นางมีรูปร่างสูงผอม ผิวขาวสะอาด เวลามองผู้คน แววตาก็มักจะเรียบเฉยเย็นชา ราวกับว่าไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตา ทว่านับตั้งแต่เขาตามนางกลับมาอีกครั้ง แววตาที่นางมองเขาก็อ่อนโยนขึ้น ซ้ำยังแฝงด้วยแววออดอ้อนพึ่งพา

ทำไมแค่พริบตาเดียว นางก็มองเขาด้วยสายตาแบบนี้

กู้จิ้งสำรวจมองเซียวเถี่ยเฟิงรอบหนึ่ง ในที่สุดก็เข้าใจหลักการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข คิดได้เช่นนี้เธอก็ยกแขนข้างหนึ่งขึ้นโอบรอบคอของเขา ส่วนอีกข้างจิ้มแผงอกของเขาพลางเป่าลมใส่หน้าเบาๆ ด้วยท่วงท่าที่เปี่ยมด้วยเสน่ห์เย้ายวน

“บรรพบุรุษคนดี มาสิ ฉันยังต้องการอีก~~~”

เสียงออดอ้อนของนางทำให้ร่างบุรุษเหล็กสั่นสะท้าน สมองลืมเรื่องแววตาแข็งกร้าวอ่อนโยนอะไรนั่นไปจนหมดสิ้น เขาอุ้มนางขึ้นไปบนเตียงพลางกล่าวเสียงแหบพร่า “ยัยปีศาจ!”

พายุโหมกระหน่ำอยู่บนเตียง

ส่วนบรรพบุรุษคนดี ปีศาจน้อยอะไรนั่น ล้วนเป็นคำเรียกด้วยเสน่หาทั้งสิ้น…

 

จนกระทั่งตะวันลอยสูง ทั้งสองถึงได้เตรียมตัวออกไปซื้อหาข้าวของ เซียวเถี่ยเฟิงคึกคักแจ่มใส แต่กู้จิ้งกลับปวดเอวปวดหลัง

เซียวเถี่ยเฟิงประคองปีศาจสาวของตนเองเอาไว้ ใจก็อดสงสัยไม่ได้ว่า หรือหากดูดไอหยางมากเกินไปจะทำให้ร่างกายอ่อนแอได้เหมือนกัน?

ในตอนนั้นเอง ไม่รู้เหมือนกันว่าปีศาจสาวไปหยิบขวดเล็กๆ ประณีตงดงามมาจากที่ไหน เขาเห็นนางเปิดฝาขวดออกก่อนจะเทอะไรบางอย่างออกมาใส่ปาก

จากนั้นนางก็เทอีกเม็ดออกมาป้อนให้เขา

นางเคี้ยวไปพลางพึมพำไปพลางว่า “อี้ต๋า[1]ของฉัน อี้ต๋าของคุณ”

เซียวเถี่ยเฟิงไม่รู้ว่า ‘อี้ต๋า’ คืออะไร โอสถทิพย์ของปีศาจอย่างนั้นรึ? รสหอมหวานในปากทำให้ตัดสินใจลองเคี้ยวๆๆ แล้วก็กลืนลงไป

“เอ๋ อี้ต๋าของนายล่ะ?”

เซียวเถี่ยเฟิงตอบ “ข้ากินไปแล้ว”

กู้จิ้งอึ้ง เธอยกมือขึ้นลูบปากแล้วก็ลูบคอเขา ดูเหมือนจะไม่เป็นอะไร

“ช่างเถอะ ถึงอย่างไรนายก็ดูเหมือนคนที่มีกระเพาะเหล็ก ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร!” กู้จิ้งได้แต่พยายามปลอบใจเขา แล้วก็ปลอบใจตัวเอง

เขาเป็นบรรพบุรุษของยาย จะปล่อยให้เป็นอะไรไปไม่ได้เด็ดขาด ต่อไปต้องระวังมากกว่านี้แล้ว

เซียวเถี่ยเฟิงไม่เข้าใจว่าทำไมปีศาจสาวถึงได้ตกใจแบบนี้ หรือโอสถทิพย์จะกลืนลงไปตามใจชอบไม่ได้ แต่ปีศาจสาวไม่พูด เขาก็ไม่ถาม

