ตอนที่ 464 สถานการณ์โดยรวม
หลังจากที่เหล่าทหารได้ฟังมู่จวินฮานและอันหลิงกล่าวเยี่ยงนั้นก็พากันพยักหน้ารับ เพราะเรื่องในครานี้ทำให้พวกเขารู้ดีว่าองค์ชายเจ็ดร่วมมือกับอ๋องหนิงแห่งแคว้นชิงเยว่จึงทำให้อ๋องมู่และคุณชายอันจำเป็นต้องทูลรายงานต่อฮ่องเต้
“น้อมส่งอ๋องมู่และคุณชายอัน ! ”
เหล่าทหารพร้อมใจเป็นหนึ่งเดียว !
เมื่อเห็นพวกเขาเชื่อในสถานะของตน อันหลิงเกอก็อดนึกถึงจวนโหวมิได้
มิรู้ว่าเวลานี้พวกเขาจักเป็นเยี่ยงไร
“เจ้ามาแล้ว”
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของอาชา มู่จวินฮานก็รู้ว่าอันหลิงเกอมาถึงแล้ว นางเพิ่งเข้ามาในจวนได้ครู่เดียวก็ถูกเขากระชากผ้ามัดผมออก ส่งผลให้ผมของนางถูกปล่อยสยายลงมา
อันหลิงเกอมองเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“ข้ามิอยากสนทนากับเจ้าในร่างบุรุษ”
เมื่อสิ้นสุดคำพูด นางก็ตกสู่อ้อมกอดของเขาทันที
หลังผ่านความยากลำบากมาด้วยกันก็ดูเหมือนความรู้สึกของทั้งสองคนเกิดการเปลี่ยนแปลงเพราะก่อนหน้านี้ทั้งสองทำตัวห่างเหินหมางเมิน
ตอนนี้อันหลิงเกอรู้สึกว่าเขามีความปรารถนาต่อนางยิ่งนัก แต่เขามิยอมรับมันเท่านั้น
…
การทรยศในครานี้ จ้าวหลานหยู่ต้องก้มหน้ารับกรรมโดยมิอาจหลีกหนี
เมื่ออดีตชาตินางมิได้สนใจเรื่องภายนอกจวนโหวสักเท่าไร ทว่าก็ยังจดจำการกระทำขององค์ชายเจ็ดได้
หลังกลับเมืองจิง มู่จวินฮานก็นำตัวอ๋องหนิงขึ้นถวายแด่ฮ่องเต้กลางท้องพระโรง
“เจ้าบ้าเลือดเยี่ยงนี้ ชนเผ่ามิคิดก่อกบฏอีกแล้วหรือ!”
“ครั้งก่อนช่วงชิงเมืองในต้าโจวของข้า ต่อมาก็แอบโจมตีทหารต้าโจวของข้าและวางกับดักใส่ท่านอ๋องกับคุณชายอันจนตกอยู่ในอันตราย!”
“บัดนี้ต้าโจวได้ทำศึกกับชิงเยว่ กลุ่มชนเผ่าก็มาขัดแข้งขัดขา มิรู้ว่ามีจุดประสงค์อันใด!”
เพียงนำตัวอ๋องหนิงโยนเข้าไปกลางท้องพระโรงก็เกิดความปั่นป่วนเยี่ยงนี้ จ้าวหลานหยู่ยืนนิ่งเงียบมิกล่าวสิ่งใดอยู่ด้านข้าง มู่จวินฮานจึงอดหัวเราะมิได้
ส่วนอี้หมิงก็ยืนอยู่ในท้องพระโรงและแสดงท่าทางโง่เขลาออกมา
เนื่องจากคนในชนเผ่าเป็นญาติฝ่ายมารดาของอี้หมิง ครานี้คงหนีความผิดมิพ้น
ทว่าทุกคนต่างก็รู้ว่าเขามิได้ถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ ทางฝั่งอี้หวางเฟยก็พยายามเข้าวังหลายครั้งหลายคราเพื่อหวังให้ฮ่องเต้ทรงเมตตา
“ครั้งก่อนข้ามอบชนเผ่าให้องค์ชายเจ็ดปกครอง บัดนี้เขากลับทำผิด ! ”
ในที่สุดฮ่องเต้ก็ตรัสออกมา พระสุรเสียงแฝงไปด้วยความพิโรธที่มิอาจปิดบังได้
“ลูกสำนึกผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ ! ”
จ้าวหลานหยู่คุกเข่าลง ทว่านัยน์ตากลับเคียดแค้นมู่จวินฮานเสียเต็มประดา
