ส่วนที่ 5 ดอกเฟิ่งหวงผลิบาน ตอนที่ 7 อู๋จือฉี (3)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

สีหน้าจิ้งจอกม่วงยิ้มยินดีมีความสุข อึ้งมองไปยังชายในดวงใจที่จากกันไปพันปี พลันกล่าวไม่ออกสักคำ 

 

 

อู๋จือฉีกระแอมไอขึ้นเสียงหนึ่ง ใบหน้าสีทองแดงถึงกับมีสีแดงระเรื่อขึ้นมา กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “โอย โอย ไม่ได้เห็นผู้หญิงนานมากแล้ว เสียมารยาทแล้ว…พี่สาวคนงามเชิญเข้ามาก่อน พี่สาวคนงามเชิญนั่ง พี่สาวคนงามเชิญดื่มน้ำชา” 

 

 

จิ้งจอกม่วงยิ่งมองเขาก็ยิ่งรู้สึกเหมือนคนคนหนึ่ง ราวกับกับสลัดไม่พ้นจากความทรงจำ ทำไมเขาทำไมเหมือนกับโจรราคะหลิ่วอี้ฮวน?! 

 

 

นางอึ้ง เดินเข้าไปนั่งลง มีแต่เตียงที่ปูด้วยฟางหญ้าเก่าๆ ผุพังหลังหนึ่ง ดื่มชา ก็คือน้ำในแก้วกระเบื้องร้าวๆ ที่รองน้ำจากฟางหญ้าหยดลงมา ทุกอย่างดูกันดารเช่นนี้ กันดารจนทำให้ไม่อยากจะเชื่อ นี่เคยเป็นปีศาจยิ่งใหญ่ไม่กลัวลมฝน ถึงกับมาทนทรมานที่นี่นับพันปีคนเดียว จิ้งจอกม่วงกระแอมไอขึ้นเสียงหนึ่ง คิดถึงท่าทางองอาจกล้าหาญในอดีตของเขาแล้ว ขอบตาก็ค่อยๆ แดงก่ำ 

 

 

“น้ำไม่อร่อยหรือ เอ่อ ทำอะไรไม่ได้ ที่นี่ข้าไม่มีอะไรที่ดีกว่านี้…” 

 

 

วาจายังกล่าวไม่จบ อยู่ๆ จิ้งจอกม่วงก็พุ่งเข้าสู่อ้อมกอดเขา กอดเขาไว้แน่น ร้องไห้กระซิกๆ ราวเด็กน้อย ยามนี้ทำเอาอู๋จือฉีมือไม้เก้กังทำอะไรไม่ถูก คิดหาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดน้ำตาให้นาง ปรากฎเขามีแต่เสื้อผ้าขาดๆ ที่สวมอยู่ ได้แต่เก้กังต่อไป ดังนั้นได้แต่ปลอบน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “อย่าร้องไห้ อย่าร้องไห้! ที่นี่ไม่มีอะไรน่าสนุกจริงๆ ข้าอยู่คนเดียวมาพักหนึ่งแล้ว แม้ไม่รู้ว่าเจ้าทำผิดอะไรจึงถูกจับมาขังที่นี่ แต่วันหน้ามีเราสองคน อย่างไรก็ไม่เหงาแล้ว…” 

 

 

จิ้งจอกม่วงร้องไห้ร้องดังขึ้นว่า “วานรบ้า! วานรบ้า! ไม่เจอกันพันปี ทำไมเจ้าจำข้าไม่ได้แล้ว!” 

 

 

อู๋จือฉีพลันอึ้งไป จากนั้นก็กระชากคว้าไหล่นางเต็มแรง ก้มหน้าลงมองนางอย่างละเอียด เริ่มตกใจขึ้นทีละน้อย สุดท้ายตกใจยิ่ง พลางกล่าวอย่างแปลกใจว่า “สวรรค์…เจ้า เจ้าก็คือจิ้งจอก?! ทำไมเจ้ากลายเป็นพี่สาวคนงาม…” 

 

 

จิ้งจอกม่วงร้องไห้ไปกระทืบเท้าไป “ตั้งพันปีนะ! ข้าไม่ได้โง่เง่า แน่นอน ต้องบำเพ็ญกลายร่างเป็นคนได้สิ!” 

