ตอนที่ 37 หมายความว่าอย่างไรกันแน่?

ข้าจับปีศาจสาวได้ตัวหนึ่ง 天上掉下个美娇娘

ต่อให้ผู้หญิงคนนั้นใช้เข็มเย็บผ้าเป็นแล้วยังไง คนอื่นใช้ไม่เป็นอย่างนั้นหรือ? ไม่มีนาง เด็กคนนั้นก็ต้องตายงั้นรึ? แถมจะว่าไป นางอาจใช้อาคมก็ได้!

เซียวเถี่ยเฟิงถูกนางปีศาจล่อลวงจนโงหัวไม่ขึ้นเสียแล้ว!

ในตอนนั้นเอง สตรีนางนั้นก็หันมาปรายตามองเขา ดวงตาดำขลับของนางเปล่งประกายสุกใส ดูอย่างไรก็เหมือนแววตาของคนที่สามารถอ่านจิตใจผู้คนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

หัวใจของจ้าวจิ้งเทียนกระตุกวูบ

เดิมกู้จิ้งกำลังชื่นชมวิวทิวทัศน์รอบด้านรวมทั้งแผ่นหลังซึ่งมีกล้ามเป็นมัดๆ ของคนที่กำลังลากรถอยู่ด้านหน้าอย่างมีความสุข ปากก็ร้อง “ปีศาจน้อยนั่งบนรถ ท่านบรรพบุรุษเดินนำหน้า ความรักของเราความผูกพันของเรา อยู่บนรถโยกเยกไปมา ทุกย่างก้าวที่คุณก้าวเดิน น้ำตาหยดลงบนหัวใจของฉัน หวังจะไปให้ถึงปากถ้ำของเรา คุณจะได้นอนให้พอ โอ~~โอ~~”

กำลังร้องอย่างมีความสุข จู่ๆ ก็มีสายตาคู่หนึ่งมองตรงมา

สายตานั้นคมกล้ามากจนเธอต้องหันไปมองทั้งที่ยังร้อง ‘นอนให้พอ’ ไม่จบ พอหันไปก็เห็นจ้าวจิ้งเทียนกำลังมองมาด้วยสายตาเคียดแค้น

เธอตกใจไม่น้อย แม้กระทั่งเสียงร้อง “โอ~~โอ~~โอ” ก็ขาดหายไปเสียเฉยๆ กู้จิ้งหันไปตั้งอกตั้งใจจ้องอันธพาลจ้าวจิ้งเทียน

เขา…หมายความว่าอย่างไรกันแน่?

ช่างน่าแค้นใจนัก อันธพาลจ้าวจิ้งเทียนไม่เพียงแต่ข่มเหงหยางไป๋เหลาด้านการเงิน แต่ยังคิดจะควบคุมจิตใจของเขาอีกด้วย

หยางไป๋เหลาอุตส่าห์ปกป้องเขาโดยไม่สนใจคนข้างหมอนเช่นเธอ เขายังจะเอายังไงอีก?

หรือเขายังหมายปองสี่เอ๋อเช่นเธออยู่อีก?

อันธพาลในสังคมศักดินาสมัยโบราณช่างน่าชิงชังนัก เธอจะต้องช่วยหยางไป๋เหลาให้ได้

ไม่พูดถึงเรื่องที่เซียวเถี่ยเฟิงดีต่อเธอไม่น้อย แค่พูดถึงเรื่องที่เขาเป็นบรรพบุรุษของยาย เธอก็ต้องพยายามช่วยเขาให้หลุดพ้นจากการควบคุมของอันธพาลสุดความสามารถ!

กู้จิ้งซึ่งนั่งอยู่บนรถลากแอบกำหมัดแน่น สักวันหนึ่ง ฉันต้องสั่งสอนนายให้รู้รสชาติเสียบ้าง

แน่นอน เรื่องนี้จะให้เซียวเถี่ยเฟิงรู้ไม่ได้

ฝ่ายจ้าวจิ้งเทียนเองก็กำลังแอบทอดถอนใจพลางส่ายหน้าอยู่เงียบๆ

ถึงตอนนี้เขากับเถี่ยเฟิงต่างก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่ ซ้ำยังมีเรื่องขัดแย้งกันไม่น้อย แต่พวกเขาก็เป็นพี่น้องที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก หากเขาไม่ช่วยอีกฝ่ายแล้วใครจะช่วย? ผู้หญิงคนนั้นร่ายคำสาปใช้เถี่ยเฟิงลากรถให้เหมือนวัวเหมือนม้า เขาต้องหาเวลา หาหนทางเตือนสติพี่น้องของตัวเอง ช่วยให้เขารอดพ้นจากขุมนรก จะปล่อยให้ผู้หญิงคนนั้นทำร้ายต่อไปไม่ได้เด็ดขาด

