ตอนที่ 581 เพลิงอัศจรรย์เชื่อมหยินหยาง

พันธกานต์ปราณอัคคี

“อะไรนะ” คนงามโถมเข้าสู้อ้อมกอด ถังมู่เฉินไม่ได้เอาเปรียบด้วยการตีงูด้วยกระบอง[1]อย่างหาได้ยาก กลับยกสองมือก็ประคองหัวไหล่ของต้วนชิงเกอเอาไว้ แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ “ชิงเกอ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”

ดวงตาทั้งสองข้างของต้วนชิงเกอมีน้ำตาคลอหน่วย “ข้าเองก็ไม่แน่ใจ เป็นศิษย์พี่ผู้ดูแลพรรคบอก”

ถังมู่เฉินครุ่นคิด “เป็นไปไม่ได้ น้องสาวจะตายได้อย่างไร ปีนั้นติดตามข้าโชคร้ายเพียงใดยังรอดมาได้…”

เมื่อเหลือบมองแววตาแปลกประหลาดของต้วนชิงเกอ ก็หยุดพูดทันที เอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ชิงเกอ พวกเราต้องไปดูชิงเฉิน”

ต้วนชิงเกอขมวดคิ้ว “ศิษย์พี่ผู้ดูแลพรรคบอกว่าอาจารย์อาลั่วหยางดูแลชิงเฉินอยู่ตลอด พวกเราไม่ควรรบกวน…”

“ชิงเกอ เจ้าเลอะเลือนแล้ว น้องสาวเข้มแข็งขนาดนั้น เหตุใดถึงไม่อยู่แล้ว ไม่ได้เห็นกับตาตนเองข้าย่อมไม่เชื่อ อีกอย่างผู้ดูแลพรรคของพวกเจ้าแค่พูดว่าไม่ควรรบกวน ไม่ได้บอกว่าห้ามรบกวนเสียหน่อย” ถังมู่เฉินกะพริบตาปริบๆ

ต้วนชิงเกอพลันตกตะลึง แล้วพยักหน้า “ได้ สหายถัง เจ้ารอสักประเดี๋ยว ข้าจะไปหาเสวียนหั่วเจินจวิน”

ต้วนชิงเกอบินร่อนลงมาที่ยอดเขาหลักของยอดเขาหลิวหั่ว มองเห็นเสวียนหั่วเจินจวินนั่งบนโต๊ะหิน เหนือหัวมีพัดกกบังแดดเอาไว้ แววตาเลื่อนลอยไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

“ซู่เหยียนคารวะเจินจวิน” ต้วนชิงเกอคารวะ

เสวียนหั่วเจินจวินดูเหมือนว่าตกตะลึง รีบร้อนกระโดดลงมาจากโต๊ะหิน นั่งยืดตัวตรง “ชิงเกอหรือ มาหาข้ามีเรื่องอะไรรึ”

ต้วนชิงเกอรู้ว่าเสวียนหั่วเจินจวินยามพูดจาไม่ชอบอ้อมค้อมมากที่สุด จึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “เจินจวิน เรื่องของชิงเฉิน ซู่เหยียนได้ฟังมาจากศิษย์พี่ผู้ดูแลพรรคแล้ว ซู่เหยียนและชิงเฉินรู้จักกันมาหลายปี เป็นพี่น้องที่รู้ใจกัน ขอเจินจวินได้โปรดพาซู่เหยียนไปพบนางสักครา”

เสวียนหั่วเจินจวินหยิบพัดมาโบกอย่างเงียบๆ เนิ่นนานถึงเอ่ยว่า “ชิงเกอ ข้าอยากรบกวนเจ้าเรื่องหนึ่ง”

“เจินจวินได้โปรดพูดมาเลยเจ้าค่ะ” ต้วนชิงเกอพลันตกตะลึง แล้วเอ่ยอย่างรวดเร็ว

เสวียนหั่วเจินจวินควักกล่องหยกออกมาจากแขนเสื้อแล้วส่งให้

ต้วนชิงเกอยื่นมือมารับ เสวียนหั่วเจินจวินส่งสัญญาณให้เปิดออก ในกล่องหยกมีหญ้าวิญญาณสีฟ้าอ่อนต้นหนึ่งวางอยู่