 

 

อู๋จือฉีดึงผมตนเองท่าทางเก้กัง หัวเราะเบาๆ กล่าวว่า “เยี่ยม เหมือนจะจริงนะ…ที่แท้เป็นเจ้า…ที่แท้เป็นเจ้าเอง…” เขาปล่อยจิ้งจอกม่วงดีอกดีใจไป หากแววตาประกายวาววับใหลหลงอยู่ๆ พลันหายวับไป มองดูแล้วเหมือนเขามีท่าทางเหม่อลอย ก็คงใช่ ผู้ใดถูกขังในที่เช่นนี้พันปี ไม่บ้าเสียสตินับว่าดีแล้ว เขาเคยเป็นมารปีศาจที่ยิ่งใหญ่ส่องแสงราวดวงตะวัน มาถูกทรมานจนสูญสิ้นแสงที่เคยมีในวันวาน 

 

 

จิ้งจอกม่วงโผเข้าหาเขาอย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น กอดเขาแน่น กล่าวเสียงสะอื้น “ข้าคิดถึงท่านมาตลอด! วันนี้ได้พบท่านแล้ว! นี่ไม่ใช่ความฝันใช่ไหมอู๋จือฉี! ท่านยังสบายดีอยู่!” 

 

 

อู๋จือฉีค่อยๆ ขยับยกมือลูบศีรษะนางเบาๆ เหมือนเมื่อก่อน มีแววตารักใคร่เอ็นดู นางเหมือนสัตว์เลี้ยงน่ารักและเอาแต่ใจที่ตนเองเลี้ยงไว้ ยามโมโหขอเพียงลูบศีรษะนาง ไม่ว่าความโมโหคับแค้นอันใดก็จะจางหายไป 

 

 

กว่าจะรอให้นางร้องไห้จบ ค่อยๆ สงบลง อู๋จือฉีจึงได้ถามว่า “เจ้ามาที่ได้อย่างไร ทำความผิดมหันต์หรือ” 

 

 

จิ้งจอกม่วงส่ายหน้า เล่าเรื่องที่ผ่านมาพันปีของตนเองว่าฝึกบำเพ็ญสำเร็จกลายร่างเป็นคนได้อย่างไร รู้จักพวกเสวียนจีอย่างไร สุดท้ายมาถึงแดนปรภพอย่างไร เล่าคร่าวๆ รอบหนึ่ง สุดท้ายกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ท่านรู้ไหม คนตำหนักหลีเจ๋อพวกนั้นเอาแต่คิดหาทางพยายามช่วยท่านออกไป ดังนั้น…ท่านอย่าใจร้อน อย่างไรต้องมีสักวันที่พวกเขาจะพาท่านออกไป! ยามนี้ข้ามาแล้ว ข้าจะไม่จากไปเด็ดขาด จะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนท่าน” 

 

 

อู๋จือฉีขมวดคิ้ว ถามอย่างแปลกใจว่า “ตำหนักหลีเจ๋อ? ใครกัน? ข้าเกิดเรื่องเกี่ยวอะไรกับพวกเขาต้องมาช่วย?” 

 

 

จิ้งจอกม่วงกล่าวเบาๆ ว่า “ท่านไม่รู้จักเผ่าครุฑจากโพ้นทะเล? มารปีศาจพวกนั้นในตำหนักหลีเจ๋อ” 

 

 

อู๋จือฉีสีหน้าแปรเปลี่ยน น้ำเสียงดุดันกล่าวว่า “ครุฑ?! พวกเขาถึงกับกล้าอ้างชื่อข้า?!” จิ้งจอกม่วงเห็นเขาสีหน้าไม่ถูกต้อง จึงกล่าวอย่างแปลกใจว่า “ทำไม? ทำไมท่านมีปฏิกิริยาเช่นนี้!” อู๋จือฉีน้ำเสียงดุดันกล่าวว่า “เจ้าคนชั่วช้าสามานย์นั่น! ตอนนั้นหากไม่ใช่ว่าเขาไปช่วยสวรรค์ ข้าไหนเลยจะ…” 

 

 

ยังกล่าวไม่ทันจบ เขาก็หยุดปากทันที ดึงจิ้งจอกม่วงขึ้นจากเตียง สั่งเบาๆ “เจ้าอยู่นี่ อย่าส่งเสียง มีคนมา!” 