“ครานี้หากมิใช่อ๋องมู่ออกหน้าสู้รบก็เกรงว่าจักเกิดหายนะครั้งใหญ่ ต่อไปชนเผ่าทั้งสองของต้าโจวก็มอบอำนาจจัดการแด่อ๋องมู่ ส่วนองค์ชายเจ็ดได้รับแต่งตั้งเป็น*เจียงอ๋อง วันข้างหน้าก็ไปดูแลอาณาเขตชายแดนที่ติดกับแคว้นชิงเยว่”
“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ”
ทันทีที่ฮ่องเต้ตรัสจบก็เกิดความโกลาหลขึ้นในท้องพระโรง
ผู้ใดจักคาดคิดว่าองค์ชายที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานที่สุดคือองค์ชายเจ็ด ทว่าตอนนี้พระองค์มอบชนเผ่ายิ่งใหญ่ให้มู่จวินฮานดูแล ดูท่าแล้วตำแหน่งรัชทายาทจักยิ่งห่างไกลจากองค์ชายเจ็ดจ้าวหลานหยู่
แม้องค์ชายเจ็ดได้รับการแต่งตั้งเป็นท่านอ๋องในนาม แต่ไหนเลยจักมีที่ดินศักดินา
การที่ฮ่องเต้ให้เขาไปดูแลอาณาเขตชายแดนติดแคว้นชิงเยว่นั้น แท้จริงเป็นการให้เขาได้วางในอำนาจในมือลง
“ทูลฝ่าบาท ความลำบากในครานี้หากมิใช่เพราะการช่วยเหลือของอันหลิงหยู กระหม่อมคงมิสามารถรอดพ้นจากหายนะได้อย่างง่ายดายพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อได้ยินว่ามู่จวินฮานนึกปฏิเสธ ฮ่องเต้จึงแสดงท่าทีมิพอพระทัยออกมา
“เจ้ามีสัมพันธ์อันดีกับจวนโหวจึงสมควรรับภาระหน้าที่ในครานี้ เดิมทีอ๋องมู่และจวนโหวมีการหมายหมั้นกัน สงครามในครานี้จึงทำให้สนิทกันยิ่งขึ้นและวันข้างหน้าจวนโหวจักพลอยได้รับผลดีตามไปด้วย ! ”
ดูท่าแล้วฮ่องเต้จักวางพระทัยมอบอำนาจให้มู่จวินฮาน เหล่าขุนนางในท้องพระโรงต่างมองหน้ากันแต่ก็เข้าใจสถานการณ์ในเวลานี้ดี
มีเพียงจ้าวหลานหยู่ที่ได้มิคุ้มเสีย
“รนหาที่ตาย ! ”
หลังกลับถึงจวนอ๋องอี้ อี้หมิงก็กวาดถ้วยชาล้มระเนระนาดสร้างความหวาดกลัวให้อันหลิงอีมิน้อย นางทำได้เพียงเก็บของอย่างระมัดระวังอยู่ด้านข้าง
“เหตุใดซื่อจื่อต้องมีโทสะด้วยเจ้าคะ ? ”
จากนั้นอันหลิงอีก็เข้าไปปรนนิบัติรับใช้อย่างระมัดระวัง แต่ก็ยังหลบเลี่ยงความโกรธมิได้ นางมิรู้ว่าเหตุใดอี้หมิงที่โง่เขลาจึงโกรธและทำให้นางรู้สึกกลัวมิน้อย
“เหตุใดหรือ ? หึ น้องชายผู้แสนดีของเจ้าเป็นผู้มีพรสวรรค์ ! แล้วไหนจะลูกพี่ลูกน้องของเจ้าผู้นั้นอีก ! ” อี้หวางเฟยเดินเข้ามาด้วยความโกรธเคือง
ครานี้หากมิใช่เพราะองค์ชายเจ็ดกำจัดมู่จวินฮานมิสำเร็จแล้วจักดึงอ๋องหนิงเข้ามาเกี่ยวข้องได้อย่างไร หากมิใช่เพราะองค์ชายเจ็ดไปถือยาพิษของอ๋องหนิงไว้กับตัว เรื่องนี้ก็คงจบโดยมิเกี่ยวข้องกับอ๋องหนิงไปแล้ว
บัดนี้มิเพียงชนเผ่าถูกทำลายเท่านั้น ตำหนักอ๋องอี้ก็โดนลงโทษเช่นกัน ดูท่าแล้วการที่ยอมเชื่อใจอันหลิงอีกับลูกพี่ลูกน้องผู้แสนโง่เขลาจักถือเป็นการคิดผิด !
“ข่าวนี้อีเอ๋อได้ยินแล้ว เพียงแต่ถ้ามิใช่อันหลิงหยูแกว่งเท้าหาเสี้ยนก็เกรงว่ามู่จวินฮานก็คง…”
“ถ้ามิใช่หรือ ? เกรงว่าหรือ ? คำโกหกที่เจ้าเอ่ยออกมายังสามารถตบตาผู้ใดได้!”
