ส่วนที่ 5 ดอกเฟิ่งหวงผลิบาน ตอนที่ 8 อู๋จือฉี (4)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

เสวียนจีตะลึงไปชั่วครู่หนึ่ง เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ กล่าวเบาๆ ว่า “แปลก วาจานี้เหมือนเมื่อก่อนเจ้าเคยถามข้า รู้สึกคุ้นมาก…พวกเรา อืม เมื่อก่อนเคยรู้จักกันหรือ” 

 

 

อู๋จือฉีหัวเราะแหะๆ ไม่ตอบ จิ้งจอกม่วงด้านหลังหยิกเขาเต็มแรง เจ็บจนสีหน้าเขาแปรเปลี่ยน คิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าตนเองไปล่วงเกินจิ้งจอกน้อยเอาแต่ใจนี่ตอนไหน แปลกมาก เมื่อก่อนจิ้งจอกน้อยยังน่ารักเชื่อฟังดี ไม่เจอกันพันปี เปลี่ยนไปไม่น้อยจริงๆ 

 

 

จิ้งจอกม่วงหยิกเขาระบายอารมณ์พักหนึ่ง ตนเองอยู่ๆ ก็ปวดใจขึ้นมา ยึดชายเสื้อขาดๆ เขาไว้เริ่มร้องไห้ อู๋จือฉีไม่รู้จะทำอย่างไรกับนางที่อยู่ๆ ก็ร้องไห้ อยู่ๆ ก็หัวเราะ ปกติเขามีนิสัยไม่อยู่นิ่ง ร่าเริงอิสระ มีแต่ยามเห็นสาวงามถึงจะนิ่งสงบ วางท่าทางเข้าหาในแบบสูงส่งอบอุ่น แต่ความสูงส่งอบอุ่นของเขานี้ใช้กับจิ้งจอกม่วงไม่ได้ ในใจเขา จิ้งจอกม่วงกับสาวงามไม่ควรจับมาคู่กัน จิ้งจอกก็คือจิ้งจอก 

 

 

ดังนั้นเขาจึงร้อนใจกล่าวว่า “ทำไมเจ้าอยู่ๆ ก็ร้องไห้ อยู่ๆ ก็หัวเราะ! เป็นไข้หรือ!” กล่าวจบก็ตบหน้าผากขาวนวลของนางเต็มแรงดัง ปัก โอย เขาช่างไม่รู้จักทะนุถนอมหยกงามเอาเสียเลย…เสวียนจีแอบมองเขาสองคน ในใจพลันนึกเห็นใจจิ้งจอกม่วงขึ้นมาเล็กน้อย คนที่นางชอบมานับพันปี ที่แท้เป็นคนแบบนี้ 

 

 

จิ้งจอกม่วงยู่ปากกล่าวว่า “คนเขาเห็นท่านก็ดีใจจนร้องไห้ไม่ได้หรือ ช่างเป็นวานรหน้าเหม็นแล้งน้ำใจจริงๆ! ข้าคิดถึงท่านมาพันปี ท่านน่าจะไม่เคยคิดถึงข้าสักวินาทีเลยใช่ไหม?!” 

 

 

อู๋จือฉีขี้เกียจจะมีเรื่องต่อปากกับนางราวหนุ่มสาวในห้วงรัก จึงหันไปถามเสวียนจีว่า “เรื่องเมื่อก่อน เหมือนเจ้าลืมไปหมดสิ้น เมื่อก่อนเจ้าอยู่สวรรค์ไม่ใช่ว่ามีหน้ามีตาแสนทรงเกียรติหรือ ทำไมตกลงมารับเคราะห์แดนมนุษย์ได้ ทำความผิดอะไร” 

 

 

เสวียนจีส่ายหน้า “ข้าไม่รู้ คิดไม่ออกแล้ว” 

 

 

อู๋จือฉีมองนางอย่างนึกสงสาร ยกมือตบบ่านางอย่างมีน้ำใจยิ่ง ถอนใจกล่าวว่า “เอาน่า! เรื่องเมื่อก่อนไม่ต้องไปคิดมัน วันหน้าข้าปกป้องเจ้า มีเรื่องลำบากอะไรมาตามข้าได้” 

 

 

ราวกับเขาลืมไปว่าตนเองถูกจองจำอยู่ในแดนปรภพ แม้ร่างตนมีโซ่หมุดทะเลแปดสายล่ามไว้ แต่ความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวยังไม่จางหายไปแม้แต้น้อย เสวียนจีพยักหน้าอย่างไม่เข้าใจนัก กำลังคิดเตือนเขาอย่างหวังดี ความจริงที่เขาถูกขังอยู่ พลันได้ยินมกรด้านหลังคำรามว่า “วาจาเหลวไหลกล่าวจบหรือยัง?! ไม่มีคนเห็นข้าอยู่นี่หรือ?!” เขาถูกละเลยไปนานจนทนไม่ไหว ระเบิดออกมาในที่สุด 

 

 

อู๋จือฉีขมวดคิ้ว กล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “เจ้าคือใคร ร้องแหกปากหาอะไร!” 