 

 

จิ้งจอกม่วงพยักหน้าอย่างว่าง่าย พิงแผ่นหลังกว้างของเขา มองเสื้อผ้าด้านหลัง ผมเผ้ามัดยุ่งเหยิงของเขาแล้วก็อดปวดใจไม่ได้ ยกสองมือโอบเขาไว้เบาๆ รู้สึกเพียงแค่เขาไม่ได้ต่อต้าน ในใจก็หวานล้ำ นางพิงเขาอยู่เช่นนี้ ครู่หนึ่งขมขื่น ครู่หนึ่งบ้าคลั่ง ไม่สนใจโลกจะเป็นอย่างไรต่อไป อย่างไรก็หาเขาเจอแล้ว ได้อยู่กับเขา แม้ตายตอนนี้ นางก็ไม่สนแม้แต่น้อย 

 

 

เสียงประตูกระท่อมฟางเปิดออก มีคนผลักจากด้านนอกเบาๆ เป็นนานก่อนจะมีศีรษะหนึ่งโผล่เข้ามามองด้านใน เป็นใบหน้าเล็กขาวผ่อง ผมดำสลวยทิ้งตัวอยู่ด้านหน้า สองตาราวกับผลึกแก้วดำกลอกตามองมาหยุดที่อู๋จือฉี ราวกับสังเกตเงียบๆ 

 

 

อู๋จือฉีคิดไม่ถึงเลยว่าคนที่เข้ามาจะเป็นแม่นางน้อยงดงาม ใบหน้าที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหารเมื่อครู่ พริบตาก็กลายเป็นหน้าตาเจ้าชู้กรุ้มกริ่มราวดอกท้อ ยิ้มเล็กน้อยกวักมือเรียกนาง กล่าวอ่อนโยนว่า “ไม่ต้องกลัว ที่นี่ไม่มีคนเลว เข้ามาสิ” ยังกล่าวไม่ทันจบ รู้สึกเพียงแค่จิ้งจอกม่วงบนหลังเขาจิกเล็บหมับเข้าทีหนึ่งอย่างแรง เขาเจ็บจนแทบกระโดด เห็นจิ้งจอกม่วงเดินอ้อมตัวเขาไปยิ้มกล่าวว่า “เสวียนจี! เจ้าก็มาหรือ! เข้ามาเร็ว นี่ก็คืออู๋จือฉี!” 

 

 

เสวียนจีพยักหน้าอยู่นอกประตู กำลังจะผลักประตูเข้าไป พลันมีพละกำลังหอบใหญ่จู่โจมมา มกรใช้เท้าหนึ่งถีบประตูน่าสงสารนั่น กล่าวน้ำเสียงดุดันว่า “อู๋จือฉี! ในที่สุดข้าก็ได้พบเจ้าแล้ว! แน่จริงก็ออกมาสู้กับข้าสักสามร้อยกระบวน!” ทุกคนต่างตกใจเสียงคำรามดังของเขา อู๋จือฉีมองเขาแปลกใจ สุดท้ายลูบศีรษะ ถามขึ้นประโยคเดียวว่า “เจ้าคือใคร” 

 

 

มกรกระแอมไอสองที อยู่ๆ พลันเก้กัง ใช่แล้ว ตอนนั้นที่อู๋จือฉีก่อเรื่องวุ่นวายเละเทะไปหมดนั้น เขาก็อยากลงไปสู้ด้วยสักครั้ง แต่พวกไป๋ตี้รั้งเขาไว้ ให้ตายก็ไม่ยอม สุดท้ายก็ไม่ได้เจอกัน อู๋จือฉีกลับถูกจับมาลงโทษที่แดนสวรรค์ เขาอยู่กำแพงอีกด้าน เห็นมารปีศาจสูญสิ้นอิสระ ตอนนั้นก็ได้แต่มองตาค้าง 

