ตอนที่ 582 ธูปวิญญาณเสาะหาคนงาม

พันธกานต์ปราณอัคคี

วันที่สิบห้าเดือนเจ็ด วันสารทจีน

ผู้บำเพ็ญเพียรต่างๆ รีบกลับมายังพรรคเพราะคำสั่งรวมตัวระดับปฐพี ทุกคนต่างก็รู้สึกงุนงง และไม่รู้ว่าในพรรคเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่

แต่กลับไม่รู้ว่าวันนี้อาวุโสต่างๆ ของเหยากวงและผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสองคน จะมาถึงยอดเขาลั่วเถาที่ถูกปิดผนึกไว้นานแล้วอย่างเงียบๆ

ยอดเขาลั่วเถายังคงเหมือนวันวาน ดอกไม้ที่ร่วงโรยมีอยู่หลากสีสัน โลงผลึกแก้วที่บรรจุกายเนื้อของมั่วชิงเฉินถูกย้ายออกมายังจุดที่เป็นหยิน

ยามจันทราตระหง่านตรงศีรษะ

“สหายถัง เริ่มได้หรือยัง” หลิวซางเจินจวินเอียงศีรษะขณะเอ่ยถาม

เมื่อเผชิญหน้ากับอาวุโสสูงสุดหัวหน้าพรรคของเหยากวง ถังมู่เฉินก็ไม่ได้แสดงท่าทีขัดเขิน เงยหน้าขึ้นมองสีของจันทรา ยกมุมปากฉีกยิ้ม “ได้แล้ว”

เอ่ยจบก็เดินวนรอบโลงผลึกแก้วรอบหนึ่ง ยามที่ทุกคนกำลังกลัดกลุ้ม ฉับพลันนั้นก็โบกมือ ธงเก้าด้ามบินออกมาจากแขนเสื้อ ร่อนลงมายังจุดที่กำหนดเอาไว้ ล้อมโลงผลึกแก้วเอาไว้

นิ้วทั้งสิบของถังมู่เฉินร่ายรำไม่หยุด อาคมเป็นสายๆ จมหายเข้าไปในธง

สีจันทราเยือกเย็นสุขสบาย ธงทั้งเก้าด้ามลอยโล้โต้ลม กลายเป็นธงสีขาวเก้าด้าม เปล่งเสียง พรึ่บๆ ออกมา

กลิ่นอายเย็นเยียบกลุ่มหนึ่งแผ่ออกมา ทุกคนพลันรู้สึกตกตะลึง

ณ ที่แห่งนั้นนอกจากถังมู่เฉินและต้วนชิงเกอแล้ว คนอื่นๆ ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด แม้จะเคยได้ยินว่าไฟหยินหยางย้อนใจจะเป็นหนึ่งในเพลิงอัศจรรย์ตามธรรมชาติ แต่กลับไม่รู้ว่ามีความสามารถเชื่อมโยงหยินหยางได้ ยามนี้ได้สัมผัสกับปราณหยินด้วยตนเอง ถึงได้ลดความลังเลเปลาะสุดท้ายลง

รอบโลงผลึกแก้ว มีธงสีขาวเก้าด้ามล้อมเอาไว้ กระแสลมลี้ลับไหลวนเป็นสายๆ ปราณหยินซึมไหลเข้ามา

ถังมู่เฉินมองทุกคนแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยกับเยี่ยเทียนหยวน “ลั่วหยางเจินจวิน เชิญเข้ามาในค่ายกล”

เยี่ยเทียนหยวนคุกเข่าข้างหนึ่ง คารวะเจินจวินทุกท่าน แล้วเดินเข้าไปในค่ายกลอย่างเงียบๆ

“อนุชนจะเข้าไปแล้ว” ถังมู่เฉินคารวะเจินจวินสองสามท่าน สุดท้ายก็มองต้วนชิงเกอ

“สหายถังโปรดรักษาตัวด้วย” เห็นเขาไม่เคลื่อนไหว ต้วนชิงเกอก็ทนความขัดเขินไม่ไหว เอ่ยขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบาท่ามกลางสายตาของทุกคน

