ส่วนที่ 5 ดอกเฟิ่งหวงผลิบาน ตอนที่ 9 อู๋จือฉี (5)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

เสวียนจีผินหน้าหนี ไม่อยากเห็นอารมณ์ความรู้สึกเช่นนี้ของนาง เนิ่นนานจึงได้กล่าวว่า “จริงๆ แล้วเรื่องที่เขาว่ามา หลายเรื่องข้าจำไม่ได้ ดังนั้นมีบุญคุณความแค้นใด ข้าก็ไม่กระจ่าง ข้าเพียงแต่…หากไม่สังหารเขา ข้าก็จะกลับไปไม่ได้ อีกอย่าง อู๋จือฉี เมื่อก่อนเจ้าเป็นมารปีศาจยิ่งใหญ่ ต้องทำความชั่วไว้มากมายแน่เลย ทำเรื่องชั่วช้าหรือว่าไม่คิดรับโทษ” 

 

 

จิ้งจอกม่วงร้อนใจกล่าวว่า “เขาไม่ได้ทำเรื่องชั่วช้า! เจ้าไม่รู้อะไรสักอย่าง!” 

 

 

เสวียนจีกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “คนทำชั่วก็มักหาข้อแก้ตัวให้ตนเองมากมาย ไม่ว่าแก้ตัวอย่างไร ความจริงก็มีเพียงหนึ่งเดียว หากเขาไม่ทำร้ายผู้คน จะถูกจับมาขังได้อย่างไร” 

 

 

จิ้งจอกม่วงสีหน้าซีดขาว กล่าวว่า “ไม่ผิด ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว แต่ผิดถูกใช่ว่าแน่ชัด เจ้าไม่อาจฟังแต่คำพูดแดนสวรรค์ฝ่ายเดียวก็มาทวงความยุติธรรม” 

 

 

วาจาเหมือนคุ้นมาก เคยมีคนกล่าวกับนาง โลกนี้ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าขาวและดำแยกกันชัดเจน ผู้ใดตัดสินกันได้ง่ายๆ ทุกคนล้วนมีขาวและดำในใจตนเอง ดังนั้นความจริงในใจทุกคนจึงต่างกัน เสวียนจียึดมั่นในความคิดตนเองมาตลอด แต่ไรไม่เคยยอมรับความผิดถูกของผู้อื่น ตอนนั้นศิษย์พี่ใหญ่กล่าวว่าเช่นนี้ไม่ดี จะทำให้เข้าสู่ทางตันได้ง่าย แต่นางตอบเขาร่าเริงประโยคเดียวว่า คนอื่นอย่าได้นำความคิดตนเองมายัดเยียดใส่ข้า 

 

 

แต่ตอนนี้นางอายุมากขึ้นหน่อยหนึ่ง ได้พบคนยิ่งมาก เจอเรื่องราวยิ่งมาก เริ่มค่อยๆ เข้าใจว่าความดื้อดึงในความคิดตนเองนั้นน่ากลัวเพียงใด คนเราไม่อาจมีชีวิตอยู่แต่ในโลกของตนเอง นางต้องสูญเสียไปมากมายกับการเป็นตนเองเช่นนี้ ทำให้ซือเฟิ่งต้องจากไปเงียบๆ ยามนี้พอหวนระลึกได้ เขาก็ไม่อยู่ข้างกายนางแล้ว 

 

 

เสวียนจีสูดลมหายใจก้มหน้าคอตก กล่าวเบาๆ ว่า “ข้าจำอะไรไม่ได้…” 

 

 

ยังกล่าวไม่ทันจบ อู๋จือฉีอยู่ๆ กล่าวแทรกขึ้น “อะไรก็จำไม่ได้ เช่นนั้นเมื่อครู่ที่เจ้าว่ามาก็หลอกลวง?” 