ฝ่ายหนึ่งแอบลับมีดอยู่ในใจ ส่วนอีกฝ่ายก็แอบขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่เงียบๆ สายตาของทั้งคู่ประสานเข้าด้วยกัน จากนั้นก็เริ่มเข่นฆ่ากันด้วยสายตา

เดิมบรรพบุรุษแซ่เซียว…หยางไป๋เหลาซึ่งลากรถอยู่ด้านหน้าไม่ทันได้สังเกต แต่จู่ๆ ปีศาจสาวก็เลิกร่ายคำสาปไปเสียเฉยๆ ทำให้เขาอดเสียดายไม่ได้ คำสาปที่ไพเราะขนาดนั้น เขายังอยากจะฟังอีก พอคิดเช่นนี้เขาก็ยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อบนหน้าผากพลางหันกลับไปมอง แต่แล้วกลับพบว่าพี่น้องของตัวเองจ้าวจิ้งเทียนกับปีศาจสาวกำลังสบตากัน แถมจ้าวจิ้งเทียนยังดูเหมือนจะตั้งใจมองมากจนเกือบจะเดินสะดุดหินล้มหน้าคว่ำเสียด้วยซ้ำ

เซียวเถี่ยเฟิงเงียบไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็หยุดเดินแล้วหันไปกล่าวกับจ้าวจิ้งเทียนว่า “นั่งพักสักครู่เถิด!”

จ้าวจิ้งเทียนกำลังจ้องปีศาจสาวตาไม่กะพริบ พอได้ยินเช่นนี้ก็ส่ายหน้า “ไม่ ไม่เหนื่อย!”

เซียวเถี่ยเฟิงหรี่ตาพลางกล่าวเสียงเย็นชา “ข้าเหนื่อยแล้ว”

จ้าวจิ้งเทียนค่อยได้สติ “ได้ พักก่อน จะได้ฉวยโอกาสกินอาหารด้วย”

บังเอิญที่ข้างทางมีหินหลายก้อน คนทั้งกลุ่มจึงนั่งลงแล้วหยิบอาหารแห้งกับน้ำซึ่งสะพายอยู่บนหลังออกมากิน

เซียวเถี่ยเฟิงหยิบเนื้อกวางซึ่งย่างจนแห้งออกมาฉีกให้ปีศาจสาวชิ้นหนึ่งแล้วก็ส่งน้ำเต้าบรรจุน้ำดื่มไปให้นาง

กู้จิ้งเห็นผ้าซับเหงื่อพาดอยู่บนบ่าของเขาก็เอื้อมมือไปคว้ามาแล้วขยับเข้าไปเช็ดเหงื่อให้

แผงอกกว้างแข็งแรงเป็นมันเลื่อมราวกับเปล่งแสงได้ หยาดเหงื่อใสกระจ่างดูเซ็กซี่ชวนให้ลิ้มลอง กู้จิ้งเห็นแล้วก็อดนึกถึงเรื่องที่พวกเขาทำบนเตียงเมื่อตอนสายไม่ได้ ต่อให้เธอหน้าหนาแค่ไหนก็ยังรู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าว

เพียงแค้นที่เวลาช่างยาวนาน ระยะทางกลับบ้านก็ไกลเหลือเกิน

เซียวเถี่ยเฟิงคิดไม่ถึงว่าปีศาจสาวจะเอาใจใส่เขาถึงขนาดขยับเข้ามาช่วยเช็ดเหงื่อให้ นิ้วเรียวยาวสมส่วนซึ่งกุมผ้าซับเหงื่อเอาไว้เคลื่อนผ่านแผงอกของเขาไปเป็นพักๆ ทำให้แผงอกซึ่งร้อนผ่าวอยู่แล้วของเขายิ่งร้อนจนเหมือนกับถูกไฟแผดเผา