ยามนี้สายมากแล้ว พวกเขายังมีอะไรต้องทำอีกมากมาย หลังจากก้าวออกจากโรงเตี๊ยม พวกเขาก็มุ่งหน้าไปที่ร้านขายผ้าเป็นอันดับแรก

เถ้าแก่ร้านขายผ้าซาบซึ้งใจที่เซียวเถี่ยเฟิงช่วยลูกของเขาเอาไว้จึงยืนกรานจะมอบผ้าดีๆ ให้อีกหลายพับ เซียวเถี่ยเฟิงคิดว่าเอาไปก็ไม่ได้ใช้ จึงเลือกผ้าลายดอกให้ปีศาจสาวแทน

เถ้าแก่ร้านขายผ้าย่อมตบอกรับภาระทั้งหมดไปด้วยความเต็มใจ เขาบอกว่าที่ร้านมีช่างที่จะช่วยตัดเย็บให้ได้ ขอเพียงฮูหยินเซียวเลือกแบบที่ถูกใจเท่านั้นก็พอ

เซียวเถี่ยเฟิงพากู้จิ้งไปดูแบบเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่ทางร้านตัดเย็บเอาไว้แล้ว

กู้จิ้งรู้เรื่องพวกนี้เสียที่ไหน เธอมองดูเสื้อผ้าสีสันสดใสแบบต่างๆ ตั้งแต่ขวาจรดซ้ายแล้วก็ซ้ายจรดขวา สุดท้ายก็ส่ายหน้าแล้วหันไปส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากเซียวเถี่ยเฟิง

เซียวเถี่ยเฟิงเห็นเช่นนี้ก็ยิ้มพลางตบศีรษะเธอเบาๆ เขารู้ว่าเธอคงไม่รู้จักแบบเสื้อผ้าของมนุษย์ ดังนั้นจึงลงมือเลือกแบบที่เรียบง่ายแต่ดูดีให้เสียเอง

พอเห็นแบบที่เซียวเถี่ยเฟิงเลือก ช่างตัดเย็บก็อดหันไปมองเขาด้วยสายตาตื่นตะลึงไม่ได้

ใจคิดว่าคนผู้นี้ดูเผินๆ เป็นชาวภูเขาหยาบกร้าน ไยจึงมีสายตาที่เฉียบคมเช่นนี้ แบบที่เลือกล้วนแต่เป็นแบบที่ดีที่สุดของเมืองเอี้ยนจิงทั้งสิ้น

เมืองจูเฉิงของพวกเขาเป็นแค่เมืองเล็กๆ เปรียบกับเมืองหลวงแล้วก็ล้าหลังกว่าไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ยิ่งคนบนภูเขาก็ยิ่งล้าหลังกว่าคนที่อาศัยอยู่ในตัวเมืองไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่

แต่ผู้ชายหยาบกร้านซึ่งอาศัยอยู่บนภูเขาคนนี้กลับสามารถเลือกแบบเสื้อผ้าที่แม้กระทั่งสตรีมีฐานะในตัวเมืองก็ยังไม่รู้จักได้ด้วยการมองเพียงปราดเดียว ช่างเป็นเรื่องแปลกประหลาดยิ่งนัก

จริงๆ แล้วเซียวเถี่ยเฟิงไม่ได้คิดมากขนาดนั้น เขาเพียงแค่ผาดโผนอยู่ข้างนอกมานาน ไม่เคยกินหมูอย่างน้อยก็ต้องเคยเห็นหมูวิ่งมาก่อน เขาเพียงแค่รู้สึกว่าเสื้อผ้าเหล่านี้สวยและเหมาะกับปีศาจสาวก็เลยเลือกให้เธอเท่านั้น

เถ้าแก่ร้านเสื้อผ้าย่อมรับรองเป็นอย่างดีว่าจะใช้ผ้าเนื้อดีตัดเย็บเสื้อผ้าให้ฮูหยินเซียว

เซียวเถี่ยเฟิงตกลงวันที่จะมารับเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยก็บอกลาเถ้าแก่ร้านขายผ้าแล้วพากู้จิ้งออกไปหาซื้อข้าวของเครื่องใช้อื่นๆ ต่อ เงินก้อนนั้นมีค่าห้าตำลึง พอที่จะซื้อข้าวของเครื่องใช้ได้มากมาย เซียวเถี่ยเฟิงกับกู้จิ้งจึงซื้อๆๆ จนสุดท้ายต้องซื้อรถลากสองล้อมาลากข้าวของเหล่านี้กลับไป

เซียวเถี่ยเฟิงวางของที่ซื้อมาทั้งหมดไว้บนรถก่อนจะหันมาอุ้มกู้จิ้งตามขึ้นไป จากนั้นก็เริ่มออกแรงลาก

กู้จิ้งซึ่งนั่งโยกเยกอยู่บนรถเกาะหม้อใหญ่ใบหนึ่งเอาไว้อย่างมีความสุข เธอร้องบอกเซียวเถี่ยเฟิงซึ่งกำลังลากรถว่า “เอาไว้มีเงินเมื่อไหร่เราค่อยซื้อลาสักตัว!”

