ภาคที่ 2 บทที่ 188 ทางเลือก

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 188 ทางเลือก

ฉือไคฮวงกำลังนั่งตกปลาอยู่ริมทะเลสาบงั้นเงียบสงบ

แน่นอนว่าเขากำลังนั่งตกปลาด้วยเบ็ดที่ทำจากพลังต้นกำเนิดเช่นเคย ด้านข้างมีธูปหอมแท่งหนึ่งจุดอยู่ แม้จะพักผ่อนหย่อนใจอยู่แต่ก้ยังไม่หยุดฝึกบ่มเพาะพลัง

ซูเฉินเดินเข้าไปนั่งข้าง ๆ ฉือไคฮวง “อาจารย์อยากพบข้าหรือ ?”

ฉือไคฮวงลืมนัยน์ตาขุ่นมัวขึ้น จ้องมองไปยังธารน้ำตรงหน้า “เจ้าจำได้หรือไม่ ? ในปีนั้น เจ้าคุกเข่าอยู่ตรงนี้แล้วกราบขอให้ข้าเป็นอาจารย์”

ได้ยินเช่นนั้นชายหนุ่มก็หัวเราะ “ถูกต้อง ศิษย์จำได้ ตอนนั้นข้าทำตนเหยาะแหยะนัก คิดว่ามีฝีมือเพียงเล็กน้อยก็จะทำให้อาจารย์เห็นค่าได้ โชคดีที่อาจารย์สอนสั่งข้า ดึงข้าออกมาจากอาการเมามาย”

“10 ปี” ฉือไคฮวงถอนใจ “พริบตาเดียวเวลา 10 ปีก็ผ่านไปแล้ว เวลามันผ่านไปไวจริง ๆ อีกไม่กี่วันพวกเจ้าก็จะจบการศึกษาแล้ว”

ซูเฉินชะงักไปเล็กน้อย เขาค่อนข้างเข้าใจว่าเหตุใดฉือไคฮวงจึงเรียกเขามา เขาได้แต่พยักหน้าแล้วเอยเสียงเบาขึ้น “ถูกต้อง”

ฉือไคฮวงถามขึ้น “เจ้าได้คิดหรือยังว่าจบจากสถาบันมังกรซ่อนเร้นไปแล้วจะทำอันใดต่อ ?”

ซูเฉินตอบ “หากเป็นไปได้ข้าไม่อยากทำสิ่งใด ซื้อที่ดินสักผืนที่มีบ้านสักหลังแล้วปักหลักอยู่ที่นั่น จากนั้นค่อย ๆ ทำการทดลองต่อไป”

“แต่เจ้าทำเช่นนั้นไม่ได้” ฉือไคฮวงเอ่ย

ถูกต้อง เขาไม่อาจทำเช่นนั้นได้

ศิษย์ทุกคนที่จบจากสถาบันมังกรซ่อนเร้นไม่ได้รับอนุญาตให้กลายเป็นคนสันหลังยาว

มันเป็นกฎข้อหนึ่งของสถาบันมังกรซ่อนเร้น ทั้งยังเป็นกฎของอาณาจักรหลงซาง

ค่าเล่าเรียนในสถาบันมังกรซ่อนเร้นนั้นไม่สูงมาก หากแต่เหล่าอาจารย์และการเรียนการสอนที่นี่นับว่าสูงส่ง เมื่อคิดถึงทรัพยากรทั้งหลายที่ทุ่มให้ศิษย์สถาบันแล้ว เมื่อศิษย์จบออกมาพร้อมกับความสามารถล้นเหลือจึงไม่อาจใช้ชีวิตอยู่ตามใจตนได้

เมื่อเข้าเรียนยังสถาบันมังกรซ่อนเร้นย่อมหมายความว่าทุกคนถูกลิขิตให้ต้องรับใช้อาณาจักรหลงซางอย่างน้อยเป็นเวลา 10 ปี และหลังจากผ่าน 10 ปีไป ใครอยากทำสิ่งใดก็ทำได้ หากแต่ผู้ใดไม่ยอมทำตามกฎ 10 ปีแรกย่อมไม่มีการละเว้น