ดวงตาคู่งามของนางแฝงด้วยความเอียงอาย สองแก้มสะท้อนกับแสงแดดเป็นสีชมพูเรื่อ ริมฝีปากบางเชิดสูง จนดูราวกับว่าหากนางก้มหน้าเพียงนิดเดียวก็อาจจะจิกโดนอกของตัวเอง

แค่มองครั้งเดียวก็ทำให้ผู้คนนึกชอบ ชอบจนอยากจะกอดเอาไว้ ไม่ปล่อยมือตลอดชีวิต

“ข้าอยากกลับไปให้ถึงบ้านเร็วๆ” แววตาเร่าร้อนของเขาจับจ้องอยู่ที่ริมฝีปากของนาง

กู้จิ้งได้ยินเช่นนี้ก็กะพริบตาปริบๆ พลางเอียงคอมองเขา “ใช่ รอเข้าถ้ำ!”

เธอเข้าใจความหมายของเขา แต่คำพูดประโยคที่ว่า ‘ไปให้ถึงปากถ้ำของเรา’ ยังดังก้องอยู่ในหัว เธอก็เลยหลุดปากพูดคำว่า ‘เข้าถ้ำ’ ออกมา

เธอไม่พูดยังพอว่า พอพูดออกมา เซียวเถี่ยเฟิงก็ตะลึงงันไป จากนั้นอะไรบางอย่างก็ระเบิดตูมขึ้นในสมอง

เข้าถ้ำ… เข้าถ้ำ… เข้าถ้ำอะไรกัน?

เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

“เจ้า…” เหลือบไปเห็นผู้ชายหลายคนกำลังแอบมองมา เขาก็จำต้องสะกดกลั้นคำพูดเอาไว้ “ยัยปีศาจ!”

จงใจยั่วยวนเขาต่อหน้าธารกำนัลชัดๆ!

ระหว่างที่พูดก็เห็นเหงื่อเม็ดหนึ่งไหลผ่านข้างแก้มมาหยุดอยู่ตรงมุมปากบางของเธอ

เซียวเถี่ยเฟิงทนไม่ไหวอีกแล้ว เขายื่นหน้าเข้าไปเลียอย่างรวดเร็ว

กู้จิ้งเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ เธอคิดว่าคนโบราณล้วนแต่เป็นพวกหัวโบราณ โดยเฉพาะชายที่วันหน้าจะถูกบันทึกชื่อลงในม้วนรายชื่อบรรพบุรุษให้ลูกหลานรุ่นหลังได้เซ่นไหว้คนนี้ยิ่งสมควรต้องเคร่งขรึมน่าเกรงขามและหัวโบราณสุดๆ ไม่ใช่หรือ คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะกล้าจูบปากเธอต่อหน้าคนอื่นเช่นนี้?

นึกถึงริมฝีปากร้อนผ่าวที่สัมผัสกับมุมปากของตัวเองแล้ว เธอก็รู้สึกร้อนวูบอยู่ในอก กู้จิ้งทนไม่ไหวอีก เธอตัดสินใจจูบตอบ ใครกลัวกัน! จูบก็จูบสิ!

ทั้งสองคนจูบกันไปจูบกันมาต่อหน้าธารกำนัลโดยไม่สนใจอันธพาลจ้าวจิ้งเทียนกับคนตระกูลจ้าวคนอื่นๆ ที่แอบมองอยู่ด้านข้างสักนิด

พวกเขาเคยเห็นอะไรแบบนี้เสียที่ไหน?

จะเหลือบมองอีกทีก็เกรงใจ สุดท้ายก็ได้แต่นั่งตัวเกร็ง บังคับสายตาไม่ให้วอกแวกไปทางไหน แม้กระทั่งไอสักครั้งก็ยังไม่กล้า นับได้ว่าลำบากไม่น้อย

จ้าวจิ้งเทียนเองก็ตกใจไม่น้อย เขาสูดหายใจลึกพลางเหลือบตามองชายหญิงที่อยู่ห่างไปไม่ไกลนัก จากนั้นก็สูดหายใจลึกแล้วเหลือบตามองชายหญิงคู่นั้นอีก

เถี่ยเฟิง…เถี่ยเฟิง… เจ้าถูกปีศาจล่อลวงจนกลายเป็นคนละคนไปแล้ว!