 

 

เสวียนจีตะลึงงัน อยู่ๆ พลันเข้าใจว่าที่เขาพูดถึงคือเรื่องสหาย ดังนั้นกล่าวว่า “ไม่ได้หลอกลวง…คนอย่างเจ้านี้ ผู้ใดจะไม่อยากเป็นสหายกับเจ้าล่ะ” 

 

 

อู๋จือฉีหัวเราะแหะๆ โดดลงจากเตียง เดินมาหานาง จิ้งจอกม่วงรีบดึงเสื้อเขาไว้ เรียกเบาๆ “อู๋จือฉี ท่านอย่า…” เขาลูบศีรษะนาง น้ำเสียงอ่อนโยนยิ่ง “ไม่เป็นไร จิ้งจอกน้อย นั่งนิ่งๆ เดี๋ยวข้าค่อยหาองุ่นอร่อยให้เจ้ากิน” 

 

 

จิ้งจอกม่วงขอบตาแดงช้ำ เขายังจำได้ว่านางชอบกินองุ่น ตอนพวกเขาเพิ่งรู้จักกัน ก็เพราะนางนึกอยากกิน ปีนขึ้นไปแอบกินองุ่นคนอื่น ปรากฏองุ่นนั่นเขาเป็นคนปลูก นางไม่ยินยอมที่ถูกจับได้ คิดหาทางหลบหนีหลายร้อยวิธี แต่อย่างไรก็หนีไม่รอดเงื้อมมือเขาไปได้ ต่อมาในที่สุดเขาก็ปล่อยนาง นางเองกลับตัดใจจากไปไม่ได้ 

 

 

แต่ไรมาล้วนเป็นเขาเดินอยู่ข้างหน้าไกลๆ มีหันกลับมามองแวบหนึ่งบ้าง ก็ทำให้เบิกบานใจขึ้นอย่างอดไม่ได้ เขาไม่เคยมีนางในใจ เป็นนางเองที่ตัดใจจากไปไม่ได้ ไม่อาจโกรธแค้นเขา ใช่แล้ว ไม่ว่าผู้ใดนางก็ไม่อาจโกรธแค้น ขอเพียงเขายังมีชีวิต ยังได้เห็นเขา นั่นก็ย่อมเป็นเรื่องที่โชคดีมีความสุขที่สุดในโลกแล้ว 

 

 

อู๋จือฉีเดินไปเบื้องหน้าเสวียนจี คว้าเปียตนดึงไปดึงมาท่าทางเก้อเขิน ยิ้มกล่าวว่า “ไปกันเถอะ ในเมื่อเป็นสหาย ข้าก็ไม่อาจทำให้เจ้าลำบากใจ ไม่สังหารข้าก็กลับไม่ได้ใช่ไหม พวกเราประมือกันสักตั้งตอนนี้เลย เป็นหรือตายก็ให้ชะตาลิขิตแล้วกัน!” 

 

 

เขาดูปล่อยวางเช่นนี้ คนที่อึ้งกลับเป็นเสวียนจี เป็นนานนางจึงได้พึมพำว่า “ข้าก็มีคำถาม ขอท่านตอบข้า” 

 

 

“ได้สิ เจ้าถาม” อู๋จือฉียักไหล่สบายๆ 

 

 

เสวียนจีสีหน้าจริงจังกล่าวว่า “เหตุใดต้องก่อกบฏ” 

 

 

อู๋จือฉีลูบคางคิดครู่หนึ่ง ยิ้มกล่าวว่า “กบฏ…ก็ไม่อาจกล่าวเช่นนั้น พวกเขารังแกกันมากเกินไป เห็นว่าตนเองสยบมารปีศาจไม่ได้ก็คิดกำจัด จะว่าไป…” 

 

 

เขามองเสวียนจี สองตาส่องประกาย มีท่าทางเหมือนเด็กน้อยซุกซน ถามว่า “เจ้าไม่รู้สึกว่าเทพเซียนเบื้องบนบางครั้งก็น่ารังเกียจหรือ” 

 

 

คำตอบสมกับเป็นคนเช่นอู๋จือฉี เสวียนจีนิ่งเป็นนาน อยู่ๆ ก็หัวเราะดังขึ้น อู๋จือฉีก็หัวเราะดังลั่นตาม ทั้งสองหัวเราะกันอยู่เป็นนาน หัวเราะจนจิ้งจอกม่วงกับมกรแปลกใจ สุดท้ายเสวียนจีพยักหน้ากล่าวว่า “ก็ใช่ บางครั้ง…ก็น่ารังเกียจจริง” 