อี้หวางเฟยยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ หากครั้งนั้นให้บุตรชายสมรสกับอันหลิงเกอเพื่อผลประโยชน์ วันนี้คงได้พึ่งใบบุญของอันหลิงหยู มิใช่พึ่งองค์ชายเจ็ดผู้แสนโง่เขลา!
เมื่อเห็นอันหลิงอีแล้ว อี้หมิงก็ยิ่งบันดาลโทสะ
แม้ว่าเขาโง่เขลา แต่ยามโดนรังแกกลับมาแล้ว การระบายอารมณ์ก็เป็นเรื่องปกติ
“ซื่อจื่อ ซื่อจื่อจักไปที่ใด…”
เมื่อเห็นอี้หมิงสะบัดแขนเสื้อจากไป อันหลิงอีก็รู้สึกมิพอใจและครุ่นคิดว่าอันหลิงหยูผู้นั้นไร้ความสามารถมิใช่หรือ ? เหตุใดจึงพลิกอาชาจู่โจมสังหารได้ในครานี้ หรือเขาร่วมมือกับอันหลิงเกอ ? หากเป็นเยี่ยงนั้นก็น่าโมโหเสียจริง!
บางคนเป็นกังวล บางคนก็ยินดี ในเวลาเดียวกันจวนอ๋องมู่ก็กำลังเตรียมงานฉลองครั้งใหญ่ขึ้นในอีกสองวันข้างหน้า
“ส่งคนไปรับพระชายาที่จวน ข้าจักไปรอนางที่โรงน้ำชา”
ท่ามกลางงานรื่นเริงที่คนทั่วไปพากันอิจฉาตาร้อน มู่จวินฮานอยากมีความสุขไปพร้อมอันหลิงเกอ
ส่วนอันหลิงเกอคิดว่ามีเรื่องสำคัญ คาดมิถึงว่ามู่จวินฮานแค่เรียกนางออกมาดื่มสุราพลางชมละครเยี่ยงนี้
“ฮ่องเต้ทรงประทานชนเผ่าให้ข้าแล้ว” มู่จวินฮานทำตัวราวกับเด็กน้อยที่อวดความสำเร็จต่อนาง
ที่จริงมู่จวินฮานใส่ใจมิใช่เรื่องนี้ แค่รู้สึกว่ายิ่งได้รับอำนาจมากเท่าใดก็ยิ่งปกป้องนางได้มากขึ้นเท่านั้น
เวลานี้อันหลิงเกอมองเขาพร้อมสัมผัสได้ว่าเขาแตกต่างจากขุนนางในวังหลวง แม้กระทั่งเหล่าท่านอ๋องมากทีเดียว
มู่จวินฮานมิค่อยแสดงออกว่าดีใจหรือเสียใจแต่ก็มิใช่คนที่ใส่หน้ากากเข้าหากัน เขาเองก็อยากมีช่วงเวลาที่แสดงความยินดีและเสียใจมิต่างจากคนทั่วไป
แต่จ้าวหลานหยู่แตกต่าง ความมืดครึ้มในจิตใจของเขาทำให้มิรู้สึกยินดีเหมือนปกติและยิ่งมิเข้าใจคำที่ว่าความยินดีของผู้อื่นก็คือความยินดีของตน
“ยินดีกับท่านอ๋องด้วยเจ้าค่ะ” อันหลิงเกอยกจอกสุราแต่มู่จวินฮานมิร่วมดื่มกับนาง
“ข้าคิดมาโดยตลอดว่าระหว่างสามีภรรยารักกันได้ เคารพซึ่งกันและกันได้ ทว่าต้องมีขอบเขต” อันหลิงเกอมิเข้าใจความหมายของเขาจึงวางจอกสุราลง
“เกอเอ๋อ” มู่จวินฮานเปล่งเสียงเรียกชื่อนางอย่างแผ่วเบา
“ยินดีด้วยเจ้าค่ะท่านอ๋อง” อันหลิงเกอเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“เราคุยกันหลายครั้งแล้วว่าเจ้าควรเรียกข้าว่าเยี่ยงไร”
เขารู้ว่าแม้สีหน้าของอันหลิงเกอสดใส ทว่าในใจยังเขินอายมิน้อย
“ท่านอ๋อง ที่นี่คือนอกจวนจึงต้องมีพิธีรีตองเจ้าค่ะ” อันหลิงเกอก้มหน้าลง
“ช่างเถิด”
ท่าทีผิดหวังที่แสดงออกมาชัดเจนของมู่จวินฮานทำให้อันหลิงเกอกังวลใจ จากนั้นก็รีบเอ่ยโดยมิรู้ตัว
“จวินฮาน”
ทันทีที่สิ้นสุดสองคำนี้ รอยยิ้มของมู่จวินฮานก็ปรากฎขึ้นบนใบหน้าทันใด
…
* เจียงอ๋อง คือ อ๋องที่ปกครองอาณาเขตชายแดน