 

 

แต่ไรมาเขาไม่เคยเห็นมารปีศาจที่ถูกแดนสวรรค์จับได้แล้วยังมีท่าทียิ่งใหญ่เช่นนั้น ดวงตาเขาไม่อาจโกหก นั่นไม่ใช่ดวงตาของคนชั่วกลิ้งกลอก สองตาลุกโชนกล้าหาญ เต็มไปด้วยความหวังและความรักในชีวิต ราวกับทุกสิ่งล้วนน่าสนใจ ล้วนแปลกใหม่ เขาไม่ได้พ่ายแพ้ให้สวรรค์ เขาเพียงแค่เหนื่อยล้า หาที่พักเท่านั้น ไว้รอสั่งสมพลังมารปีศาจให้พอเพียง จะได้ออกสู้รบอีกครั้ง 

 

 

ตอนนั้นมกรมีแต่ความคิดนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็อยากจะสู้กับอู๋จือฉีสักตั้ง เขาจึงจะพอใจ สำหรับมกรแล้ว การต่อสู้ก็คือวิธีการแลกเปลี่ยนที่ดีที่สุด ดียิ่งกว่าวาจา 

 

 

“นี่ก็คือใต้เท้ามกร อู๋จือฉี พวกเรามาด้วยกัน เมื่อครู่บอกเจ้าแล้ว เจ้าลืมหรือ ยังมีท่านนี้ คือเสวียนจี ชาติก่อนนางร้ายกาจมากนะ! เป็น…” จิ้งจอกม่วงรีบแก้สถานการณ์ 

 

 

“ข้ารู้ เป็นแม่ทัพเทพสงคราม! เหอๆ” อยู่ๆ อู๋จือฉีก็หัวเราะขึ้นขัดวาจานาง เสวียนจีเพิ่งเข้ามา เขารู้สึกเพียงแค่คุ้นตา แต่นึกไม่ออกในทันที เพราะแม้เสวียนจีจะมาเกิดใหม่ แต่หน้าตาเปลี่ยนไม่มาก หากอายุยังน้อย หน้าตาและท่าทางก็คงแตกต่างจากเทพสงครามวัยสาวสะพรั่งตอนนั้นอย่างแน่นอน แต่เขารู้ถึงสถานะแท้จริงของนางได้ในทันที เพราะสองตาจ้องมองตนเองราวกับดวงตาผลึกแก้วดำ เมื่อก่อนเขาเคยเห็น เคยเห็นครั้งหนึ่ง ก็ย่อมไม่อาจลืมแววตานี้ชั่วชีวิต 

 

 

ตอนนั้นนางก็มองเขาเช่นนี้ ราวกับงุนงงและไม่ใส่ใจ แต่ก็ดูร้ายกาจมาก ยกติ้งคุนขึ้นสูง เขาคิดว่าวินาทีถัดมาจะฟันร่างตนเป็นสองท่อน แต่สุดท้ายนางค่อยๆ เก็บกระบี่กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เอาละ เจ้าไปได้” กล่าวจบนางก็หันหลังจากไป 

 

 

เขาตะโกนถามนางว่าทำไม ตอนนั้นนางหันกลับมา คิดไปคิดมาอย่างจริงจัง สุดท้ายก็ลังเลกล่าวว่า “เจ้าพูดได้มีเหตุผล แดนสวรรค์ใช่ว่าถูกต้องเสมอไป” 

 

 

เป็นครั้งแรกที่เขาเจอคนเช่นนี้ เหมือนคนที่กายและใจที่สลักออกมาจากผลึกแก้วหลิวหลี หากมองไกลๆ รู้สึกเพียงแค่นางเต็มไปด้วยแสงเย็นเยียบคมปลาบยิ่ง ทำให้คนไม่กล้าเข้าใกล้ แต่พอเข้าใกล้ไปมองอีกนิด ก็จะรู้สึกว่านางดูขัดแย้งกันเอง ทั้งไร้เดียงสาทั้งดูสูงวัย ทั้งบริสุทธิ์ทั้งสับสน ไม่อาจเข้าใจ 