 

 

มกรเห็นท่าทางเย็นชาของเขาก็โมโหคุกรุ่น เขารอมาพันปี ในพันปีนี้เร่ไปหาคนมาถามอู๋จือฉีถูกขังอยู่ที่ใดกันแน่ ก็เพื่อมาสู้กับอีกฝ่ายสักตั้ง ผู้ใดจะรู้ว่าพอได้พบกัน เขาถึงกับมีท่าทีเช่นนี้ ศักดิ์ศรีมกรถูกฉีกไม่มีชิ้นดี ชี้หน้าอู๋จือฉีด้วยนิ้วมือสั่นเทา กล่าวน้ำเสียงดุดันว่า “ออกไป! สู้กับข้า!” 

 

 

อู๋จือฉีบิดขี้เกียจ ไม่สนใจไอสังหารของเขาที่ทะยานพุ่งขึ้นท้องฟ้า กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “อา ขอโทษ ไม่สนใจ มือซ้ายเจ้าสู้กับมือขวาเองละกัน…มาๆ แม่ทัพเทพสงคราม พวกเรามารำลึกความหลังกัน จริงๆ เลย…โอย ไม่ได้ได้เจอกันตั้งพันปี! เจ้างามขึ้นเรื่อยๆ แล้ว…” พอเห็นสาวงาม ท่าทีเย็นชาของเขาก็เปลี่ยนเป็นเอาอกเอาใจทันที น้ำเสียงที่กล่าวก็แปรเปลี่ยน 

 

 

มกรโมโหจนตัวสั่น ยกมือคว้าไหล่เขาร้องดังขึ้นว่า “ข้าว่าเจ้าไม่กล้าสู้กับข้า! พันปีไม่ได้ขยับ กลัวถูกข้าฟาดติดพื้นหรือ!” นิ้วมือเขากำลังจะคว้าไหล่อู๋จือฉี รู้สึกเพียงแค่อยู่ๆ ร่างเขา มีแสงแวบมา เขาคว้าเอาอากาศ ข้อมือถูกกำแน่น ถึงกับมีคนบีบมือเขาไว้ ร่างอู๋จือฉีถูกโซ่หมุดทะเลเส้นหนาล่ามไว้ กำลังมือถึงกับไม่ลดลงแม้แต่น้อย มกรถูกเขาจับไว้ ไม่อาจขยับได้แม้แต่น้อย 

 

 

เขาทั้งตกใจและดีใจ ร้อนใจกล่าวว่า “อย่างไร?! จะสู้กับข้า?” 

 

 

อู๋จือฉีสะบัดมือเขาทิ้งราวกับทิ้งขยะ ปัดมือกล่าวว่า “ไม่สู้! จะว่าไปเจ้าคือใครกันแน่ ผู้ใดให้เจ้าเข้ามา พื้นที่ข้าต้อนรับแต่พี่สาวคนงาม ผู้ชายน่าตายเช่นเจ้ารีบไสหัวออกไป ไป!” 

 

 

“เจ้า…” เป็นครั้งแรกที่มกรโต้กลับคนคนหนึ่งไม่ได้จนแทบจะอกแตกตาย จิ้งจอกม่วงเห็นเขาโมโหจนหน้าเขียว ก็รีบออกมาแก้สถานการณ์อีกครั้ง “ท่านนี้ก็คือใต้เท้ามกรอย่างไร! อู๋จือฉี ตอนท่านถูกจับไปไม่มีคนบอกข้า หากไม่ใช่ข้าออกตามหาท่านจนไปเจอกับใต้เท้ามกร เขาบอกข้าว่าท่านถูกจับไป วันนี้ข้าก็ยังอาจหาอยู่เลย! ท่านอย่าเสียมารยาท! หลายปีมานี้ใต้เท้ามกรก็เอาแต่ค้นหาท่าน ทุ่มเทแรงใจไม่น้อยนะ” 

 

 