 

 

อู๋จือฉีลูบแขนท่าทางเกียจคร้าน กล่าวว่า “เช่นนั้น…ถามจบแล้ว ไปเถอะ เริ่ม” 

 

 

เสวียนจีพลันส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่สู้แล้ว ข้าไม่คิดสังหารเจ้า ข้าไม่คิดสังหารสหายตนเอง” 

 

 

อู๋จือฉีไม่ตกใจกับคำตอบนาง ได้แต่หรี่ตามองกล่าวว่า “ไม่สังหารข้า เจ้ากลับไปไม่ได้? ได้แต่ถูกขังอยู่กับข้าที่นี่” 

 

 

“แม้ต้องการกลับไป ข้าก็ไม่สังหารเจ้า และแม้ว่าพวกเขาไม่ส่งข้ากลับไป ข้าก็ต้องหาทางกลับไปให้ได้” 

 

 

อู๋จือฉีบิดขี้เกียจ ยิ้มกล่าวว่า “ตกลง น่าเสียดาย ข้าไม่อาจส่งเจ้าออกไป” 

 

 

เสวียนจีถามว่า “โซ่เหล็กแปดเส้นบนตัวเจ้าก็คือโซ่หมุดทะเล?” 

 

 

“เอ๋ เจ้ารู้ด้วย? ใช่แล้วๆ ข้ายังไม่ได้ถามเจ้าเลย ทำไมเจ้าต้องลงไปเกิดผ่านเคราะห์กรรม? แม่ทัพเทพสงคราม ตอนนั้นชื่อเสียงเกรียงไกร สร้างความดีความชอบประมาณมิได้นะ! หรือว่าราชันสวรรค์เห็นเจ้าแล้วขัดตา?” 

 

 

เสวียนจีส่ายหน้า ท่าทางซื่อๆ “ข้าก็ไม่รู้ มีบางเรื่องนึกออก บางเรื่องนึกอย่างไรก็นึกไม่ออก” 

 

 

“เรื่องที่เจ้าไม่รู้มากมายจริง…” อู๋จือฉีพึมพำ คิดไปคิดมากล่าวว่า “น่าจะเพราะความทรงจำเจ้าถูกคนดึงออกไป เทพเซียนสวรรค์พวกนั้นน่าจะรู้กระมัง ทำไมไม่ไปถามดู…อ้อ ท่านนี้ ชื่ออะไรมะกะๆ ถามเขาสิ” 

 

 

เขาชี้ไปที่มกร ตั้งแต่มกรเข้ามา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาสังเกตถึงการมีอยู่ของมกรอย่างแท้จริง ถึงกับยังไม่คิดพูดกับตนสักคำ มกรโมโหจนหน้าเขียวคล้ำ แต่ก็ไม่คิดโต้เถียงกับเขา ได้แต่กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ข้ารู้ไม่มาก รู้เพียงว่าตอนนั้นนางทำผิด รายละเอียดว่าผิดอะไรนั้น มีแต่พวกนายท่านเบื้องบนที่รู้กระจ่าง” 

 

 

แววตาอู๋จือฉีวาบขึ้น “อ้อ อ้อ! เจ้าเรียกพวกเขาว่าอะไรนะ? นายท่าน? เจ้านี่ตลกจริงเลย!” 

 

 

มกรถลึงตาใส่เขา กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “กลับกันเลยดีกว่า อู๋จือฉีชื่อเสียงก้องใต้หล้าทำให้ข้ารู้สึกเบื่อมาก” 

 

 

อู๋จือฉีไม่โมโหแม้แต่น้อย ได้แต่หัวเราะดังลั่นกล่าวว่า “ก็แค่สู้กัน! มีอะไรน่าโกรธแค้น! มกรใช่ไหม ข้าจำเจ้าไว้แล้ว ไว้จะเป็นเพื่อนสู้กับเจ้าสิบวันสิบคืน! อย่าร้องโอดโอยก็พอ!” 

 

 

มกรแสนซื่อ ดวงตาในยามนั้นส่องประกาย ร้อนใจกล่าวว่า “สู้กันตอนนี้!” 