ถังมู่เฉินเลิกคิ้วรูปงาม ถ่ายทอดเสียงมาว่า “ชิงเกอ ข้าจะรักษาตัวเองเพื่อเจ้า อย่ากังวลมากนัก รอข้ากลับมา”

ต้วนชินเกอขัดเขินเป็นอย่างมาก ครั้นคิดจะโต้แย้งกลับเห็นถังมู่เฉินเดินเข้าไปในค่ายกลแล้ว จึงทำได้เพียงช่างมัน

เยี่ยเทียนหยวนนั่งขัดสมาธิอยู่บนใจกลางค่ายกล ถังมู่เฉินเดินมานั่งสมาธิตรงข้ามเขา สองมือร่ายเคล็ดวิชาไม่หยุด

หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ปลายนิ้วถังมู่เฉินก็มีลำแสงวิญญาณสายหนึ่งปรากฏขึ้น พุ่งไปที่หว่างคิ้วของเยี่ยเทียนหยวนอย่างรวดเร็ว

ร่างของเยี่ยเทียนหยวนสั่นเทา กลับมามั่นคงอย่างรวดเร็ว

ทุกคนมองสถานการณ์ภายในค่ายกลพร้อมกับกลั้นหายใจ รู้สึกเพียงว่าเวลาค่อยๆ จับตัวแข็งค้างอย่างไรอย่างนั้น

หลังจากผ่านไปเนิ่นนาน นิ้วเรียวยาวของถังมู่เฉินก็ยกขึ้นไป ตรงหว่างคิ้วของเยี่ยเทียนหยวน คาดไม่ถึงว่าจะปรากฏทารกปราณตัวน้อยโผล่ออกมาจากเหนือศีรษะ

จากนั้น ทารกปราณตัวน้อยก็ถูกโผล่พ้นออกมาทั้งตัว นั่งสมาธิอยู่เหนือศีรษะของเยี่ยเทียนหยวน ดวงหน้าหมดจดเย็นชา รูปร่างเหมือนเยี่ยเทียนหยวน

หลิวซางเจินจวินมีสีหน้าฉงนสงสัยเล็กน้อย ขบคิดในใจว่าใช้จิตวิญญาณดั้งเดิมเป็นตัวชักนำ จุดธูปหอมดึงดูดวิญญาณในแดนปรโลก เขาผู้ซึ่งเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด คาดไม่ถึงว่าจะไม่เคยได้ยินมาก่อน

ชั่วพริบตาที่เสวียนหั่วเจินจวินเห็นทารกปราณของเยี่ยเทียนหยวนปรากฏกาย พลันหน้าเปลี่ยนสี หยุดชะงักคำพูด

ระดับถัดจากก่อกำเนิด ก็คือระดับถอดดวงจิต

แม้ว่าแดนผู้บำเพ็ญเพียรในยามนี้จะไม่เคยได้ยินข่าวว่ามีผู้บำเพ็ญเพียรถึงขั้นระดับถอดดวงจิต แต่ลักษณะเฉพาะของระดับถอดดวงจิต ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดเหล่านี้ก็พอรู้มาบ้าง

เมื่อถึงระดับถอดดวงจิต จิตวิญญาณดั้งเดิมของผู้บำเพ็ญเพียรจะสามารถถอดร่างออกมาตรวจสอบและทำการโจมตีได้ เรียกว่าถอดดวงจิตวิญญาณดั้งเดิม

แม้ว่าร่างถอดดวงจิตวิญญาณดั้งเดิมจะไม่แข็งแกร่งเท่าร่างเดิม แต่กลับมีพลังจะปกป้องตนเองได้

ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดนั้น ความจริงแล้วก็สามารถถอดจิตวิญญาณดั้งเดิมออกจากกายเนื้อได้ในระยะเวลาสั้นๆ ตัวอย่างเช่นในยามที่ฝึกบำเพ็ญเพียรคู่ หรือยามที่กายเนื้อถูกทำลายจนเหลือเพียงทารกปราณให้หนี แต่จิตวิญญาณดั้งเดิมที่ถอดร่างเช่นนี้จะอ่อนแอมาก ต่อให้ถูกผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณโจมตีทีหนึ่ง ก็ทำให้มันแหลกสลายกลายเป็นฝุ่นควันได้

ดังนั้นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดธรรมดาๆ ที่ไม่สนใจจะปกป้องจิตวิญญาณดั้งเดิมของตนเอง ยอมมอบจิตวิญญาณดั้งเดิมให้คนอื่นเพราะต้องการช่วยคนรักอย่างไม่ลังเลเช่นเยี่ยเทียนหยวน ก็นับว่าพบเห็นได้น้อยมาก

ถังมู่เฉินยังสำแดงอิทธิฤทธิ์ต่อ ปลายนิ้วมีลำแสงวิญญาณปรากฏขึ้นรางๆ ฉับพลันนั้นก็อ้อมทารกปราณขึ้นไปเหนือศีรษะ จากนั้นก็ดีดเปลวเพลิงสีเทาดำออกมา

เปลงเพลิงสีเทาดำแผดเผาอยู่เหนือศีรษะทารกน้อย กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์โชยมา

กลิ่นนี้ มีเพียงถังมู่เฉินเท่านั้นที่ได้กลิ่น

ทุกคนจะเห็นเพียงว่าทารกปราณของเยี่ยเทียนหยวนถูกทำเหมือนเป็นเทียนไข ร่างของเยี่ยเทียนหยวนสั่นเทาไม่หยุด ใบหน้ากลับเยือกเย็น แต่ทารกเหนือศีรษะกลับมีสีหน้าเจ็บปวดจนน้ำตาไหลพราก

ผู้บำเพ็ญเพียรสองสามคนพลันถอนหายใจออกมาเบาๆ

จิตวิญญาณดั้งเดิมถูกแผดเผาทั้งเป็น ความรู้สึกนี้เจ็บปวดเสียยิ่งกว่าโดนแส้เทวะเฆี่ยนเสียอีก

ต้วนชิงเกอทนไม่ไหวจนต้องละสายตาไป

ถังมู่เฉินกางมือทั้งสองออก ได้ยินเสียง ฟู่ๆ บนยอดธงสีขาวเก้าด้ามปรากฏเทียนไขสีขาวที่กำลังลุกไหม้เพิ่มขึ้นมา

“เหล่าเจินจวิน ได้โปรดช่วยคุ้มครองแทนอนุชน ในเทียนไขสีขาวเก้าเล่มจะต้องมีอย่างน้อยสามเล่มไม่มอดดับ” ถังมู่เฉินเอ่ยเสียงสูง จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียง “หากจิตวิญญาณดั้งเดิมของลั่วหยางเจินจวินเผาไหม้จนจะมอดดับแล้วอนุชนยังไม่กลับมา โปรดท่านเป่าเทียนเล่มที่ห้าเสีย เช่นนี้อย่างน้อยก็สามารถรักษาดวงวิญญาณของลั่วหยางเจินจวินได้ เหลือโอกาสให้กลับชาติมาเกิด”

นั่นก็หมายความว่าหากจิตวิญญาณดั้งเดิมของเยี่ยเทียนหยวนมอดไหม้จนใกล้จะดับ ชีวิตของเขาก็จะรักษาเอาไว้ไม่ได้ แต่ก็ยังมีโอกาสกลับชาติมาเกิด

ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดสองสามท่านพยักหน้าอย่างเข้าใจ

ถังมู่เฉินไม่พูดให้มากความอีก สองมือโบกสะบัดอย่างต่อเนื่อง เปลวเพลิงสีเทาดำห่อหุ้มเอาไว้ ร่างกายค่อยๆ เลือนรางลง