เธอมองรถอีกคันหนึ่งซึ่งแล่นผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพราะรถคันนั้นใช้ลาลาก จึงแล่นได้เร็วกว่าที่เซียวเถี่ยเฟิงลากมาก

คนที่กำลังลากรถอยู่ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงสดใส “ตกลง มีเงินเมื่อไหร่ เราค่อยซื้อลาสักตัว”

รถแล่นไปถึงประตูเมืองจูเฉิง บังเอิญสวนกับรถเทียมม้าเทียมวัวหลายคันเข้าพอดี เนื่องจากประตูเมืองจูเฉิงค่อนข้างแคบ ทุกคนต้องคอยหลีกทางให้กัน เซียวเถี่ยเฟิงก็เลยลากรถไปหลบอยู่ตรงข้างทาง รอให้อีกฝ่ายผ่านไปก่อน

คิดไม่ถึงว่าจะมีชายสวมชุดปักดิ้นทองคนหนึ่งมองลงมาจากรถม้าพอดี พอเหลือบมาเห็นเซียวเถี่ยเฟิง สีหน้าของเขาก็ฉายแววงุนงง “พี่ชายท่านนี้คุ้นหน้าเหลือเกิน เราเคยพบกันที่ไหนมาก่อนหรือไม่?”

เซียวเถี่ยเฟิงมองคนผู้นั้นแวบหนึ่งก่อนจะตอบกลับไปอย่างยิ้มแย้ม “เกรงว่าท่านคงจำคนผิดแล้ว”

รถม้าของชายชุดปักดิ้นทองกำลังจะแล่นผ่านรถลากสองล้อของเซียวเถี่ยเฟิงไป ทันใดนั้นเขาก็เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาหันขวับกลับมาตะโกนว่า “ท่านแซ่เซียวใช่หรือไม่?”

เซียวเถี่ยเฟิงตอบกลับไปสั้นๆ โดยไม่หันกลับไป “เกรงว่าท่านคงจำคนผิดแล้ว!”

กู้จิ้งซึ่งนั่งอยู่บนรถเอ่ยถามด้วยความงุนงง “คนคนนั้นพูดอะไรหรือ?”

ดูเหมือนจะพูดว่าแซ่เซียวอะไรสักอย่าง?

เซียวเถี่ยเฟิงหันกลับมามองเธอ จากนั้นจึงยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อพลางส่งยิ้มมาให้ “เขาถามทาง ข้ารู้เสียที่ไหน”

กู้จิ้งได้ยินว่าถามทางก็ไม่สนใจอะไรอีก

ทั้งสองออกจากประตูเมืองไปได้ไม่ไกลนักก็เห็นคนหลายคนตามหลังมา พอมองไปก็พบว่าเป็นพวกจ้าวจิ้งเทียน

ที่แท้หลังจากถูกคนฆ่าสัตว์แซ่จางก่นด่าเมื่อเช้า จ้าวจิ้งเทียนรู้สึกเสียหน้ามาก ประกอบกับทั่วตัวมีแต่กลิ่นเหม็น เขาก็เลยไปแช่น้ำในห้องอาบน้ำอยู่ครึ่งค่อนวันโดยไม่ออกไปซื้ออะไรอีก จนกระทั่งตอนนี้ถึงได้เดินทางกลับภูเขาพร้อมกับญาติคนอื่นๆ

