหยดลงไปในขวดแก้ว เกิดเป็นควันขาวลอยออกมา

เปลวเพลิงบนฝ่ามือซูเฉินพลันหายไป กลายเป็นน้ำแข็งเย็นยะเยือกที่ปกคลุมทั้งขวดแก้วนั้นไว้ เหลือเพียงรูเล็ก ๆ ที่ปากขวดไว้เท่านั้น

ควันสีขาวยังคงลอยออกมาไม่หยุดราวกับมีรูปร่างจับต้องได้ หลังจากใช้ความเย็นกลั่นแล้ว ควันเหล่านั้นก็หนาขึ้น ค่อย ๆ ไหลออกมาจากปากขวดไปเข้าขวดแก้วอีกขวดที่เตรียมไว้ก่อนหน้าคล้ายกับน้ำไหล

เมื่อส่วนประกอบทั้งหมดในขวดแก้วถูกเปลี่ยนเป็นควันไหลและถูกจัดเก็บเรียบร้อยจึงเป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการ

“เฮ้อ ! ในที่สุดก็สร้างควันหยกไหลสำเร็จแล้ว” ซูเฉินถอนใจพลางยกขวดแก้วในมือขึ้น

“ยินดีด้วยนายท่าน สร้างควันหยกไหลสำเร็จก็หมายความว่า การสร้างโทเทมโลหิตสลายสำเร็จในขั้นต้นแล้ว เมื่อใส่สสารเงาลงไปก็น่าจะใกล้ใช้งานได้จริง” ผ้าเท่อลั่วเค่อเอ่ยกับซูเฉิน เสียงนั้นดังมาจากแผ่นหิน

“อืม เป็นเพราะบอกเรื่องวิชาลับในการฝึกตนเป็นนักดาบโลหิตสลายแก่ข้า” ซูเฉินตอบ

นักดาบโลหิตสลายปรากฏขึ้นสมัยอาณาจักรโบราณอาร์คาน่า เป็นวิธีที่เจ้านายใช้เพิ่มความแข็งแกร่งให้ทาสด้วยการแปรเปลี่ยนสายเลือดของทาสเสียใหม่ หากแต่มันก็มีผลข้างเคียงร้ายแรง ทั้งกำลังที่เพิ่มขึ้นก็มีจำกัด แต่ถึงกระนั้นก็ยังเป็นวิธีที่ใช้เพิ่มความแข็งแกร่งของคนธรรมดาสามัญที่ได้ผลดี หลาย ๆ คนที่รู้ว่าตนคงพัฒนาต่อไปไม่ได้แล้วต่างเต็มใจยอมเป็นนักดาบโลหิตสลาย

แรกเริ่มเดิมทีชายหนุ่มไม่คิดอยากเลี้ยงทาส เพราะอย่างไรเขาก็มีกังเหยียนแล้ว และการเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นนักดาบโลหิตสลายจะลดอายุขัยลงมาก ดังนั้นซูเฉินจึงศึกษามันเพียงเพราความสงสัยใคร่รู้เท่านั้น

หากแต่เมื่อค้นคว้าลึกขึ้นก็พบว่าวิธีพัฒนานักดาบโลหิตสลายนั้นมีความคล้ายคลึงกับการสร้างอักขระโทเทมของเผ่าคนเถื่อน ทั้งสองอย่างต้องพึ่งพาการเปลี่ยนแปลงภายนอกเพื่อเพิ่มกำลังการต่อสู้ทั้งสิ้น

เรื่องที่ไม่เหมือนกันคือ อักขระโทเทมเผ่าคนเถื่อนนั้นเรียบง่ายกว่ามาก แต่มันก็มีประโยชน์กับเผ่าคนเถื่อนที่มีพละกำลังด้านร่างกายแข็งแกร่งเท่านั้น การสร้างนักดาบโลหิตสลายขึ้นมานั้นซับซ้อนกว่ามาก อีกทั้งยังกินอายุขัยสูง แต่ก็เป็นวิธีที่สามารถใช้ได้กับคนทุกคน

ดังนั้นซูเฉินตึงเริ่มศึกษาหาทางรวมสองวิธีนี้เข้าด้วยกัน ซึ่งเขาเรียกมันว่าโทเทมโลหิตสลาย

มันมีหลักการเหมือนกัน นั่นคือบางครั้งความสำเร็จในขั้นหนึ่งก็มาในตอนที่ไม่คาดคิด

การทำการค้นคว้าทดลองนั้นคล้ายกับการพยายามเสี่ยงโชค

ซูเฉินทำการค้นคว้าทดลองในหลายหัวข้อไม่หยุดหย่อน โทเทมโลหิตสลายเป็นหัวข้อที่มีความสำคัญน้อยที่สุด แต่กับเรื่องที่ไม่คาดหวังกลับได้ผลลัพธ์ที่ไม่น่าเชื่อที่สุดออกมา

เขาถือควันหยกไหลไว้ในมือ เงียบงันไปครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหัวช้า ๆ “ข้าหลุดจุดมุ่งหมายไปไกล หากอาจารย์รู้เขาคงได้เอ็ดข้าว่าจิตใจวอกแวกอีกตามเคย”