“นี่คือ…หญ้าลืมกังวลหรือ” ต้วนชิงเกอพลันตกตะลึง

เสวียนหั่วเจินจวินพยักหน้า “ใช่แล้ว ช่วงนี้ข้าไปที่ราบชื่อเจ่ามา คิดไม่ถึงว่าจะตามหาหญ้าลืมกังวลต้นนี้ได้อย่างราบรื่น ชิงเกอ เจ้าน่าจะรู้ว่าลั่วหยางรู้สึกอย่างไรกับชิงเฉิน นางหนูชิงเฉินจากไปแล้ว เขาก็ดึงดันจะไปแก้แค้นกับราชาปีศาจ การไปครั้งนี้ ไหนเลยจะมีชีวิตรอดกลับมาได้”

“ความหมายของเจินจวินคือ อยากให้อาจารย์อาลั่วหยางกินหญ้าลืมกังวลหรือ” ต้วนชิงเกอเม้มปาก

เสวียนหั่วเจินจวินพยักหน้า “ใช่แล้วข้าเข้าใจเจ้าเด็กน้อยลั่วหยางนั่น ดูจากพื้นฐานแล้วความจริงแล้วเฉลียวฉลาดมาก จะให้ข้าหลอกให้เขากินหญ้าลืมกังวลคงยาก ชิงเกอเจ้าและชิงเฉินมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ไม่แน่ว่าอาจจะทำให้เขาไม่ทันระวังตัวได้”

“เรื่องนี้…” ต้วนชิงเกอหน้าเปลี่ยนสีไปมาไม่หยุด ตกเข้าสู่ภวังค์สับสน เนิ่นนานถึงได้เงยหน้าขึ้นมองเสวียนหั่วเจินจวิน เอ่ยอย่างหนักแน่นว่า “เจินจวิน ขอประทานอภัยที่ซู่เหยียนไม่อาจตอบรับได้”

“เพราะเหตุใด” เสวียนหั่วเจินจวินรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก

ต้วนชิงเกอหยักมุมปาก เผยรอยยิ้มโศกเศร้าระคนดีใจ “อาจารย์อาลั่วหยางเป็นสามีของชิงเฉิน การแก้แค้นแทนภรรยาเป็นสิ่งที่เขาควรทำแล้ว สำหรับอาจารย์อาลั่วหยางแล้วคงเป็นความปรารถนาในใจ”

โลกของผู้บำเพ็ญเพียร มีผลประโยชน์และการสังหารกันมากมาย ปกติแล้วนางก็เป็นคนที่มีจิตใจเย็นชา แต่ถ้าหากเผชิญหน้ากับการดับสูญของคู่บำเพ็ญก็มีเหตุผลให้ต้องใช้สติปัญญาและการคิดคำนวณมากมาย เทพเซียนผู้กินลมดื่มน้ำค้างได้ในสายตาของคนธรรมดาเหล่านี้ ดูไปแล้วก็มิน่าโศกเศร้าและถอนใจหรอกหรือ

เสวียนหั่วเจินจวินขมวดคิ้ว “ชิงเกอเอ๋ย เจ้าต้องเข้าใจว่า หากไม่ให้ลั่วหยางกินหญ้าลืมกังวล เขาไม่มีทางรอดได้”

ต้วนชิงเกอหลุบตาลง แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ “กินหญ้าลืมกังวล ให้อาจารย์อาลั่วหยางลืมเรื่องราวในอดีต นั่นจะนับว่าเป็นการใช้ชีวิตจริงๆ หรือ เจินจวิน เรื่องบางเรื่องรู้ทั้งรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่กลับทำได้เพียงต้องทำเท่านั้น”

เสวียนหั่วเจินจวินรู้สึกงุนงง เนิ่นนานถึงได้ถอนหายใจยาวๆ แล้วเอ่ยว่า “ได้ ได้ ข้าคงแก่แล้ว คาดไม่ถึงว่าจะมองเรื่องราวเทียบเท่านางหนูน้อยคนหนึ่งมิได้ รักปักใจ ฮ่าๆ ข้าสมควรจะมีชนรุ่นหลังที่เย่อหยิ่งเช่นนี้จริงๆ นางหนูชิงเกอ ตามข้าไปพบชิงเฉิน”

ใบหน้าเสวียนหั่วเจินจวินมีสีแดงระเรื่อ คาดไม่ถึงว่าจะดูเหมือนว่ามีลำแสงวิญญาณอยู่รางๆ ทำให้ผู้คนไม่กล้ามองสบตาตรงๆ

เขาสะบัดแขนเสื้อ ชั่วขณะนั้นหญ้าลืมกังวลในกล่องหยกพลันแหลกละเอียด กลายเป็นลำแสงวิญญาณสีฟ้าสลายหายไปกลางอากาศ