พวกเขาเดินเร็วมาก ไม่นานนักก็ตามมาทันพวกเซียวเถี่ยเฟิง

จ้าวจิ้งเทียนกำลังอารมณ์ไม่ดี ยามนี้ได้เห็นคนทั้งสองซึ่งกำลังขนข้าวของเต็มคันรถกลับไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม สีหน้าก็ไม่ค่อยดีนัก คนฆ่าสัตว์แซ่จางกับเถ้าแก่ร้านผ้าอะไรนั่นชี้หน้าด่าเขาอย่างกับหมูกับหมา แต่พอเห็นเซียวเถี่ยเฟิงกลับยิ้มแย้มแจ่มใสซ้ำยังกล่าวชื่นชมไม่หยุดปาก เดี๋ยวก็ให้เนื้อ เดี๋ยวก็ให้ผ้า

เขาเองก็ไม่เข้าใจ เห็นชัดๆ ว่าตั้งแต่เล็กจนโต ไม่ว่าทำอะไรเขาก็พยายามมากกว่า ทำได้ดีกว่า แต่ทำไมสุดท้ายถึงยังสู้เซียวเถี่ยเฟิงไม่ได้?

แม้กระทั่งตอนนี้ เขาเป็นหัวหน้าพราน แต่ทุกครั้งที่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ผู้อื่นก็มักจะแอบพึมพำว่า หากตอนนั้นเถี่ยเฟิงไม่ได้จากไป เขาต้องทำได้ดีกว่านี้แน่

ทุกครั้งที่ได้ยินเช่นนี้ ไฟโทสะก็ลุกโชนขึ้นในใจ แต่เซียวเถี่ยเฟิงเป็นพี่น้องที่ดีของเขา มิตรภาพระหว่างพี่น้องในอดีตไม่ใช่พูดแต่ปาก เขาจึงได้แต่ทน ได้แต่อดกลั้น

ยามนี้ได้มาพบกัน เขาก็จำต้องกัดฟันสะกดกลั้นความไม่พอใจเอาไว้แล้วตรงเข้าไปทักทายเซียวเถี่ยเฟิง

“ทำไมไม่ซื้อวัวหรือม้าสักตัว ลากแบบนี้เมื่อไหร่จะกลับไปถึงกัน?”

“รออีกสักพักค่อยซื้อ วันนี้เราซื้อของมากเกินไปแล้ว แถมจะว่าไป ไม่มีที่นา ซื้อมาก็ไม่มีประโยชน์ ยังต้องลำบากหาอาหารให้พวกมันอีก”

จ้าวจิ้งเทียนเห็นว่าอีกฝ่ายพูดมีเหตุผล จึงไม่พูดอะไรอีก

บ้านตระกูลจ้าวเลี้ยงวัวสามตัว, ลาสองตัว, ม้าอีกหนึ่งตัว ทั้งหมดนี้ล้วนต้องใช้เงินทั้งสิ้น คนทั่วไปอย่าว่าแต่หาซื้อสัตว์เลี้ยงเหล่านี้ แค่เลี้ยงก็แทบจะไม่มีปัญญาหาอาหารให้

บ้านของเซียวเถี่ยเฟิงยากจนจนเหลือแต่ผนังสี่ด้าน จะมีปัญญาเลี้ยงสัตว์ได้อย่างไร

คิดถึงตรงนี้ จ้าวจิ้งเทียนก็อดหันไปมองพี่น้องที่ดีของตนอีกครั้งไม่ได้ ยามนี้พี่น้องที่ดีของเขากำลังออกแรงลากรถจนเหงื่อไหลไคลย้อย แต่สตรีที่นั่งอยู่บนรถกลับกระดิกเท้าชมวิวทิวทัศน์อย่างสบายอารมณ์ ปากก็ร้องเพลงทำนองแปลกๆ ที่ไม่มีใครฟังเข้าใจ ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังใช้อาคมหรือกำลังร่ายคำสาป

เห็นเช่นนี้ เขาก็อดส่ายหน้าไม่ได้

เถี่ยเฟิงเอ๊ยเถี่ยเฟิง จริงๆ แล้วจนไปหน่อยก็ไม่เป็นปัญหา ล้วนเป็นพี่น้องที่ดี วันหน้าเขาย่อมต้องช่วยเหลือ อะไรๆ ก็คงดีไปเอง แต่ตอนนี้เจ้ากลับเลือกไปจากหมู่บ้านเพื่อผู้หญิงแปลกประหลาดคนนี้ มิหนำซ้ำไปจากหมู่บ้านยังไม่พอ ยังยอมเป็นม้าเป็นลาปรนนิบัติรับใช้นางอีกด้วย!

 

—————————————————–

[1] ชื่อยี่ห้อหมากฝรั่ง