แม้จะเลือกไม่ได้ว่าอยากทำหรือไม่ แต่สามารถเลือกได้ว่าอยากทำงานที่ใด

ฉือไคฮวงเรียกพบซูเฉินในวันนี้เพื่อสอบถามถึงตัวเลือกของเขา

ซูเฉินถามขึ้น “อาจารย์มีความคิดใดชี้แนะศิษย์หรือไม่ ?”

ฉือไคฮวงเอ่ย “ข้ามีความคิดหนึ่ง เจ้าอยู่ในสถาบันมังกรซ่อนเร้นเป็นอาจารย์ต่อไป”

ทางเลือกนั้นก็ไม่ใช่ทางเลือกที่แย่นัก ประโยชน์ที่ดีที่สุดของการรั้งอยู่ในสถาบันมังกรซ่อนเร้นก็คือทุกสิ่งจะยังคงอยู่ดังเดิม

ซูเฉินยังคงศึกษากับฉือไคฮวงและทำการทดลองในหอพลังต้นกำเนิดได้อย่างปลอดภัย หากอยู่ในรั้วสถาบันย่อมไม่มีใครกล้าสร้างเรื่องให้เขา

แต่ชายหนุ่มกลับส่ายหัวแล้วเอ่ยขึ้น “แม้สถาบันมังกรซ่อนเร้นจะเป็นสถานที่ที่เหมาะกับการศึกษายิ่งนัก แต่ข้าสามารถสำแดงความรู้ที่ข้ามีได้จำกัด เมื่อพื้นฐานข้ามั่นคงมากเมื่อไร ข้าก็จำต้องออกท่องใต้หล้า ได้เห็น ได้สัมผัส ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ มีแต่ทำเช่นนั้นข้าจึงจะทำตามฝันได้”

ฉือไคฮวงหัวเราะ “เหตุใดเจ้าไม่พูดว่าเจ้าขาดตัวทดลอง หากอยู่ในสถาบันมังกรซ่อนเร้นก็จะหาได้ยากเล่า ?”

ซูเฉินพลันหน้าแดง “นั่นก็สาเหตุหนึ่ง แต่ประสบการณ์ในซากโบราณเมื่อปีก่อนทำให้ข้าเข้าใจประโยคที่ว่า ‘เดินทางหมื่นลี้ดีกว่าอ่านหนังสือหมื่นเล่ม’ หากข้าไม่มีผ้าเท่อลั่วเค่อ ความเข้าใจขั้นพื้นฐานและการค้นคว้าวิชาโบราณอาร์คาน่าของข้ามีแต่จะทำให้ข้ามุ่งหน้าวนเป็นวงกลม เรื่องนี้เป็นตัวชี้ให้ข้าเห็นว่าโลกภายนอกยังมีโอกาสรอให้ข้าค้นพบอีกมากมายนัก”

“ก็ถูกของเจ้า” ฉือไคฮวงถอนใจ “ผ่านไป 10 ปีแล้ว เจ้าเรียนในสิ่งที่จำเป็นไปหมด พื้นฐานเริ่มมั่นคง ได้เวลาที่เจ้าจะเดินหน้าต่อไปแล้ว เช่นนั้นเจ้าไม่ลองไปสมัครผู้จัดการความรู้ที่กรมพลังต้นกำเนิดเล่า”

กรมพลังต้นกำเนิดกรมภายในอาณาจักรหลงซาง รับหน้าที่จัดการดูแลผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิด พวกเขามักแก้ปัญหาการทะเลาะวิวาทระหว่างผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดและเรื่องเหนือธรรมชาติทั้งหลาย

