ภาค 3 ธาตุแท้ของวีรบุรุษ บทที่ 288 สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ลงมือ

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

เกิดสงครามใหญ่ปะทุขึ้นที่สำนักเขากว่างเฉิง ทั้งยังมีไอมารพวยพุ่งสู้ฟ้า สถานการณ์ยุ่งเหยิง ไม่นานนักก็ได้รับความสนใจจากแต่ละฝ่าย

ยอดฝีมือกว่างเฉิงนอกเหนือจากเกาะนภากลาง ต่างมีใจคิดกลับสำนักเพื่อเป็นกำลังเสริม หากแต่บัดนี้สถานการณ์โลกภายนอกก็เปลี่ยนเป็นตรึงเครียดขึ้นมาเช่นกัน

แรงกดดันมหาศาลบีบบังคับพวกเขาไม่ให้ออกจากพื้นที่ ไม่อาจกลับเขากว่างเฉิงเพื่อหนุนกำลังได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกาะนภาใต้ที่กำลังเผชิญหน้ากับอัคคีพิภพ

บริเวณเขตแดนระหว่างอัคคีพิภพกับนภาพิภพ มียอดฝีมือระดับสุดยอดของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ปรากฏตัวเป็นจำนวนมาก ถึงแม้จะไม่ได้ย่างกรายเข้าสู่นภาพิภพ กระนั้นบรรยากาศอันตึงเครียดก็พร้อมจะปะทุขึ้นได้ทุกขณะ

ด้วยการนำทัพยอดฝีมือสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ของพานป๋อไท่ ผู้อาวุโสเก่าแก่สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ และผู่จ้าวจวิน ผู้นำของเจ็ดสุริยัน ต่างเดินทางมาถึง จ้องขย้ำนภาพิภพ

พานป๋อไท่เอ่ยถามเสียงเย็นเยียบ “ศิษย์พี่หวงจะออกฌานยามใด?”

ผู่จ้าวจวินกล่าว “ในเร็ววันนี้ ภายในสองวันนี้แล”

อีกฝ่ายพยักหน้า เส้นสายตาทอดมองทิศเขากว่างเฉิง “อันที่จริงตอนนี้สามารถลงมือได้แล้ว”

สีหน้าของผู่จ้าวจวินสงบนิ่ง “อาจารย์อาพานอย่าได้รีบร้อน หากลงมือตอนนี้ ยังไม่มีความมั่นใจพอที่จะกวาดล้างเขากว่างเฉิงกับภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตให้ราบเรียบไปพร้อมกันได้ หากนพยมโลกมาถึง สำนักเราก็จัดการได้ยากเช่นเดียวกัน หอคลื่นโหมเองก็จะมีข้อโต้แย้งเช่นกัน ถึงขั้นที่แม้แต่ผู้อาวุโสโม่ ปราชญ์ภาพวาดก็อาจจะตื่นตกใจไปด้วย”

“อีกทั้งหากลงมือทันทีล่ะก็ จะถูกเมืองทะเลมรกตและสำนักเขาไร้พรมแดนขัดขวาง คอยท่าอีกสักหน่อย ทะเลตะวันออกเริ่มไม่สงบขึ้นมาแล้ว รอให้เมืองทะเลมรกตกับหอคลื่นโหมถูกปีศาจอัคคีเบนความสนใจ พวกเราก็สามารถโจมตีสังหารได้”

“เมื่อถึงเวลานั้น ระหว่างกว่างเฉิงกับภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตก็น่าจะต่อสู้กันจนต่างบาดเจ็บทั้งสองฝ่ายแล้วเช่นกัน”

ผู่จ้าวจวินเอ่ย “หยวนเจิ้งเฟิงเข้าฌานแล้ว ด่านขวางกั้นนี้ใช่ว่าเขากว่างเฉิงจะผ่านพ้นไปได้โดยง่าย”