อู๋จือฉีหัวเราะเบาๆ กล่าวว่า “ค้นหาข้า? เกรงว่าหาข้าก็คงไม่ได้หวังดีกระมัง เขาไม่ใช่เทพเซียนหรืออย่างไร” เขามองมกรแต่หัวจรดเท้าอย่างดูแคลน ท่าทางราวกับกำลังว่าว่าเขาเป็นเซียน ช่างน่าดูแคลนเสียจริง เทพเซียนไม่ใช่คนดี 

 

 

สีหน้ามกรย่ำแย่ยิ่ง ราวกับใกล้ระเบิดเต็มทน จิ้งจอกม่วงรีบกล่าวอีกว่า “ท่าน…ท่านอย่าทำเช่นนี้! ใต้เท้ามกรไม่เหมือนกัน เขาเป็นคนดีจริง…ใช่แล้ว เสวียนจี พวกเจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร ได้เจอคนอื่นไหม อูถงนั่นล่ะ” 

 

 

นางกลัวผู้ชายสองคนมีเรื่องกันแล้วจะแยกไม่ออก รีบเปลี่ยนเรื่องไปที่เสวียนจี เสวียนจีอืมขึ้นเสียงหนึ่ง กล่าวว่า “ตอนแรกพวกเราไปถึงนรกทะเลเพลิง ต่อมาเจอผู้พิพากษา อูถงถูกพวกเขานำตัวไปแล้ว ราวกับว่าชาติก่อนทำความชั่วไว้มาก รอไปลงทัณฑ์อะไรพวกนั้น…ข้ากับมกรบอกว่าต้องการพบอู๋จือฉี ผู้พิพากษาก็นำพวกเราไปพบมหาเทพโฮ่วถู่ จากนั้นพวกเราก็มาที่นี่” 

 

 

“มหาเทพโฮ่วถู่?” สีหน้าอู๋จือฉีค่อยๆ ซีดลง สองตาราวมีกระแสไฟเย็นเยียบ จ้องอยู่ที่หน้าเสวียนจีเป็นนาน ก่อนจะกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “เขาให้พวกเจ้ามาทำอะไร” 

 

 

เสวียนจีไม่ได้หลบสายตาคมปลาบของเขา ความเงียบงันบังเกิดขึ้นโดยรอบ กล่าวเบาๆ ว่า “เขาให้ข้ามาสังหารเจ้า จบสิ้นสิ่งที่เรียกว่าเหตุกรรม” 

 

 

วาจาไม่ทันจบ จิ้งจอกม่วงก็ร้องตกใจ คว้าแขนเสื้อนาง ร้อนใจกล่าวว่า “เสวียนจี! เจ้าอย่าทำข้าตกใจ! เจ้าล้อเล่นใช่ไหม?!” 

 

 

เสวียนจีส่ายหน้าเงียบๆ “ไม่ล้อเล่น เรื่องจริง”  

 

 

จิ้งจอกม่วงเสียงแหลมขึ้น “เจ้าจะสังหารเขาได้อย่างไร?! เจ้ากับเขา…ไม่เคยรู้จักกัน เหตุใดอยู่ดีๆ ต้องให้เจ้ามาสังหารเขา?!” 

 

 

เสวียนจีไร้วาจาจะกล่าว อู๋จือฉีอยู่ๆ ยิ้มกล่าวว่า “ทำไมไม่เคยรู้จัก จิ้งจอกน้อยเจ้าหลบไปข้างๆ นี่เป็นเรื่องข้ากับนาง ข้าจะพูดกับนางให้กระจ่าง” เขาดันจิ้งจอกม่วงออกเบาๆ ให้ลงนั่งบนเตียงฟางหญ้าผุพังนั่น ทำท่าทางครุ่นคิด เป็นนานจึงได้กล่าวว่า “พวกเราเคยเจอกันแค่สองครั้ง แต่ข้าไม่เคยลืมเจ้า”  

 

 

วาจานี้กล่าวได้กรุ้มกริ่มยิ่ง ไม่เพียงเสวียนจีตะลึง มกรขมวดคิ้ว จิ้งจอกม่วงยังกระโดดผึงขึ้นมา สีหน้าซีดขาวชี้หน้าเขา ริมฝีปากสั่นระริกกล่าวไม่ออกสักคำ อู๋จือฉีกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “สตรีเช่นเจ้านี้ พบเพียงครั้งเดียว ผู้ใดก็ไม่อาจลืม แต่พวกเราไม่ใช่สหาย ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ ทั้งนั้น ตอนนั้นเจ้ารับคำสั่งเบื้องบนมาสังหารข้า แน่นอนข้าไม่โง่ให้เจ้าสังหารได้ แหะๆ แล้วสาวงามเช่นเจ้านี้ ข้าจะตัดใจลงมือได้อย่างไร ข้าเพียงแค่เอาแต่ร้องตะโกนด่าพวกเซียนนั่น ผู้ใดจะรู้ว่าสุดท้ายถึงทำเอาเจ้าเห็นด้วย ตอนนั้นข้าก็คิดแล้ว สาวงามก็งาม ร้ายกาจก็ร้ายกาจ เพียงแต่สมองใช้การไม่ค่อยได้ พูดจาเหลวไหลมั่วซั่ว นางก็ยังเชื่อไปได้…” 