 

 

อู๋จือฉีกวัดแกว่งโซ่หมุดแสนหนักอึ้งแปดเส้น ดูสีหน้าจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม “เจ้าก็น่าสนใจดีนะ คิดมาสู้กับข้าที่ถูกโซ่ล่ามไว้เช่นนี้” 

 

 

มกรไม่สนใจสักนิด นั่งยองลงข้างกายเขา คว้าโซ่เหล็กเส้นหนึ่งขึ้นมา กล่าวว่า “จะไปยากอะไร ข้าจะช่วยเจ้าหลอมโซ่เหล็กนี่” เขารีบร้อนจะปล่อยอัคคี เสวียนจีรีบรั้งเขาไว้ ส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่ได้! เจ้าปล่อยเขา พวกเราจะไปบอกผู้พิพากษา อาจารย์ข้าอย่างไรล่ะ” 

 

 

“บอกบ้าบออะไร!” มกรไม่สนใจอันใดทั้งสิ้น เป่าฟู่เดียว โซ่หมุดทะเลชื่อเสียงก้องหล้าก็ถูกเขาเผาทิ้งไปเส้นหนึ่งทันที 

 

 

อู๋จือฉียกมือหยุดยั้งการกระทำเขา ยิ้มกล่าวว่า “ไม่ต้องๆ ข้ายังรอคนอยู่ ยามนี้ไม่คิดไป เรื่องสู้กันข้าบอกจดไว้แล้วก็จดไว้แล้ว ไม่คืนคำเด็ดขาด รอให้ข้าออกไปก่อน ก็จะไปหาเจ้าเอง มกร” 

 

 

มกรรีบพยักหน้า “อย่างนั้นก็ดี วาจาวิญญูชน…” 

 

 

“ม้าเร็วรีบลงแส้[1]!” 

 

 

ทั้งสองตบมือเป็นสัญญา หัวเราะให้กันเบาๆ 

 

 

ดูท่าไม่ว่าลิงหรือสัตว์เทพ ขอเพียงเป็นชาย มิตรภาพก็ย่อมเกิดขึ้นอย่างน่าประหลาด 

 

 

เสวียนจีกล่าวว่า “เจ้ากำลังรอคนตำหนักหลีเจ๋อ? บอกเจ้าไว้ก่อน โซ่หมุดทะเลถูกพวกเขาทำลายไปหลายเส้นแล้ว แม้แต่กุญแจพวกเขาก็หาพบแล้ว เดาว่าไม่นานพวกเขาก็จะมาพาเจ้าออกไป เจ้า…” 

 

 

นางอยากพูดต่อแต่ก็หยุดลง อู๋จือฉีเองกลับเข้าใจความหมายนางทันที ถูนิ้วมือไปมา “รู้แล้วน่า! พวกแดนนรกบัดซบนี่ ข้าไม่แตะต้องแม้แต่คนเดียว!” 

 

 

เสวียนจียิ้ม “เช่นนั้นพวกเราไปก่อนแล้ว เจ้าตัวคนเดียวก็ดูแลตัวเองให้ดี พวกข้าอยู่โลกมนุษย์รอเจ้าตามมาสมทบ ข้าเลี้ยงสุราเจ้า” 

 

 

อู๋จือฉีหัวเราะกล่าวว่า “เด็กผู้หญิงตัวน้อยๆ ดื่มสุราอะไร…เอาเถอะ ขอบคุณที่คิดเลี้ยง! แน่นอนๆ” กล่าวจบพลันขมวดคิ้ว “แต่ต้องรอให้ข้าไปหาพวกปีศาจตำหนักอะไรนั่นก่อน ไปคิดบัญชีเก่าให้เสร็จก่อนค่อยว่ากัน!” 