หลังจากผ่านไปชั่วครู่ เงาร่างของถังมู่เฉินก็สลายหายไปต่อหน้าทุกคน

ในท่ามกลางธงอาคมทั้งเก้า จึงเหลือเพียงเยี่ยเทียนหยวนที่นั่งอยู่ตรงกลาง

ถังมู่เฉินถือธูปหอมเอาไว้ เดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ เปลวเพลิงสีเทาดำใต้ฝ่าเท้า เป็นเครื่องปูเส้นทางไปสู่ยมโลกของเขา

มองประตูลำแสงที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า ถังมู่เฉินสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง ซ่อนธูปหอมเอาไว้ในแขนเสื้ออย่างรวดเร็ว และก้าวเข้าไป

เขาเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ ในแดนมนุษย์ก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูง แต่หลังจากที่ใช้ร่างคนเป็นเข้ามาในแดนผี กลับมีพลังยุทธ์แค่ระดับผีเท่านั้น

ดวงวิญญาณมากมายในแดนผี ไม่ต้องพูดถึงคนธรรมดา แม้จะเกิดอุบัติเหตุเพียงเล็กน้อยก็ไม่มีทางฟื้นคืนชีพได้

ในความอันตรายนั้น เขามิได้บอกกับผู้ใด

“น้องสาว เจ้าลำบากเพราะข้ามาตั้งมากมาย ก็สมควรให้ข้าลำบากเพราะเจ้าสักครั้งแล้ว” ถังมู่เฉินเอ่ยพึมพำ สาวเท้ายาวๆ เดินเข้าไปในฝูงผี

อีกด้าน มั่วชิงเฉินออกมาจากน้ำเต้า ก็มีพลังยุทธ์อยู่ในระดับอาจารย์ผี

ในแดนผีมีสิบราชันผีผู้ยิ่งใหญ่ เทียบเท่ากับผู้บำเพ็ญเพียรระดับถอดดวงจิต เมืองผีทั้งสิบแบ่งออกให้ราชันผีทั้งสิบดูแล แต่ช่วงเวลาที่ผ่านมาก็ทำให้มั่วชิงเฉินเข้าใจแล้วว่า สิบราชันผีก็เหมือนกับอาวุโสเหอเซียวหยางและเจ้าปีศาจในแดนมนุษย์ เป็นมังกรเทวะที่เห็นเศียรไม่เห็นหาง ผู้ปกครองที่แท้จริงนั้นยังคงเป็นอาจารย์ผีของแต่ละเมือง

เช่นนั้น จากพลังยุทธ์ระดับอาจารย์ผีของนางจะรอนแรมไปทางไหนก็ไม่ลำบากแล้ว

มั่วชิงเฉินไม่ได้เถลไถลขนาดนั้น ระหว่างที่เดินกลับไม่พบผีน้อยไม่ดูตาม้าตาเรืออะไรทำนองนั้นอีก จึงใช้ฐานะของอาจารย์ผีสอบถามถึงวิธีตามหาผี

ดวงวิญญาณในแดนผีนอกจากจะฝึกฝนถึงระดับขุนพลผีหรือมีเหตุผลพิเศษ ที่เหลือก็ต้องเข้าไปสู่วัฏสงสารตามกาลเวลา

แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น แต่พอนานวันเข้าผีที่อยู่ในแดนผีก็จะมีจำนวนมหาศาล

นอกจากผีที่เข้าร่วมสิบมหาเมืองผี ข้อมูลฐานะของผีอื่นๆ ก็ต้องบันทึกลงในสมุดบัญชีประชากรของเมืองควบคุมประชากรที่ผู้ดูแลเมือง

ดวงวิญญาณของท่านปู่นั้นไม่สมบูรณ์ ดวงวิญญาณที่ไม่สมบูรณ์ซึ่งเข้ามาในแดนผีเมื่อร้อยกว่าปีก่อนไม่อาจเข้าสู่วัฏสงสารได้ ในสมุดบัญชีประชากรน่าจะมีบันทึกเอาไว้