 

 

ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือนางเป็นสาวงาม อู๋จือฉีพลันเริ่มสนใจขึ้นมา ร้องตะโกนขึ้นว่า “คนงาม! ช้าก่อน อย่าเพิ่งไป! เจ้าดู…ในเมื่อเจ้าไม่คิดสังหารข้า ข้าก็ตัดใจลงมือกับเจ้าไม่ได้ เช่นนั้นพวกเราก็เปลี่ยนอาวุธเป็นแท่งหยก เรามาเป็นสหายกันเสียเลย เป็นอย่างไร?” 

 

 

เขามองใบหน้ากระจ่างใสของนางตาปริบๆ กลัวว่าใบหน้างดงามนั่นจะส่ายหน้า หรือไม่อยู่ๆ ก็เปลี่ยนใจคิดสังหารตน นางลังเลครู่หนึ่ง อยู่ๆ ถามคำถามที่เขาเองก็คิดไม่ถึง 

 

 

นางถามว่าสหายคืออะไร กินได้ไหม 

 

 

คำตอบนางทำเอาเขาตะลึงอยู่เป็นนาน ตามมาด้วยเสียงหัวเราะดังลั่น อย่างไรก็หยุดไม่ได้ 

 

 

พวกเขาคนหนึ่งอยู่บนสวรรค์ คนหนึ่งอยู่บนปฐพี จะเป็นสหายกัน เรียกได้ว่าน่าขันสิ้นดี ต่อมาไม่ได้เจอกันนานมาก แต่เขายังคงชื่นชมนางจริงๆ สตรีคนหนึ่งก้าวมาถึงขั้นเทพสงคราม ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย เขาเห็นนางเป็นดังน้องชายเสียแล้ว 

 

 

สุดท้ายแน่นอนว่าไม่ได้เป็น เขาถูกคนสนิททรยศ เทพเซียนชั่วบนสวรรค์กลุ่มนั้นถึงกับใช้อุบายสาวงาม ส่งแม่ทัพเทพสงครามมา เขายอมรับ ตนเองแพ้สาวงาม พ่ายแพ้ในกำมือนาง ปรากฏนางก็ไม่ได้สังหารเขา เพียงบอกเขาว่า “อืม ข้ารู้ว่าสหายคืออะไรแล้ว พวกเราเป็นสหายกันก็ไม่เลว” 

 

 

วาจานี้แทบทำเอาเขากรามหลุดร่วง พริบตาที่จิตใจสับสน เขาก็ถูกเทพเซียนจับตัวได้ ไม่อาจขยับเขยื้อนได้อีก 

 

 

เรื่องราวต่อมาก็คือถูกนำมาสอบสวนความผิด จองจำ ลงโทษ…สุดท้ายเขาถูกจับมาขังแดนปรภพที่ชื้นแฉะบ้าบอนี่ ขังทีเดียวก็พันปี 

 

 

พันปีนี้เขาได้หวนรำลึกถึงความยิ่งใหญ่ที่ตนเองเคยมีหน้ามีตามมาก่อน เกือบจะทำน้ำท่วมสวรรค์ คิดเรื่องพวกนี้มากไปก็คงได้แต่ทำร้ายจิตใจ นอกจากสิ่งเหล่านี้ ที่เขาคิดถึงมากที่สุดก็คือวาจาสุดท้ายของเทพสงคราม นางพูดจริงหรือ หรือว่าเป็นแค่ละครให้เข้ากับอุบายแดนสวรรค์ หลอกเขาโดยแท้ 

 

 

อู๋จือฉีหัวเราะแหะๆ มองเสวียนจีที่เอาแต่จ้องมองตนเอง ดวงตายังคงเหมือนเมื่อพันปีก่อน กระจ่างดุจแก้วผลึกดำ 

 

 

เขากระแอมไอ ท่าทางเป็นการเป็นงานกล่าวว่า “คนงาม พวกเราเป็นสหายกันเป็นอย่างไร”