ทั้งสองคนออกจากยอดเขาหลิวหั่วตรงไปหายอดเขาลั่วเถา ถังมู่เฉินเข้ามาต้อนรับ

ฟังคำแนะนำของต้วนชิงเกอว่าเป็นพี่น้องของมั่วชิงเฉิน เสวียนหั่วเจินจวินไม่คิดอะไรมากความ พาทั้งสองคนไปด้วยกัน

“นางหนูชิงเฉินอยู่ในนี้ ข้าไม่เข้าไปแล้ว” เสวียนหั่วเจินจวินหยุดอยู่หน้าห้องลับ

ต้วนชิงเกอและถังมู่เฉินมองสบตากันแวบหนึ่ง ยื่นมือออกไปผลักประตูหิน

เมื่อได้ยินการเคลื่อนไหว เยี่ยเทียนหยวนก็หันหน้าไปมองทั้งสองคนแวบหนึ่ง หันกลับมาเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้ง “ศิษย์น้อง ศิษย์หลานต้วนและสหายถังมาหาเจ้าแล้ว”

ต้วนชิงเกอใจเต้น แม้จะเตรียมใจไว้ตั้งนานแล้ว กลับคิดไม่ถึงว่าเยี่ยเทียนหยวนจะตรอมใจเช่นนี้

ถังมู่เฉินกลับไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้ สายตาตกอยู่บนร่างของมั่วชิงเฉิน สาวเท้ายาวๆ เดินไป

มองมั่วชิงเฉินอย่างละเอียดแวบหนึ่ง ยื่นนิ้วออกมาจิ้มแก้มของนาง

ต้วนชิงเกอพลันตกตะลึง หลังจากมีปฏิกิริยาตอบสนองก็เกือบจะบ้า “ถังมู่เฉิน เจ้ามันไร้ยางอาย!”

สายลมพัดโชยเข้ามา ถังมู่เฉินล้มลงกับพื้นขาชี้ฟ้า ประสานสายตาเข้ากับสายตาที่เย็นชาของเยี่ยเทียนหยวน

ถังมู่เฉินหดคออย่างไม่รู้สึกตัว แล้วรีบร้อนเอ่ยว่า “อย่าลงมือสิ พวกเจ้าฟังข้าก่อน สถานการณ์ของน้องสาวแปลกพิกล กายเนื้อของนาง คาดไม่ถึงว่าจะยังมีพลังชีวิต”

เอ่ยไปพลางก็ลุกขึ้นมา แล้วคิดจะเข้าไปดูให้ละเอียดอีกครั้ง ก็ถูกสายตาเย็นชาของเยี่ยเทียนหยวนแช่แข็งจนต้องหยุดอยู่ที่เดิม

“ในร่างของชิงเฉิน มีแก่นทองคำของตู้รั่วปกป้องอยู่” เนิ่นนาน เยี่ยเทียนหยวนจึงได้เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ

“นั่นก็ไม่ถูก…” ถังมู่เฉินสั่นศีรษะด้วยความงุนงง “ข้าขอลูบอกของนางได้หรือไม่”

สีหน้าของเยี่ยเทียนหยวนและต้วนชิงเกอไม่รู้ว่าควรจะใช้คำใดมาอธิบายแล้ว

ถังมู่เฉินสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่มีอยู่อย่างไร้ขอบเขตภายในห้องลับเล็กๆ แห่งนี้ทันที เพื่อไม่ให้ตายอย่างไม่เป็นธรรม จึงรีบร้อนเอ่ยว่า “ข้าอยากยืนยันสถานการณ์ของน้องสาวสักหน่อย ไม่แน่ว่า…”

เมื่อพ่นสามคนสุดท้ายออกมา เยี่ยเทียนหยวนก็ลงมืออย่างรวดเร็ว คว้าข้อมือของถังมู่เฉินตรงไปที่ทรวงอกของมั่วชิงเฉิน น้ำเสียงสั่นเทา “เจ้าลอง…”

ถังมู่เฉินหลับตา ฝ่ามือมีเปลวเพลิงสีเทาดำทะลักออกมา จมหายเข้าไปในทรวงอกของมั่วชิงเฉินอย่างเงียบเชียบ

ภายในห้องลับ เงียบสงัดจนทำให้ลมหายใจติดขัด

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ในที่สุดถังมู่เฉินก็ชักมือกลับมา ลืมตาขึ้น แล้วเอ่ยพึมพำว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ มิน่าละ…”