ขอแค่ค้นหาสักหน่อย ก็น่าจะรู้ว่าท่านปู่อยู่ที่ใดแล้ว

มั่วชิงเฉินกดความรู้สึกไม่สบายใจเอาไว้ แล้วสาวเท้ายาวๆ เข้าไปในเมืองควบคุมประชากร

จวนเจ้าเมืองไม่ได้หายากนัก มั่วชิงเฉินมองผีน้อยที่สัปหงกอยู่ที่ประตูใหญ่ ยื่นมือออกไปดีดสายลมออกมาสายหนึ่ง

“ผู้ใดทำร้ายข้าวะ…” พอผีน้อยเฝ้าประตูเห็นมั่วชิงเฉินยืนอยู่ตรงหน้า ท่าทีก็เปลี่ยนไป “คา…คารวะใต้เท้าอาจารย์ผี”

มั่วชิงเฉินยกมือ “ไม่ต้องมากพิธี ข้าอยากมาเยี่ยมท่านเจ้าเมือง”

“ข้าน้อยจะไปรายงานขอรับ” ผีน้อยแม้กระทั่งไม่ได้ถามว่ามั่วชิงเฉินมาทำอะไร ก็วิ่งห้อออกไป

ล้อเล่นแล้ว จะมาหาเจ้าเมืองทำอะไร ก็ให้ใต้เท้าอาจารย์ผีทั้งสองท่านปรึกษากันเองเถิด

มั่วชิงเฉินเม้มปาก ดูแล้วไม่ว่าจะอย่างไร พละกำลังถึงจะเป็นเหตุผลที่แข็งแกร่งพอ

มีแม่ทัพผีตนหนึ่งออกมาอย่างรวดเร็ว เชิญมั่วชิงเฉินเข้าไปอย่างนอบน้อม

บุรุษสวมชุดสีฟ้าผู้หนึ่งยืนต้อนรับอยู่ที่หน้าประตูห้องโถง

ยังไม่ทันเดินมาประชิด ก็ได้ยินเสียงหัวเราะสดใส “มิน่าเล่าเช้าวันนี้ ข้าถึงได้ยินนกกระจอกร้องด้วยความยินดี ที่แท้ก็มีแขกผู้สูงศักดิ์มาเยือน แม่นาง เชิญเข้ามาด้านในเถิด”

มั่วชิงเฉินรู้สึกประหลาดใจ ตั้งแต่ได้พบอาจารย์ผีหน้าเขียวผู้นั้น นางมักจะคิดว่าอาจารย์ผีที่อยู่ในแดนผีมาหลายหมื่นปีคงต้องมืดมนอมทุกข์อยู่บ้าง แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าท่านเจ้าเมืองผู้นี้จะหัวเราะอย่างเริงร่าใบหน้าราวกับดวงตะวัน

เมื่อขบคิดอีกทีเมืองควบคุมประชากรนั้นเป็นเมืองศูนย์กลาง ท่านเจ้าเมืองผู้ได้รับเลือกจากสิบมหาเมืองผี จะมีคุณสมบัติอันดีนั้นย่อมสมเหตุสมผล

“ข้าแซ่เฮ่อ นามพยางค์เดียวว่าอี้ ไม่ทราบว่าแม่นางมีชื่อเสียงเรียงนามว่าอย่างไร” เพิ่งจะนั่งลง บุรุษชุดคลุมสีฟ้าก็แนะนำตัวด้วยรอยยิ้ม

มั่วชิงเฉินหัวเราะน้อยๆ “ข้าน้อยแซ่มั่ว”