ผู้จัดการความรู้นั้นเป็นตำแหน่งรองผู้บัญชาการในกรม

เป็นเพราะผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดนั้นมีน้อยกว่าคนธรรมดาทั่วไปมาก จึงมีปัญหาน้อยกว่าเช่นกัน ดังนั้นคนในกรมจึงมีเวลาว่างมาก แต่ก็ยังมีความรับผิดชอบในมือบ้าง เพราะอย่างไรผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดก็ไม่ค่อยจะก่อปัญหาเล็กน้อยธรรมดาอยู่แล้ว

ศิษย์จากสถาบันมังกรซ่อนเร้นทั้งแข็งแกร่งและมีความสามารถ แต่ขาดประสบการณ์ ดังนั้นคราแรกจึงมักได้รับตำแหน่งรองไปก่อน ซึ่งผู้ที่จบการศึกษาจากสถาบันมังกรซ่อนเร้นส่วนมากก็มักจะเลือกเป็นผู้จัดการความรู้กันมากมาย

ชายหนุ่มเองก็มองว่านี่เป็นสิ่งที่เขาต้องการ

ซูเฉินเอ่ยเสียงตื่นเต้น “เช่นนั้นก็ดีมาก แต่ท่านว่าพวกเบื้องบนจะยอมมอบตำแหน่งให้ข้าหรือไม่ ?”

“ให้เป็นหน้าที่ข้าเอง เข้าไปคิดเถอะว่าอยากไปที่ใด”

“ศิษย์คิดตกแล้ว ข้าอยากไปมณฑลอีกาดำ !” ซูเฉินตอบ

“มณฑลอีกาดำ ?” ฉือไคฮวงตกใจ “ที่นั่นไม่สงบสุขนัก อีกทั้งยังเต็มไปด้วยกองโจรมากมาย มีชื่อเรื่องเป็นเขตไร้กฎหมาย เหตุใดเจ้าจึงอยากไปที่นั่นเล่า ?”

ซูเฉินตอบ “อย่างแรก ข้าต้องการตัวทดลองจำนวนมาก ซึ่งข้าหาจากที่นั่นได้ อย่างที่สอง ด้วยมันเป็นสถานที่ที่อยู่ได้ยากยิ่ง ดังนั้นจึงอาจจะยังมีสมบัติโบราณและสมุนไพรยาหลงเหลืออยู่บ้าง มีผ้าเท่อลั่วเค่ออยู่ด้วยข้าย่อมหาโอกาสที่นั่นไม่ยาก อย่างที่สาม…… มันอยู่ใกล้กับหลงซีมาก”

ซูเฉินเสียงเบาลงยามเอ่ยประโยคสุดท้าย

ฉือไคฮวงหัวเราะ “ดูท่าเหตุผลสุดท้ายจะสำคัญที่สุด”

ซูเฉินยังปากแข็งไม่ยอมรับ “หากศิษย์เลือกโดยคิดถึงชิงลั่วเป็นหลักก็คงเลือกไปหลงซีแล้ว”

“เช่นนั้นเจ้าต้องเจอตระกูลกู่ต้อนรับเจ้าเสียก่อน ! ทว่าเจ้ายังต้องสร้างรากฐานตนให้ดี มีแต่ทะลวงไปยังด่านสู่พิสดารเท่านั้นที่เจ้าอาจจะสู่ขอนางได้สำเร็จ”

ซูเฉินถอนใจ นั่นเป็นเหตุผลที่เขาไม่เลือกไปหลงซี

จนกว่าเขาจะแกร่งมากพอ ยิ่งเขาอยู่ใกล้ชิดกับกู่ชิงลั่ว เรื่องราวจะยิ่งยุ่งยาก ดังนั้นหากหาสถานที่ที่ไม่ไกลจากหลงซีจึงดีกว่าการไปอยู่ที่หลงซีโดยตรง