สีหน้าพานป๋อไท่ดูเยือกเย็น แม้ในดวงตาแฝงเพลิงโทสะและความเกลียดชังไว้ แต่พูดการจาก็ยังคงไม่เสียความสุขุมไป “ภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ แม้แต่จอมมารหยวนเทียนเองล้วนยื่นมือเข้ามา หากแต่กิจการเขากว่างเฉิงหลายปีนี้ ก็ไม่ใช่ว่าวุ่นวายเช่นกัน หยวนเทียนคิดจะก่อการ ต้องผ่านด่านเสื้อคลุมนภานั้นให้ได้เสียก่อน”

“พวกเราไม่ลงมือ เว้นแต่ว่าภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตมีวิธีจัดการมหาค่ายกลนภาของกว่างเฉิง มิเช่นนั้นแล้วเกินกว่าครึ่งกว่างเฉิงจะสามารถผ่านเภทภัยนี้ไปได้”

ครั้นได้ยินคำพูดของพานป๋อไท่แล้ว ผู่จ้าวจวินก็พลันยิ้ม “สำหรับเรื่องมหาค่ายกลนภาของเขากว่างเฉิง สำนักพวกเราก็เตรียมของบางอย่างเอาไว้แล้วเช่นกัน”

“ถึงแม้จะรอเตรียมรบอยู่ที่นี่ หาจังหวะลงมือ แต่โอกาสต้องพึ่งความพยายามของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องรอคอยเสมอไป”

ประกายตาเขาไม่สะทกสะท้าน หันกายกลับไปมองค่ายกลค่ายหนึ่งตรงนั้นที่กำลังโคจรอยู่เงียบๆ

เส้นสายตาของพานป๋อไท่ตกอยู่บนค่ายกลนั่นเช่นเดียวกัน “ไม่บุกโจมตีโดยตรง พึ่งเพียงค่ายกลนี้ อาจจะสั่นคลอนมหาค่ายกลนภาของเขากว่างเฉิงไม่ไหว”

ผู่จ้าวจวินสืบเท้าไปทางค่ายกล ก้าวเข้าไปในนั้น “ย่อมไม่ใช่เพียงเท่านี้”

เขาพลิกฝ่ามือ ระหว่างที่แสงวาวโรจน์ทอประกาย ทั่วสรรพางค์ด้านหนึ่งกลายเป็นทองคำบริสุทธิ์ ธนูยาวที่ด้านบนมีเพลิงปลิวไสวไหลเวียนปรากฏอยู่ในมือ

นั่นคืออาวุธวิญญาณระดับสูงอันเลื่องชื่อของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ธนูยิงตะวันนั่นเอง

ผู่จ้าวจวินดึงสายธนู จากนั้นก็หยิบสิ่งของรูปแบบเดียวกันออกมาอีก

หาใช่ลูกธนูขนนกไม่ หากแต่เป็นสิ่งที่คล้ายกับกระสุนหน้าไม้ ดูแล้วให้ความรู้สึกแปลกประหลาดยิ่ง

ด้วยการส่องสะท้อนแสงวาวโวจน์ของธนูยิงตะวัน ปริมาตรปรากฏให้เห็นว่ากระจิริดยิ่ง ทว่ามองดูอย่างถี่ถ้วน กลับยังรู้สึกอีกว่าหนักอึ้ง ราวกับแฝงพลังที่แก่กล้ายิ่งกว่าธนูยิงตะวันไว้

พานปั๋วไท่เห็นดังนั้นก็เลิกคิ้วขาวขึ้น “ผลพลิกตะวัน? ของสิ่งนี้ไม่ใช่ว่าสาบสูญไปแล้วหรือ ปรากฏคราก่อนคือหกร้อยปีก่อนเต็มๆ แล้ว”

ผู่จ้าวจวินระบายยิ้ม “หาไม่แล้วจะให้กล่าวเช่นไร โอกาสต้องพึ่งความพยายามของตนเองอย่างไรเล่า”

ขณะเอ่ยไปพลาง เขากลัดลูกกระสุนหน้าไม้สีดำเล็กๆ นั่นไปบนสายธนูยิงตะวัน จากนั้นน้าวธนู!

