ตอนที่ 463 สถานการณ์ขอความช่วยเหลือ
“เอาล่ะ มิเป็นไรแล้ว” น้ำเสียงอ่อนโยนของมู่จวินฮานเสมือนนำพาความกล้าหาญมาให้นาง หัวใจของนางสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นในชั่วพริบตา
อันหลิงเกอเงยหน้ามองบุรุษที่เป็นสามี เวลานี้เพิ่งพบว่ามีบาดแผลเล็กใหญ่ปรากฏอยู่ตามร่างกายของเขา เสื้อผ้าเปียกชุ่มไปด้วยโลหิตและดูซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัด
“บาดแผลของท่าน…”
“มิเป็นไรหรอก”
มิรู้ว่าเพราะเหตุใดอันหลิงเกอจึงรู้สึกเหมือนเขากำลังทำให้นางสบายใจและไร้กังวล
“บัดนี้กองทัพของอ๋องหนิงกำลังค้นหาเรา และการซ่อนตัวในถ้ำเยี่ยงนี้ก็มิอาจรู้ว่าสามารถยื้อได้นานแค่ไหน…”
ในขณะที่มู่จวินฮานเอ่ยออกมา อันหลิงเกอก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา การกลับชาติมาเกิดใหม่นั้นมิง่ายเลย แต่นางกลับทำให้ตนเองตกอยู่ในอันตรายโดยมิคาดคิด
แต่เมื่อเห็นมู่จวินฮานที่แสนดีอยู่ตรงหน้า นางจึงเก็บความเสียใจเหล่านั้นไว้
เพื่อมู่จวินฮานแล้ว นางเต็มใจ
“ตอนนี้ฟ้ามืดแล้วเราพักกันที่นี่ก่อน พรุ่งนี้อาทิตย์พ้นขอบฟ้าค่อยว่ากันอีกที”
เนื่องจากมู่จวินฮานมักออกไปสู้รบจึงคุ้นชินกับเรื่องราวเยี่ยงนี้ เพียงแต่เขตป่าภูเขาอยู่ในชนเผ่า แม้เขาบอกว่ามิคุ้นชินกับลักษณภูมิประเทศจนอาจนำพาความยุ่งยากมาสู่ตน ทว่าแค่ปกป้องชายาได้ก็พอแล้ว
อันหลิงเกอมิได้กล่าวสิ่งใดอีกนอกจากเอนกายพิงไหล่ของเขา ทันใดนั้นนางก็รู้สึกเหมือนสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและไว้ใจที่หายไปนานซึ่งความรู้สึกนี้ราวกับที่ตนมีต่อมารดา
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น อันหลิงเกอก็ตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดแสนอบอุ่นของมู่จวินฮานและพบว่าเขาลืมตามองมาที่นางนานแล้ว พอเห็นเยี่ยงนั้นนางก็อดหน้าแดงมิได้
“มิเป็นไร ข้าเคยชินกับการตื่นเช้าแล้ว”
หลังจากนั้นมู่จวินฮานก็ให้นางเอนพิงก้อนหิน ส่วนเขาก็ลุกเดินไปนอกถ้ำ
ตอนนี้บาดแผลตามร่างกายของทั้งสองคนดีขึ้นมาก หลังได้พักไปหนึ่งราตรีอาการปวดเมื่อยก็ได้รับการบรรเทาลงมากด้วย
อันหลิงเกอจึงเดินตามเขาไปในป่า หลังสวมใส่เสื้อผ้าที่แห้งเพราะได้ผึ่งไอร้อนจากกองไฟไว้ทั้งคืนจึงทำให้มิได้รู้สึกเปียกชื้นอีก
“ระวัง”
มู่จวินฮานเอ่ยพร้อมคว้าตัวนางเอาไว้ จากนั้นก็เดินเข้าไปในป่าทีละก้าว ทันใดนั้นอันหลิงเกอก็รู้สึกว่าเวลาอยู่ต่อหน้าเขา นางเป็นเพียงชายาผู้อ่อนแอเท่านั้น
และเขาจักคอยปกป้องนางเสมอเพราะคือสามีของนาง
“ที่นี่มีร่องรอยการล่าสัตว์หลงเหลือ บางทีอาจมีชาวบ้านอาศัยอยู่บริเวณนี้ก็ได้”