ฉือไคฮวงเอ่ย “หากแต่อำนาจของทางการในมณฑลอีกาดำนั้นอ่อนแอมาก อีกทั้งมันยังเป็นมณฑลกว้างใหญ่ ขุนนางน้อยคนนักจะอยากไปที่นั่น ดังนั้นจะชิงตำแหน่งผู้จัดการความรู้คงไม่ยากนัก บังเอิญว่าช่วงนี้มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นที่เมืองธารน้ำใส เจ้าไม่ลองไปที่นั่นเล่า ? ไม่เช่นนั้นก็ไม่อาจรู้ได้ว่าจะพบเจอโอกาสใดบ้าง”

“ขอบคุณอาจารย์ที่ช่วยเหลือ !”

“เจ้ากับข้าเป็นอาจารย์และศิษย์กัน ไม่จำเป็นต้องมากความ เพียงแต่อย่าล้มเลิกการค้นคว้าการทะลวงสู่ด่านทะลวงลมปราณของเจ้าก็แล้วกัน ปัญหาเดียวของเจ้าคือการที่จิตใจเจ้าฟุ้งซ่านง่ายเกินไป !”

“ศิษย์จะทำให้ดีที่สุด”

เวลาหลายปีที่ผ่านมา ฉือไคฮวงพยายามค้นคว้าหาหนทางการทะลวงสู่ด่านทะลวงลมปราณมาโดยตลอด ซูเฉินเองก็ช่วยลงมือไม่น้อย แม้อีกไม่นานจะจบการศึกษาจากสถาบันมังกรซ่อนเร้นแล้ว หากแต่ซูเฉินก็ยังไม่ล้มเลิกการค้นคว้าร่วมกันกับฉือไคฮวงเพื่อสร้างหนทางการทะลวงสู่ด่านทะลวงลมปราณโดยไร้สายเลือด เพราะอย่างไรพวกเขาก็สามารถสื่อสารกันผ่านแดนฝันได้

“ศิษย์เข้าใจแล้ว” ซูเฉินตอบอย่างนอบน้อม

20 วันต่อมา

เมื่อกู่ชิงลั่วมาหาซูเฉินก็แปลกใจที่พบว่าเขาไม่ได้อยู่ในห้องทดลอง แต่กลับแต่งตัวเรียบร้อยยืนอยู่ที่ระเบียงหอพลังต้นกำเนิด สายตาล่องลอยไปไกล

กู่ชิงลั่วเดินเข้าไปหาพร้อมกับรอยยิ้ม “เหตุใดวันนี้จึงมีเวลาเดินออกมาอาบแสงตะวันได้ ?”

ซูเฉินพลันรั้งกู่ชิงลั่วเข้ามากอด สายตายังคงทอดมองออกไป จากนั้นค่อย ๆ เอ่ยขึ้น “10 ปีแล้ว ข้าอยู่ที่หอพลังต้นกำเนิดแห่งนี้มา 10 ปี แต่กลับไม่เคยใส่ใจวิวทิวทัศน์รอบข้างเลย จำนวนครั้งที่ข้าเดินมาที่ระเบียงนี่ยังใช้มือข้างเดียวนับครั้งได้ ไม่มีโอกาสได้ยืมชมภาพตรงนี้กับเจ้าด้วยซ้ำ ช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียใจนัก”

“เจ้าคงไม่พูดเช่นนี้โดยไร้เหตุผล เป็นเรื่อง……” กู่ชิงลั่วเอ่ยเสียงค่อย

“เจ้าเข้าใจข้ายิ่งนัก” ซูเฉินถอนใจ “อาจารย์จัดการเรื่องทุกอย่างให้ข้าแล้ว ข้าจะได้รับตำแหน่งผู้จัดการความรู้ในเมืองธารน้ำใส ทั้งเอกสารและตราที่จำเป็นมีเรียบร้อยแล้ว วันเวลาของเราในสถาบันมังกรซ่อนเร้น…… กำลังจะจบลงแล้ว”