“มิน่าละอะไร” ต้วนชิงเกอเอ่ยถาม

ถังมู่เฉินมองทั้งสองคน “สถานการณ์ของน้องสาวพิเศษจริงๆ กล่าวได้ว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง หลังจากผู้บำเพ็ญเพียรตายแล้ว กายเนื้อจะเน่าเปื่อยเหมือนกับคนธรรมดา กลับคืนสู่เถ้าธุลี แต่ตู้รั่วมอบแก่นทองคำให้ชิงเฉิน มีพลังวิญญาณคุ้มครองร่าง แน่นอนว่าย่อมรักษากายเนื้อของนางไม่ให้เน่าเปื่อยได้ หากแค่นั้น ก็ไม่แปลก เพราะไม่ว่าผู้บำเพ็ญเพียรคนใดหลังจากดับสูญแล้ว หากมีสัตว์เทพคอยคุ้มครอง หรือใช้ดอกไม้พิสดารผลไม้อัศจรรย์บางชนิด หรือกระทั่งหยกน้ำแข็งหมื่นปี สิ่งเหล่านี้ล้วนสามารถคุ้มครองซากศพไม่ให้เน่าเปื่อยได้ แต่สิ่งที่พิเศษของน้องสาวอยู่ตรงนี้ ยามที่นางถูกคนสังหาร คู่ต่อสู้มีพลังยุทธ์เหนือกว่านางมาก จึงผนึกและสังหารทารกปราณในร่างของนางโดยตรง แต่เพราะมีพลังวิญญาณของแก่นทองคำหล่อเลี้ยงคอยจิตวิญญาณดั้งเดิมและกายเนื้อเอาไว้ นี่จึงทำให้แม้ว่าดวงวิญญาณของนางจะกลับคืนสู่อเวจี กายเนื้อกลับไม่ใช่แค่ไม่เน่าเปื่อย แต่พลังชีวิตยังคงอยู่”

“แล้วอย่างไร” ต้วนชิงเกอเอ่ยถาม

เยี่ยเทียนหยวนแค่ฟังอย่างเงียบๆ โดยไม่ปริปาก

ถังมู่เฉินฉีกยิ้มอย่างแปลกประหลาดเล็กน้อย น้ำเสียงแผ่วเบาลง “หมายความก็คือ หากดวงวิญญาณของน้องสาวหวนกลับมา นางก็กลับมาจากความตายได้!”

เยี่ยเทียนหยวนเงยหน้าขึ้นทันที จ้องเขม็งไปยังถังมู่เฉิน “เป็นความจริงหรือ”

ถังมู่เฉินพยักหน้า

แววตาของต้วนชิงเกอเปล่งประกาย กลับส่ายศีรษะแล้วเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา “แต่ข้าได้ยินเสวียนหั่วเจินจวินกล่าวว่า เพื่อหาวิธีรักษาชิงเฉินเหอกวงเจินจวินพยายามค้นหาม้วนคัมภีร์ต่างๆ จนถูกอาวุโสหัวหน้าพรรคสั่งให้พักผ่อน ก็ยังหาวิธีช่วยไม่พบ”

เยี่ยเทียนหยวนกลับเหมือนไม่ได้ยินคำพูดของต้วนชิงเกอ มองไปยังถังมู่เฉิน

ต้วนชิงเกอถอนหายใจออกมาเบาๆ สำหรับลั่วหยางเจินจวินแล้ว ต่อให้มีความหวังแค่ริบหรี่ เขาก็ยินดีจะเชื่อ

ถังมู่เฉินไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอยู่นาน

ต้วนชิงเกอยื่นมือไปสัมผัสแขนของเขา

ถังมู่เฉินพลันได้สติกลับคืนมา มองทั้งสองคนแวบหนึ่ง ฉับพลันนั้นก็พลิกฝ่ามือ เปลวเพลิงสีเทาดำปรากฏขึ้น เอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “เพลิงนี้ชื่อว่าไฟหยินหยางย้อนใจ สามารถเชื่อมหยินหยางได้”

เยี่ยเทียนหยวนและต้วนชิงเกอพลันหน้าเปลี่ยนสี

ถังมู่เฉินไม่สนสีหน้าของทั้งสองคนพูดต่อว่า “วันสารทจีนที่สิบห้าเดือนเจ็ด จะเป็นวันที่ไอหยินหนาแน่นที่สุด ข้าสามารถอาศัยเพลิงนี้เข้าไปในแดนผีได้ แต่แค่ในนั้นมีอยู่สองจุดที่ยากลำบาก”

เยี่ยเทียนหยวนค่อยๆ คุกเข่าลง “ขอแค่สหายถังมอบหมาย ต่อให้ตายหมื่นครั้งลั่วหยางก็ไม่ลังเล”