มู่จวินฮานมองไปยังร่องรอยที่หลงเหลือบนพื้นดินอย่างมีความหวังอยู่ในใจ
แม้ที่นี่เป็นชายแดนของชนเผ่าและแคว้นชิงเยว่ แต่ชาวบ้านโดยทั่วไปก็ห่างไกลจากเมืองหลวง คงมิสร้างความลำบากใจให้พวกตน
และก็เป็นเยี่ยงนั้นจริง หลังเดินไปได้มินานอันหลิงเกอก็เห็นหมู่บ้านที่มีอยู่มิกี่ครัวเรือนข้างหน้า
“แม่นาง คุณชาย เหตุใดจึงบาดเจ็บเยี่ยงนี้ ? ”
หญิงชราในหมู่บ้านเห็นท่าทางของทั้งสองคนก็คิดว่าคงเป็นคนในตระกูลขุนนางสูงศักดิ์ตกมาในน้ำ นางจึงรู้สึกเห็นใจมิน้อย
“มา เข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถิด แม้เสื้อผ้าของเราขาดไปบ้างแต่ยังสะอาดอยู่หลายตัว”
น้ำเสียงเรียบง่ายของนางเมื่อได้ฟังก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจ
“ขอบคุณเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอกล่าวขอบคุณ ส่วนมู่จวินฮานก็เก็บสีหน้าเย็นชาดุจน้ำแข็งไว้ จากนั้นก็กล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มกับหญิงชรา
ตอนกลางวัน ชาวบ้านหลายครัวเรือนในหมู่บ้านก็ออกมาต้อนรับพวกเขา บ้างถือผลไม้ บ้างถือเหยื่อที่ล่ามาได้แล้วมอบให้ด้วยความกระตือรือร้น ทำให้อันหลิงเกอรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก
“ผู้อาวุโส ท่านรู้หรือไม่ว่าจักออกจากเส้นทางนี้ได้อย่างไร ? ”
อันหลิงเกอรู้ว่าตอนนี้จ้าวหลานหยู่สร้างพันธมิตรกับชนเผ่ารวมทั้งอ๋องหนิงแล้ว การต่อกรกับมู่จวินฮานในครานี้คงหมายเอาชีวิตให้ได้ จุดมุ่งหมายชัดเจนเยี่ยงนี้ หากพวกตนมิรีบกลับไปก็มิรู้ว่าจักเกิดเรื่องใดขึ้นบ้าง
“ที่นี่พวกเราออกไปตลาดแค่เดือนละครั้ง มีม้าแค่ 2 ตัวนี้ หากพวกเจ้ามิถือสาแล้ววันพรุ่งนี้ข้ากับหลานชายจักขี่ม้าไปกับพวกเจ้าแล้วพาออกไป” เมื่อได้ยินดังนั้นอันหลิงเกอก็ดีใจขึ้นมาทันใด
นางหันไปมองมู่จวินฮานราวกับอ้อนวอนขอความยินยอมจากเขา เมื่อเห็นท่าทีออดอ้อนของนาง เขาจึงพยักหน้าแล้วรีบกล่าวขอบคุณหญิงชรา
เช้าวันรุ่งขึ้น พวกเขาตามชาวบ้านสองคนออกจากภูเขา ที่แท้ในส่วนลึกสุดของหมู่บ้านก็ยังมีถ้ำอีกหนึ่งถ้ำ ต้องพายเรือข้ามไปถึงได้เจอกับครอบครัวหนึ่งตรงปากทางออกหมู่บ้าน ที่นี่จักมีผู้รับผิดชอบออกไปตลาดทุกครั้ง
อันหลิงเกอนึกมิถึงว่าจักมีสถานที่เช่นนี้อยู่จริง ทั้งยังมีกฎเกณฑ์ที่ละเอียดรอบคอบเยี่ยงนี้ราวกับเป็นเมืองสวรรค์ หากนางได้อยู่ที่นี่คงมีความสุขมิน้อย
หลังจากนั้นอันหลิงเกอก็ฉุกคิดได้ว่าตอนนี้ทหารในค่ายคงกำลังตามหาพวกนาง แต่อันหลิงเกอมิมีสถานที่ใดเหมาะสมให้ได้ปลอมตัวอีก เพราะการไปเจอหลี่ซู่และเหล่าทหารในสภาพเยี่ยงนี้เกรงว่าจักทำให้พวกเขาเสียใจมิน้อย
กว่าจักปลอมตัวเป็นคุณชายอันจนกลายเป็นเสาหลักที่น่าเชื่อถือของพวกเขามิใช่เรื่องง่าย อันหลิงเกอมิสามารถบอกความจริงในเวลานี้ได้