ทิศทางที่เล็งไปไม่ใช่นภาพิภพแต่อย่างใด หากแต่เป็นค่ายกลที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า

บนร่างผู่จ้าวจวินเปล่งประกายไปด้วยแสงอาทิตย์ ดวงตะวันใหญ่สีทองอร่ามแปดดวงทะยานขึ้น เจิดจ้าแสงระยับ แผ่ความร้อนออกไปไร้ที่สิ้นสุด

ยันต์วิญญาณหลากสายพรั่งพรูจากรอบๆ ร่างกายเขา จากนั้นก็แปรสภาพเป็นค่ายกลวิญญาณแต่ละสาย แล้วจึงถักทอซ้อนกันเป็นชั้นๆ จนกลายเป็นสิ่งที่คล้ายเจดีย์สูงคล้ายแท่นบูชา ครอบคลุมเขาเอาไว้

เจตจำนงวรยุทธ์ของผู่จ้าวจวินรวมเป็นหนึ่งกับอาวุธวิญญาณระดับสูงอย่างธนูยิงตะวัน จากนั้นก็ร่วมกันเสริมหนุนกระสุนหน้าไม้สีดำดอกนั้น

กระสุนหน้าไม้สีดำนามว่าผลพลิกตะวัน มันไม่ได้ส่องแสงแต่อย่างใด สีสันและความแวววาวยิ่งสลัวลงเรื่อยๆ ความรู้สึกของพลังก็ยิ่งหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน

ผู่จ้าวจวินคลายสายธนูฉับพลัน ผลพลิกตะวันกลายสภาพเป็นแสงอาทิตย์สายหนึ่ง เชื่อมทะลุพื้นดินใต้ฝ่าเท้า พุ่งสู่ภายในค่ายกล จากนั้นก็หายวาบไม่พบเห็น

ชั่วพริบตาหนึ่ง ค่ายกลใต้ฝ่าเท้าผู่จ้าวจวินโคจรเสียงดังกึกก้อง ดุเดือดอย่างไม่เคยมีมาก่อน ให้ความรู้สึกบ้าคลั่ง

เสี้ยวขณะถัดมา ค่ายกลเปลี่ยนเป็นปลอดโปร่งอีกครั้ง ราวกับทั้งหมดทั้งมวลก่อนหน้านี้ ล้วนเป็นภาพลวงเท่านั้น

ทว่าบนดวงหน้าของผู่จ้าวจวินและพานป๋อไท่ต่างเผยรอยยิ้มพึงใจออกมา พวกเขามองไปยังเขากว่างเฉิงและนภาพิภพ พลางแสยะยิ้มไม่พูดจา

ในขณะเดียวกัน บนยอดเขาเรืองรอง ที่ตั้งของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์

หวงซวี่ เจ้าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์รุ่นปัจจุบันนั่งขัดสมาธิอยู่บนยอดเขา วางท่อนยาวสีทองไว้บนหัวเขา บนท่อนยาวมีลวดลายอาทิตย์เก้าดวง คล้ายกับกำลังลุกไหม้ก็ไม่ปาน

เบื้องหลังหวงซวี่มีคนผู้หนึ่งยืนอยู่ เป็นมู่กวงจวิน หนึ่งในเจ็ดสุริยัน

เพียงแต่มู่กวงจวินในขณะนี้มีสีหน้าอารมณ์เซื่องซึมเศร้าสลด

“พูดขึ้นมาแล้ว การที่เจ้ายัดของใส่ร้ายผู้เฒ่าเฉิน ประมุขเมืองทะเลมรกต นับว่าเป็นผลฃัพธ์ที่ไม่แล้ว แต่เจ้าสามารถปิดบังความจริงคนนอกได้ กลับปิดบังสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้” หวงซวี่เอื้อนเอ่ยเฉยชา “เนื่องจากโพ่เสี่ยวจวินกลายเป็นมาร จึงไม่เหลือศพไว้ เพราะอย่างนั้นเจ้าบอกว่าเจ้าสังหารโพ่เสี่ยวจวิน คนอื่นก็เชื่อแล้ว”