“แม่นางมั่วมาหาข้า มีธุระอะไรหรือ” เฮ่ออี้เอ่ยถามพร้อมแย้มยิ้ม

เมื่อพลังยุทธ์มาอยู่ในขั้นนี้ ปัญหาก็ไม่ใช่ปัญหาอีก มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “ข้าน้อยอยากดูสมุดควบคุมประชากรสักหน่อย ไม่ทราบว่าท่านเจ้าเมืองเฮ่อสะดวกหรือไม่”

“สมุดควบคุมประชากรหรือ” เฮ่ออี้เลิกคิ้ว มองมั่วชิงเฉินยิ้มๆ

“ข้าน้อยอยากตามหาคนผู้หนึ่ง” มั่วชิงเฉินเอ่ย

“อ้อ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น แม่นางก็ตามข้ามาเถิด” เฮ่ออี้พลันหยัดกายลุกขึ้น และนำทางไป

เมื่อพลังยุทธ์มาถึงระดับเท่าพวกเขา เรื่องราวก็ง่ายดายเช่นนี้

ที่อยู่ในสมุดควบคุมประชากรล้วนเป็นผีเร่ร่อน อาจารย์ผีตนหนึ่งอยากดูสักหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

อีกอย่างสถานการณ์เช่นนี้ก็พบได้บ่อยนัก ผีบำเพ็ญเพียรบางตนก็อยากตรวจสอบสมุดบัญชีตามหาญาติสนิทหรืออนุชนที่เพิ่งเข้ามาในแดนผี แน่นอนว่าเมื่อพลังยุทธ์ไม่เหมือนกัน วิธีดูสมุดบัญชีก็ไม่เหมือนกัน

ในสถานการณ์ส่วนใหญ่ จะมีผู้มาติดสินบนกับขุนพลผีที่ดูแลสมุดบัญชี เขาก็แค่ลืมตาข้างหนึ่งหลับตาข้างหนึ่งเท่านั้น

หลังจากพามั่วชิงเฉินเข้ามาในวิหารหลัก เฮ่ออี้ออกคำสั่งกับขุนพลผีที่ก้มลงคารวะ “ไปเอาสมุดบัญชีประชากรมา”

ผีน้อยเอาสมุดบัญชีมาอย่างคล่องแคล่ว แล้วเอ่ยอย่างต้องการได้รับความดีความชอบ “ใต้เท้าท่านเจ้าเมือง เดือนที่แล้วเพิ่งจะจัดระเบียบบัญชีไป มีข้อมูลครบถ้วนขอรับ”

เฮ่ออี้พยักหน้าเล็กน้อย รับสมุดบัญชีมาส่งให้มั่วชิงเฉิน “แม่นางมั่วเชิญตามสะดวกเถิด”

“ขอบพระคุณยิ่ง” มั่วชิงเฉินยื่นมือออกมารับ แล้วเปิดดูอย่างรวดเร็ว

ไม่นานก็วางลงแล้วเอ่ยว่า “ท่านเจ้าเมืองเฮ่อ สมุดบัญชีนี้ ดูเหมือนว่าจะบันทึกแค่ผีที่เข้ามาช่วงไม่กี่ปีนี้”

เฮ่ออี้เหลือบตามองแวบหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “สมุดบัญชีเล่มหนึ่งบันทึกไว้หนึ่งร้อยปี ไม่ทราบว่าคนที่แม่นางมั่วอยากตามหา มาที่นี่ในปีใด”

มั่วชิงเฉินครุ่นคิด บอกปีที่มั่วต้าเหนียนเสียไป

เฮ่ออี้ไม่ได้กลั่นแกล้ง ออกคำสั่งผีทหารให้ไปหยิบม้วนบัญชีนั้นออกมา

มั่วชิงเฉินเปิดออกดู แล้วค้นหาอย่างรวดเร็ว ในที่สุดสายตาก็จับจ้องอยู่ที่ตำแหน่งหนึ่ง

“มั่วต้าเหนียน เสียชีวิตใน…”

ที่อยู่ของเขา คาดไม่ถึงว่าจะถูกขีดฆ่าออกไป