ถังมู่เฉินถอนหายใจออกมา ไม่ได้เอ่ยถึงว่าการเข้าไปในแดนผีครั้งหนึ่ง อายุขัยของเขาจะหายไปร้อยปี นั่นเท่ากับอายุขัยรอบหนึ่งของมนุษย์

“ประการแรก ถึงอย่างไรเสียข้าก็เป็นคนเป็น ไม่อาจอยู่ในแดนผีได้นาน แดนผีมีดวงวิญญาณอยู่หมื่นพัน การจะหาดวงวิญญาณของน้องสาวในระยะเวลาสั้นๆ ได้นั้น ก็เหมือนกับงมเข็มในมหาสมุทร แต่ก็มีอยู่วิธีหนึ่ง” ถังมู่เฉินเหลือบตามองเยี่ยเทียนหยวนแวบหนึ่งขณะเอ่ย

“สหายถังโปรดพูดมาเถิด” แววตาที่ตายด้านของเยี่ยเทียนหยวนพลันเปล่งประกายขึ้นมา

“ต้องให้ผู้ที่เชื่อมโยงจิตใจกับน้องสาวเป็นคนเรียก นั่นก็คือใช้จิตวิญญาณดั้งเดิมของลั่วหยางเจินจวินเป็นตัวชักนำ ข้าจะใช้เคล็ดวิชาลับเผาจิตวิญญาณดั้งเดิมของเจ้า ถือธูปหอมวิญญาณเข้าไปในแดนผี นี่สามารถตามหานางพบได้ในระยะเวลาอันสั้น แต่แค่…” ถังมู่เฉินเอ่ยมาถึงตรงนี้ก็หยุดชะงัก แล้วถึงได้เอ่ยว่า “เคล็ดวิชาลับในการเผาไหม้จิตวิญญาณดั้งเดิมนั้น จะเจ็บปวดจนคนธรรมดาไม่อาจรับไหว และยิ่งไปกว่านั้นหากข้าอยู่ในแดนผีนานเกินไป ลั่วหยางเจินจวินเจ้าก็อาจจะ…กลายเป็นเถ้าธุลี!”

สีหน้าของเยี่ยเทียนหยวนไม่แปรเปลี่ยนใดๆ เอ่ยอย่างราบเรียบ “ลั่วหยางจะบำรุงจิตวิญญาณดั้งเดิมให้ดีก่อนวันสารทจีน”

ถังมู่เฉินขมวดคิ้ว “และยังมีประการที่สอง ต่อให้ข้าหาน้องสาวพบ หากนางกลายเป็นผีบำเพ็ญเพียรแล้วละก็ ดวงวิญญาณจะถูกปราณมรณะกลืนกิน เช่นนั้นนางก็ไม่อาจกลับมาสู่แสงตะวันได้ ลั่วหยางเจินจวิน เช่นนี้ เจ้ายอมพนันหรือไม่”

เยี่ยเทียนหยวนเงยหน้าขึ้น แววตาเปล่งประกาย เอ่ยออกมาทีละคำๆ “ข้ายินยอมพร้อมใจ!”

“เช่นนั้นก็ดี วันสารทจีนที่สิบห้าเดือนเจ็ด ข้าจะไปที่แดนผี ลั่วหยางเจินจวินช่วงนี้เจ้าก็บำรุงจิตวิญญาณดั้งเดิมให้ดี” ถังมู่เฉินยืนขึ้น

ต้วนชิงเกอเอ่ยเตือน “อาจารย์อาลั่วหยาง เหอกวงเจินจวินมีสมุนไพรที่มีฤทธิ์บำรุงจิต ท่านไปขอมาเถิด”

“อืม” เยี่ยเทียนหยวนพยักหน้า “สหายถัง ขอบคุณเจ้ามาก”

ถังมู่เฉินเบะปากฉีกยิ้ม “ขอบคุณอะไร ข้าเองก็ทำเพื่อน้องสาวของข้า”

“ใช่แล้ว ยังมีอีกเรื่องที่ต้องรีบจัดการ งานศพของชิงเฉิน ต้องรายงานอาวุโสหัวหน้าพรรคให้ยกเลิก” ต้วนชิงเกอเอ่ย

ทั้งสามคนเดินออกไปพร้อมกัน

วันสารทจีนมาถึงอย่างรวดเร็ว

——

[1] ตีงูด้วยกระบอง หมายถึง การต่อสู้ระหว่างมนุษย์ ผู้ถูกโจมตีใช้ช่องโหว่ของอีกฝ่าย โจมตีกลับไปอย่างรวดเร็ว ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกยุ่งยากลำบากใจ