“ผู้อาวุโส พี่ชาย ส่งพวกเราเข้าเมืองในละแวกนี้ก็ได้เจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอเอ่ยขึ้นมา มู่จวินฮานก็รับรู้ได้ทันทีว่าเพราะเหตุใด
เพราะตอนนี้เหล่าทหารศรัทธาในตัวของอันหลิงหยูมาก หากอันหลิงเกอกลับไปในฐานะจริงก็เกรงว่าทำให้พวกเขาอลหม่านอีกครั้ง
หลังจากเข้าเมืองแล้วทั้งสองคนก็กล่าวอำลาชาวบ้านที่มาส่งและหาโรงเตี๊ยมสักแห่งให้อันหลิงเกอได้ปลอมตัว จากนั้นมู่จวินฮานก็ซื้อม้าพร้อมพานางควบออกไปยังทิศทางค่ายทหารทันที
เดิมทีเมืองนี้เป็นของต้าโจวโดยสมบูรณ์ ทว่าภายหลังถูกชนเผ่าช่วงชิงไป ทว่าชาวบ้านต่างก็ยังมีใจเป็นหนึ่งเดียวกับราชวงศ์ต้าโจว
จึงทำให้พวกนางสามารถวางใจได้ตลอดเส้นทาง ครั้นถึงค่ายทหารท้องฟ้าก็มืดแล้ว
อันหลิงเกอเห็นอ๋องหนิงถูกมัดไว้นอกค่ายทหาร ดูท่าแล้วเหล่าทหารยังมิมีผู้ใดสูญสิ้นสติจนพลั้งมือสังหารศัตรู ทำให้นางรู้สึกชื่นชมอยู่มิน้อย
“เจ้า…”
ในขณะเดียวกัน ทหารที่มาส่งข้าวให้อ๋องหนิงก็เห็นทั้งสองคนจึงทำให้ถาดอาหารที่อยู่ในมือร่วงหล่นฉับพลัน
“อ๋องมู่และคุณชายอันกลับมาแล้ว ! ”
น้ำตาของทหารนายนั้นไหลรินแล้ววิ่งกลับเข้าไปในค่ายเพื่อประกาศดังกึกก้อง
เมื่อเห็นอาหารและผลไม้ที่หกเรี่ยราดบนพื้น อันหลิงเกอก็ยิ้มพร้อมส่ายหน้าแล้วเดินไปตรงหน้าอ๋องหนิง
“คิดว่าแค่ท่านผู้เดียวจักเอาชีวิตของเราสองคนได้หรือ”
เมื่อเห็นอันหลิงเกอกลับมา อ๋องหนิงจึงเงยหน้ามองด้วยแววตาโหดเหี้ยม พวกมันยังมิตาย !
“หึ หากในค่ายทหารรู้ว่าเจ้าคือสตรีจักเป็นเยี่ยงไร ! ”
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วอ๋องหนิงยังกล้าข่มขู่พวกนาง มู่จวินฮานที่ได้ยินก็ขมวดคิ้วมุ่นพลางรุดหน้าเข้าไปแกะเชือกของอีกฝ่าย
ตอนทั้งสองคนตกลงแม่น้ำ คนของอ๋องหนิงที่ยืนอยู่ริมแม่น้ำเห็นอย่างชัดเจนว่าหน้ากากของนางหลุดหายไปกับสายน้ำจนเผยให้เห็นใบหน้างดงามของสตรีขึ้นมาแทน ทำให้ทุกคนที่พบเห็นต่างก็รู้ว่านางเป็นสตรี !
เพราะครานั้นอ๋องหนิงมิอยากเปิดเผยสถานะของนางจึงปล่อยไป ทันใดนั้นก็รู้สึกวิงเวียนศีรษะแล้วร่างทั้งร่างก็ถูกโยนไปบนหลังม้า
“อ๋องหนิงผู้นี้เป็นชาวชิงเยว่ที่เข้ามารุกรานต้าโจว จงคุมตัวกลับวังหลวง ! ” เมื่อกล่าวจบ มู่จวินฮานก็ตบข้างม้าแล้วพุ่งทะยานออกไปทันที
เมื่อเห็นเขาหายตัวไปในความมืด อันหลิงเกอก็ชื่นชมเขาอยู่ในใจมิน้อย นางเข้าใจมู่จวินฮานว่ามิอยากให้นางโดนเปิดเผยสถานะ มิอยากให้เหล่าทหารเสียขวัญกำลังใจในยามนี้
“อ๋องหนิงถูกส่งตัวเข้าวังหลวงแล้ว สงครามในครานี้คงสิ้นสุดลง ข้าเองก็จักตามอ๋องมู่ไปทำการยุติด้วยกัน” อันหลิงเกอเอ่ยอย่างห้าวหาญ