 

 

เสวียนจีกระแอมไอขึ้นเสียงหนึ่ง กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เห็นชัดๆ ว่าเจ้ากำลังหยอกผู้อื่นเล่นใช่ไหม” 

 

 

อู๋จือฉีส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่ พี่สาวคนงาม เจ้าผิดแล้ว เจ้าแกร่งกล้าเช่นนั้น ล้วนเป็นเจ้าที่หยอกข้า!บอกว่าจะสังหารก็ลงมือ บอกว่าไม่สังหารก็สะบัดหน้าไป ข้าไม่ได้มีความสามารถเหมือนเจ้า อย่างไรข้าเห็นเจ้าถูกวาจามั่วซั่วข้าเกลี้ยกล่อมเข้าจริง ก็รู้สึกว่าจริงๆ แล้วเจ้าก็เป็นคนไม่เลว ยังร้ายกาจ ดังนั้นจึงได้แอบคิดนิดหน่อย อืม และเจ้าเองยังงามมากด้วย…” 

 

 

จิ้งจอกม่วงได้ยินเขาพูดว่างามมาก สติก็ขาดผึง กล่าวน้ำเสียงนิ่งว่า “มีลมรีบผาย! วาจาเหลวไหลน้อยหน่อย!” 

 

 

อู๋จือฉีมองนางอย่างไม่รู้ว่าตนทำอะไรผิด ได้แต่กล่าวต่อว่า “จากนั้นข้าก็คิด เป็นสหายก็ดีนะ! ผู้ใดจะรู้ว่าแม่ทัพเทพสงครามองอาจเกรียงไกรเช่นเจ้าถึงกับไม่รู้จักคำว่าสหาย เกือบทำเอาลูกตาข้าหลุดออกมา!” 

 

 

ตอนนั้นเขาหัวเราะดังลั่น พอจบเรื่องหวนคิดถึงอีกครั้งก็รู้สึกว่าในความขบขำนั้นมีความขมขื่นลึกๆ แม้ว่าเขาถูกเซียนมากมายดูแคลนเป็นแค่ลิงป่า วานรบ้า แต่สหายเขามีทั่วหล้า ไปว่าไปที่ไหนเอ่ยถึงอู๋จือฉีสามคำ ไม่มีอะไรไม่อำนวยทาง เขาเกิดมาก็มีนิสัยเปิดเผยไร้พันธนาการ คนพรรคมารพรรคไร้ชื่อล้วนเรียกขานพี่น้อง ดังนั้นจึงไม่รู้ว่า ตั้งแต่เมื่อไรที่ใต้หล้าถึงกับมีคนที่แม้แต่คำว่าสหายก็ไม่รู้ความหมาย 

 

 

นางหน้าตางดงาม รูปร่างสะคราญ กลับโดดเดี่ยวตัวคนเดียว ปกติไม่มีแม้แต่คนจะคุยด้วย วันๆ ผ่านมาได้อย่างไร เขานึกภาพไม่ออกจริงๆ บางครั้งนึกถึงตอนนั้นที่ได้สู้กับนางสามวันสามคืน อยู่ๆ ก็พลันเข้าใจ เหตุใดนางจึงได้มีท่าทีนิ่งสงบกับการต่อสู้ดุเดือดเช่นนั้นได้ ไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย 

 

 

เพราะนางโดดเดี่ยวมานานเกินไป 

 

 

“ต่อมา เทพสวรรค์สู้ข้าไม่ได้ คิดหาวิธีชั่วช้าขึ้นมาได้ ซื้อตัวคนสนิทข้า จากนั้นพวกเราก็เจอกันครั้งที่สอง” 

 

 

อยู่ๆ อู๋จือฉีก็เงยหน้า สองตาส่องประกาย ส่งยิ้มเฝื่อนให้นาง “ข้ามีคำถาม อัดอั้นมาพันปี ก็รอว่าได้เจอตัวเจ้าก็จะถามเจ้า ยามนี้เจ้าก็มาแล้ว ต้องตอบข้า” 

 

 

เสวียนจีกล่าวว่า “ได้ เจ้าถาม หากข้ารู้ ก็จะตอบแน่” 

 

 

เขากล่าวเนิบนาบช้าๆ ว่า “วันนั้นเจ้าเห็นข้า บอกว่าเป็นสหายกับข้าก็ไม่ได้ไม่ดีอะไร เรื่องจริงหรือแค่หลอกให้ข้าหลงกล?” 