 

 

เสวียนจีเดิมคิดถามเขา มีบุญคุณความแค้นใดกับตำหนักหลีเจ๋อ แต่ดูท่าทางเขาเหมือนไม่ยินดี ดังนั้นพยักหน้าหันหลังจากไป พอไปถึงประตู อยู่ๆ ก็พบว่าจิ้งจอกม่วงไม่ตามมา นางกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “จิ้งจอกม่วง…เจ้าอยู่ต่อหรือ” 

 

 

จิ้งจอกม่วงกล่าวอ่อนโยนว่า “อืม เสวียนจี ใต้เท้ามกร ขอบคุณพวกเจ้า ข้า…” 

 

 

“จิ้งจอกน้อยอยู่ต่อสิ ข้าถูกขังที่นี่มาพันปีตัวคนเดียว เจ้ามาหาข้าช้าเช่นนี้ยังคิดไป? ไม่ง่ายเช่นนั้นหรอก!” อู๋จือฉียิ้มร่าโอบไหล่นางโยกไปมาสองสามที “ไม่อนุญาตให้พูดว่าจะไป! เจ้าต้องอยู่เป็นเพื่อนข้า!” 

 

 

จิ้งจอกม่วงยิ้ม ค่อยๆ พยักหน้า กล่าวเสียงหวานว่า “ใช่ ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนอู๋จือฉี เสวียนจี ใต้เท้ามกร วันหน้าพวกเราต้องได้พบกันอีกแน่” 

 

 

 นางรู้สึกโชคดี เห็นชัดว่าพอใจในตอนนี้อย่างมาก เพราะที่นี่มีอู๋จือฉี? เพราะได้อยู่กับเขา แม้นอนบนฟางหญ้า ไม่มีอะไรกิน ได้แต่ดื่มน้ำค้าง นางก็รู้สึกโชคดีมีความสุขกว่าอะไรทั้งนั้น 

 

 

ตอนเสวียนจีกลับถึงเมืองนรกอี้ตู ก็มีคำถามคิดถามมาตลอด 

 

 

หากเป็นอวี่ซือเฟิ่ง นางจะเหมือนจิ้งจอกม่วงที่ยอมทิ้งทุกสิ่งไหม ขอเพียงได้อยู่กับเขาก็รู้สึกโชคดี? นางนึกภาพไม่ออก เขาไม่อยู่ข้างกาย จริงๆ แล้วเขาจากไปแค่วันสองวันเท่านั้น เหตุใดนางกลับรู้สึกราวกับพวกนางจากกันไปชาติหนึ่ง ชาติที่แสนยาวนาน ชาติที่แสนเงียบเหงาเศร้าสร้อย… 

 

 

ตอนเห็นผู้พิพากษา สีหน้าเขาบอกเสวียนจีชัดเจนว่า เขารู้หมดแล้ว นางไม่ได้สังหารอู๋จือฉี ยังถึงกับปล่อยให้มกรทำลายโซ่หมุดทะเลไปเส้นหนึ่ง 

 

 

เสวียนจีไม่กล่าวสักคำ นางเองก็ไม่รู้ควรกล่าวอะไร เป็นนาน ผู้พิพากษาจึงได้ถอนหายใจยาว กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เสวียนจี…มีบางเรื่อง เดินผิดไปก้าวเดียว ก็ไม่อาจเรียกกลับคืนมา” 

 

 

“ข้าไม่ได้ผิด” นางตอบกลับเสียงเบาเช่นกัน 

 

 

“บางทีเจ้าอาจไม่ได้กลับสวรรค์อีกแล้ว ถึงกับอาจได้ไปเกิดผ่านเคราะห์ต่อไปเรื่อยๆ กลายเป็นนักโทษแดนสวรรค์แท้จริง เจ้าก็ไม่นึกเสียใจภายหลัง? ยังว่าตนเองไม่ผิด?” 

 

 

เสวียนจีส่ายหน้ากล่าวว่า “อาจารย์ เรื่องของข้า ข้าตัดสินใจเอง! ตัดสินแล้วก็ไม่คิดเสียใจภายหลัง!” 

 

 

ผู้พิพากษามองนางอย่างสงสัยอยู่เป็นนาน สุดท้ายก็ถอนหายใจ กล่าวว่า “เอาเถอะ ข้าส่งพวกเจ้ากลับไปแล้วกัน” 

 

 

 

 

 

 

 

 

[1] มาจากสำนวนว่า หนึ่งคำพูดวิญญูชนที่กล่าวออกไป สี่ม้ายากตาม​กลับคืน ก็คือไม่อาจคืนคำ แต่ในที่นี้ผู้แต่งจงใจใช้สำนวนผิด