“ยิ่งมีความรู้ในเรื่องบางเรื่องสูงมากขึ้นเท่าไร ยิ่งต้องมีความรู้พื้นฐานมั่นคงมากขึ้นเท่านั้น แม้ตอนนี้ความรู้เรื่องนี้จะดูไม่เกี่ยวข้อง ไม่อาจนำมาใช้ประโยชน์กับจุดมุ่งหมายได้ แต่มันก็อาจนำไปใช้เป็นฐานข้อมูลเพื่อการพัฒนาครั้งยิ่งใหญ่ก็เป็นได้” ผ้าเท่อลั่วเค่อกล่าวขึ้น

“ข้าเห็นด้วย แต่มันก็เป็นเพียงความเป็นไปได้ไม่ใช่หรือ ?” ชายหนุ่มถามกลับ

“หากเป็นเรื่องของความรู้ ไม่มีความรู้ใดที่สามารถมั่นใจได้อย่างเต็มร้อย” ผ้าเท่อลั่วเค่อตอบ

ซูเฉินคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนหัวเราะออกมา “ถูกของเจ้า ไม่ว่าอย่างไร การที่ข้ามีความก้าวหน้าเรื่องโทเทมโลหิตสลายก็เป็นเรื่องดี ต่อไปข้าต้องหาคนมาทดลอง แต่บัดซบ ข้าขาดตัวทดลองนี่นา !”

เขายกมือขึ้นนวดหัว รู้สึกคล้ายกับจะปวดหัวในเร็วไว

เป็นเพราะโทเทมโลหิตสลายนั้นเป็นวิชาที่พึ่งพาการเปลี่ยนแปลงภายนอกเพื่อเพิ่มพละกำลังให้ผู้ใช้ ดังนั้นซูเฉินจึงรู้สึกเศร้าเสียใจอีกครั้งที่ตนขาดตัวทดลอง

“ไม่รู้ว่าทำไม แต่ช่วงนี้สงบสุขยิ่งนัก ไม่มีใครมาหาเรื่องนายท่านเลย” กังเหยียนเอ่ยขึ้น

“ถูกต้อง ไม่ใช่ว่าตาแก่ตระกูลไป๋อยากได้วิชาลับคืนไม่ใช่หรือ ? เหตุใดจู่ ๆ จึงเงียบหายไปเลยเล่า ?” ซูเฉิน ถาม

“อาจเพราะนายท่านไม่ได้ออกไปข้างนอกกระมัง” กังเหยียนตอบ

“ไม่น่าใช่” ซูเฉินส่ายหัว “ข้าออกไปเดินเล่นกับกู่ชิงลั่วเกือบทุกคืน อีกทั้งยังเดินทางออกจากสถาบันนับครั้งไม่ถ้วน”

“เช่นนั้นก็หมายความว่าพวกเขาเกรงกลัวท่าน ท่านได้รับเหรียญผู้กล้าระดับ 2 และหากพวกเขาสังหารท่านก็นับว่าเชิญปัญหาเข้าหาตัว เรื่องดาบอัสนีบาตจึงกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปโดยปริยาย ไม่คุ้มค่าที่จะมาเสี่ยงกับเรื่องบานปลายใหญ่หลวง”

“น่าเสียดายนัก เป็นตระกูลชั้นสูงกันทั้งสิ้น แต่กลับไม่มีผู้ใดมีความกล้าหาญมากพอ” ซูเฉินส่ายหัวถอนใจ

คนอื่น ๆ อาจเกรงกลัวการสร้างศัตรูหรือล่วงเกินผู้อื่น แต่ซูเฉินที่ขาดตัวทดลองได้แต่หวังว่าตนจะสามารถสร้างศัตรูและล่วงเกินผู้คนไปทั่วไป ได้แต่นั่งเสียใจว่าเหตุใดตนจึงไม่มีใบหน้าดุดันหาเรื่องผู้คน

“อาจารย์กล่าวว่าหากข้าเลือกเดินไปทางนี้จะมีศัตรูมากมาย แต่ดูเหมือนจะไม่มีสักคน” ซูเฉินพึมพำ “หรือข้าจะออกไปสร้างเรื่องให้คนอื่นดี ?”

กังเหยียนกำลังจะตอบ แต่ชายหนุ่มพูดขึ้นมาก่อน “ช่างเถอะ เช่นนั้นไม่ถูกต้อง การสร้างศัตรูเพื่อจับมาเป็นตัวทดลองก็เหมือนกับการบุกไปลักตัวผู้อื่นตรง ๆ นั่นล่ะ เช่นนั้นนั้นขัดกับหลักการของข้า ข้าทำเช่นนั้นไม่ได้ กังเหยียน หากข้ามีความคิดเช่นนี้อีกเจ้าต้องเตือนข้า พวกเราลงมือทำส่งใดต้องขีดเส้นแบ่งจุดสำคัญไว้ให้ดี”

“ขอรับนายท่าน” กังเหยียนพยักหน้ารับสีหน้าจริงจัง

ในตอนที่ซูเฉินกำลังนั่งใคร่ครวญสถานการณ์ตนอยู่นั่นเอง อวิ๋นเป้าก็ตะโกนเข้ามาจากด้านนอก

“อาจารย์อยากพบเจ้า”