 

 

เสวียนจีคิดท่าทีจริงจังอย่างที่สุดอยู่นาน ขนตาไม่กะพริบแม้แต่นิด นานมาก รอจนจิ้งจอกม่วงกลั้นลมหายใจจนแทบหมดลมหายใจ นางพลันกล่าวว่า “เป็นความจริง” อู๋จือฉีกล่าวเบาๆ ว่า “จริงหรือ ข้าไม่เชื่อเทพเซียน” 

 

 

นางกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “จริง เพราะแต่ไรมาข้าไม่โกหก” 

 

 

อู๋จือฉีเอาแต่จ้องมองนางราวเด็กน้อย ในดวงตาเขาราวกับแอบซ่อนดวงอาทิตย์น้อยๆ ไว้สองดวง ไม่เคยเห็นดวงตากระจ่างใสตรงไปตรงมาอย่างไม่ปิดบังความในใจเช่นนี้มาก่อน อยู่ๆ เขาก็หัวเราะดังลั่น เสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากดีใจ สะเทือนจนกระท่อมฟางผุพังแทบจะล้มครืน พอหัวเราะเสร็จ เขาก็เริ่มตีลังกา ตีลังกาอยู่กับที่ไม่หยุด ดีใจราวกับเด็กน้อย สุดท้ายเขาพลันหยุดหอบหายใจ ลงนอนแผ่กับเตียงหญ้าฟาง ยิ้มถอนหายใจ “ข้าดูคนไม่ผิดจริงๆ!” 

 

 

จิ้งจอกม่วงทั้งดีใจทั้งเศร้าใจ เดินเข้าไปดึงเปียผมยุ่งๆ ของเขาเบาๆ ใช้มือจัดให้เรียบร้อย พลันเงยหน้ากล่าวว่า “เสวียนจี ข้าขอร้องเจ้า ขอร้องเจ้า อย่าสังหารเขา” 

 

 

วาจากล่าวออกมา บรรยากาศผ่อนคลายเมื่อครู่ก็ตกสู่ความเงียบงันอีกครั้ง อู๋จือฉีลุกนั่งอย่างไม่ใส่ใจ ดึงแขนเสื้อนาง ยิ้มกล่าวว่า “จิ้งจอกน้อย หน้าตาเจ้าเหมือนคนตายเลย! เรื่องข้า เจ้าอย่ายุ่ง” 

 

 

จิ้งจอกม่วงส่ายหน้า กล่าวอ่อนโยนว่า “สำหรับท่านแล้ว ข้าก็แค่จิ้งจอกน้อยเท่านั้น ดีใจก็ลูบเล่น มีเรื่องมาก็ลืมสิ้น แต่สำหรับข้าแล้ว ท่านคือทุกสิ่งทุกอย่างของข้า สำคัญยิ่งกว่าชีวิตข้าเอง ข้าจะไม่ให้ท่านตายเด็ดขาด พันปีก่อน ข้ายังเป็นจิ้งจอก ท่านถูกจับไป ข้าทำอะไรไม่ได้ ยามนี้ข้ากลายเป็นคนแล้ว ครั้งนี้ก็ทำอะไรเพื่อท่านได้แล้ว” 

 

 

แม้ว่าน้ำเสียงนางนิ่งเรียบฟังดูไร้อารมณ์ แต่กล่าวได้นิ่งสงบ แฝงความรู้สึกอบอุ่นจริงใจที่มากจนประมาณไม่ได้อยู่ลึกๆ อู๋จือฉีนิ่งอึ้งอยู่กับที่ ราวกับไม่เคยรู้จักนางมาก่อน 

 

 

จิ้งจอกม่วงกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เสวียนจี ในฐานะสหาย ข้าไม่ควรทำให้เจ้าลำบากใจ แต่หากเจ้าต้องการสังหารเขาจริง ก็ขอให้เจ้าอนุญาตให้ข้าได้ตายพร้อมเขา ความในใจข้านั้น เจ้าเองคงเข้าใจกระจ่างกว่าผู้ใด” 

 

 

ใช่ นางเข้าใจอย่างแท้จริง เป็นตายด้วยกัน ง่ายมาก สี่คำนี้เท่านั้น