“น่าเสียดายเจ้าโชคไม่ดี มีคนอื่นพบเห็นว่าผู้เฒ่าเฉินแห่งเมืองทะเลมรกตสังหารโพ่เสี่ยวจวิน”

“แต่ผลสุดท้าย ผู้เฒ่าเฉินหายสาบสูญ ตกเป็นที่ต้องสงสัยว่าเป็นไส้ศึกภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขต แต่เจ้ากลับรายงานว่าเจ้าสังหารโพ่เสี่ยวจวินแล้ว”

หวงซวี่ไม่ได้หันศีรษะกลับ เพียงกล่าวอย่างเฉยชา “เจ้าคิดว่าหลังจากข้าได้ฟังข่าวแล้วจะคิดอย่างไร?”

แม้ว่าหวงซวี่จะไม่ได้เคลื่อนไหว ทว่าท่อนยาวสีทองบนหัวเข่าของเขากลับปรากฏพลังมหาศาลแจ่มแจ้ง กดอัดมู่กวงจวินจนไม่กล้ากระดิก

หลังจากมู่กวงจวินเงียบงันไปชั่วครู่ เขาถึงจะกล่าวมา “ข้าช้าไปก้าวหนึ่งพอดี ไม่ทันขัดขวางผู้เฒ่าเฉินโจมตีสังหารโพ่เสี่ยวจวิน แต่โดยรอบเวลานั้นไม่น่ามีผู้อื่น หาไม่แล้วข้าคงไม่ค้นพบ เว้นเสียแต่เป็นยอดฝีมือระดับเดียวกับข้า หรือกระทั่งสูงยิ่งกว่า”

หวงซวี่เอ่ยเรียบเฉย “บางครั้งไม่จำเป็นต้องอยู่ใกล้ ก็มองเห็นเหตุการณ์ในตอนนั้นได้”

มู่กวงจวินเมินเฉย “เช่นนั้นข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว”

“พูดตรงๆ เจ้าคือคนสนิทของข้าเสมอมา แต่ไรข้าเชื่อใจเจ้ามาก เป้าหมายกัดกร่อนของภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขต คนที่ข้าระแวงมาโดยตลอดคือผู่จ้าวจวิน” หวงซวี่เอ่ย

อีกฝ่ายฝืนยิ้มด้วยความเจ็บปวด “ตอนนี้พูดสิ่งเหล่านี้ไปก็ไม่มีประโยชน์แล้ว”

“ก็ถูกเช่นกัน” บนดวงหน้าของหวงซวี่พลันปรากฏรอยยิ้มหลายส่วน “เจ้าเพิ่งบอกว่า แม้ข้าจะไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วประมุขภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตคือผู้ใด แต่เจ้าสามารถยืนยันได้ว่าเขาคือคนในเขากว่างเฉิงอย่างนั้นหรือ?”

มู่กวงจวินหัวเราะเสียงดัง “ไม่ผิดหรอก เป็นเช่นนี้ ข้าไม่จำเป็นต้องโกหกท่าน สงครามใหญ่ของกว่างเฉิงก็น่าจะถึงระดับตึงเครียดที่สุดแล้ว ประมุขภาคีต้องลงมือด้วยตัวเองเป็นแน่ เขาไม่อาจเก็บความลับฐานะตัวตนได้แล้ว และก็ไม่จำเป็นต้องเก็บแล้วเช่นกัน”

“นี่นับว่าเป็นข่าวดีอย่างยิ่งสำหรับท่านไม่ใช่หรือ?”

ภายในโพรงหินห้องหนึ่ง ณ ยอดเขาเรืองรอง หวงเจี๋ย คุณชายจรัสแสงกอบมุกวิเศษเม็ดหนึ่งไว้ในมือ

ในมุกวิเศษปรากฏเห็นภาพบทสนทนาของหวงซวี่กับมู่กวงจวินบนยอดเขาออกมา

หวงเจี๋ยผงกศีรษะด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “เป็นข่าวดีอย่างยิ่งจริงๆ”

——————————