เมื่อก่อนตอนอยู่ที่หมู่บ้าน เจ้าไม่กล้ามองผู้หญิงตรงๆ เสียด้วยซ้ำ นอกจากซิ่วเฟินแล้ว เจ้าไม่เคยมองผู้หญิงคนไหนเลย!

ทำไมออกไปครั้งเดียวก็ไปแต่งงานกับเมียปีศาจจนกลายเป็นแบบนี้?

ต้องโดนอาคมแน่ๆ พี่น้องของข้าโดนอาคมเสียแล้ว ไม่ได้ ข้าต้องช่วยเขา!

หัวหน้าพรานอะไรนั่นเป็นแค่เรื่องเล็ก ประเด็นสำคัญคือข้าต้องช่วยพี่น้องของข้าให้ได้!

เซียวเถี่ยเฟิงกำลังกอดเมียปีศาจของตัวเองเอาไว้พลางก้มลงจูบหน้าผากของนาง ทันใดนั้น เขาก็เงยหน้าขึ้นมองไปทางจ้าวจิ้งเทียน

เขาเห็นจ้าวจิ้งเทียนกำลังนั่งหน้าแดงหูแดงอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางกระสับกระส่าย

เซียวเถี่ยเฟิงก้มลงขบใบหูของปีศาจสาวเบาๆ

ปีศาจแสนโง่ อยากจะได้ไอหยางของผู้ชายอื่นอย่างนั้นรึ

“อ๊า…” กู้จิ้งกำลังดื่มด่ำกับแผงอกร้อนผ่าวของบรรพบุรุษแซ่เซียวโดยไม่สนใจเหงื่อที่เปียกชุ่มแผงอกของเขา จู่ๆ ก็รู้สึกเจ็บแปลบตรงใบหู

เธอ…เธอถูกกัดงั้นรึ?

หลังจากเข้าไปในเขตภูเขา รถลากสองล้อก็แล่นต่อไปได้ไม่สะดวกนัก จ้าวจิ้งเทียนกับคนตระกูลจ้าวคนอื่นๆ จึงเข้ามาช่วยเหลือ

เซียวเถี่ยเฟิงหันกลับไปยิ้มให้จ้าวจิ้งเทียนพลางเอ่ยขอบคุณ

ถึงตอนนี้กู้จิ้งก็ไม่อาจนั่งอยู่บนรถต่อไปได้อีก เธอจึงลงมาเดินพลางช่วยดันรถอยู่ด้านหลัง

พอใกล้จะไปถึงหมู่บ้านเว่ยอวิ๋น พวกเขาก็ตั้งท่าจะแยกทางกับจ้าวจิ้งเทียน คิดไม่ถึงว่าจ้าวจิ้งเทียนจะลากเซียวเถี่ยเฟิงไปคุยกันที่ด้านข้าง

“เถี่ยเฟิง เรื่องในเมืองเมื่อวานต้องขอบคุณเมียของเจ้า” จ้าวจิ้งเทียนคิดว่าต้องทำให้เซียวเถี่ยเฟิงคลายความระวังก่อน เพราะก่อนหน้านี้เขาเพิ่งไล่อีกฝ่ายออกจากหมู่บ้านไป

“ไม่เป็นไร แค่เรื่องเล็กน้อย” เซียวเถี่ยเฟิงเงยหน้าขึ้นมองพี่น้องที่ดีแวบหนึ่ง เขาคิดไม่ถึงเลยว่าจ้าวจิ้งเทียนจะลากเขามาคุยเป็นการส่วนตัวเพื่อขอบคุณภรรยาของเขาเท่านั้น

จ้าวจิ้งเทียนเหลือบมองสตรีที่อยู่หางไปไม่ไกลนัก เห็นผู้หญิงคนนั้นกำลังมองมาพอดี

หัวใจของเขากระตุกวูบ เขารีบกระแอมคำหนึ่งก่อนจะกล่าวเสียงเบาว่า “เถี่ยเฟิง ข้าคิดว่าเมียของเจ้ายอมช่วยคน จริงๆ ก็คงไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ข้าว่าเจ้ากลับไปอยู่ที่บ้านเถอะ คนในหมู่บ้านต่างก็เป็นห่วงเจ้ากันทั้งนั้น”

เซียวเถี่ยเฟิงยิ่งคิดไม่ถึงว่าจ้าวจิ้งเทียนจะทำท่าลับๆ ล่อๆ ลากเข้ามาใกล้เพื่อบอกให้เขากลับไป?