บทที่ 119 เธอเป็นผู้หญิงเช่นไรผมรู้ด

ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง

หลายวันมานี้ ความรู้สึกดีของเธอที่มีต่อหยาดฝนดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นทุกวัน แต่สำหรับเชอร์รีน ก็ลดน้อยลงไปทุกวันเช่นกัน

มือใหญ่ที่แข็งแรงของออกัสแตะลงบนหน้าผากแล้วนวดเบา ๆ จากนั้นจึงพูดขึ้นอย่างเคร่งขรึมว่า : “เรื่องที่แม่อยู่โรงพยาบาลเธอไม่รู้เลยสักนิด ถ้าหากรู้ เธอไม่มีทางนิ่งเฉยเช่นนี้แน่นอน เธอเป็นคนมีเหตุมีผล”

เป็นคนมีเหตุมีผล สุนันท์รู้สึกว่าคำพูดนี้ช่างตลกสิ้นดี แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการออกมา เธอเพียงแค่พูดว่า : “ออกัส ตอนนั้นที่ลูกแต่งงานกับเธอก็เพราะเด็กในท้องไม่ใช่หรือ ถ้าหากเด็กคลอดออกมาแล้ว แล้วลูกคิดจะหย่ากับเธอเมื่อไหร่ล่ะ ?”

ผู้หญิงแบบนี้ ไม่สมควรที่จะเป็นสะใภ้ของตระกูลสิริไพบูรณ์เสียด้วยซ้ำ !

เพิ่งแต่งเข้ามาไม่นาน ก็ทำให้ตระกูลสิริไพบูรณ์ต้องแตกแยกเช่นนี้ หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป แล้วตระกูลสิริไพบูรณ์จะมีสภาพเช่นไร ?

อีกอย่าง ผู้หญิงแบบนี้ก็ไม่คู่ควรกับออกัส หย่าเสียเถอะ ยิ่งเร็วยิ่งดี !

ได้ยินดังนั้น ความหงุดหงิดที่อัดอั้นเอาไว้ก็ปะทุขึ้นมาในหัวใจ ใบหน้าหล่อเหลาของออกัสดูมืดมนลงไปมาก และแสดงท่าทีไม่พอใจออกมา ถึงขั้นนึกปฏิเสธคำพูดนี้อยู่ในใจตามสัญชาตญาณ : “ผมมีแผนการของตัวเองในใจ”

“แล้วแผนการของแกคืออะไร พูดออกมาให้แม่ฟังหน่อยซิ เพราะแม่เองก็มีความคิดอยู่ในใจเหมือนกัน” สุนันท์ถามขึ้นด้วยความอยากรู้ จากนั้นจึงพูดต่อว่า : “แค่เห็นก็รู้แล้วว่าเธอเป็นผู้หญิงเจ้าเล่ห์ นิสัยใจคอของเธอก็ไม่ได้ดีสักเท่าไหร่ คิดแต่จะทำเรื่องเจ้าเล่ห์เพทุบาย รีบหย่าให้เร็วที่สุดถึงจะดี !”

เมื่อได้ยินคำพูดของสุนันท์ที่บรรยายเกี่ยวกับตัวเธอ ออกัสก็ขมวดคิ้ว สีหน้าแฝงไปด้วยความไม่พอใจและเริ่มหมดความอดทน จึงพูดขึ้นว่า

“เธอเป็นผู้หญิงเช่นไร ผมรู้ดีที่สุด……”

“รู้ดี ?” สุนันท์แสดงออกถึงความขุ่นเคืองเล็กน้อย แล้วพูดแสดงความรู้สึกไม่เห็นด้วย : “มีผู้หญิงบางประเภทที่เก็บซ่อนหางของตัวเองเอาไว้อย่างดี ปกติแล้วไม่มีทางโผล่ออกมาให้เห็นเด็ดขาด แม่เคยเจอผู้หญิงที่ปากอย่างใจอย่างมานัดต่อนัด มีอยู่มากมายจนนับไม่ถ้วน”

ผู้หญิงประเภทนั้นเหมือนกับจิ้งจอกเก้าหาง มีหางทั้งหมดเก้าหาง เวลาอยู่ต่อหน้าผู้ชายจะแสดงออกมาเพียงแค่หางเดียว แต่ทว่าด้านหลัง หางทั้งเก้ายังคงรำแพนเหมือนกรงเล็บที่แหลมคม

“เอาล่ะครับ เรื่องนี้พอแค่นี้เถอะ คุณหมอได้พูดหรือเปล่าว่าอาการเป็นอย่างไรบ้าง ?” ออกัสเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที เพื่อหยุดเรื่องนั้นไว้

เมื่อบทสนทนาถูกขัดจังหวะ สุนันท์ก็รู้สึกไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้คิดจะพูดต่อ : “หมอบอกว่าต้องอยู่พักรักษาตัวอีกสักระยะ”

“ครับ……” เขาขานรับ : “ผมจะออกไปคุยกับหมอสักหน่อย……”

หลังจากมองดูออกัสเดินจากไปแล้ว สุนันท์ก็หยิบน้ำอุ่นที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาดื่ม

เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ออกัสไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ อีกทั้งตอนนี้เธอก็ไม่รู้แน่ชัดว่าออกัสรู้สึกอย่างไรกับผู้หญิงคนนั้นกันแน่

บางครั้ง เรื่องบางเรื่องก็ไม่ควรพูดซ้ำหลายครั้ง มิเช่นนั้น อาจทำให้คนอื่นรู้สึกรำคาญและเกิดความรู้สึกต่อต้านขึ้นได้

ดังนั้น จึงจำเป็นต้องหยุดทุกอย่างให้ทันการ

……

เช้าวันรุ่งขึ้น

หลังจากเชอร์รีนลุกขึ้นจากที่นอนและอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว ก็เดินตรงไปที่ห้องครัว อาหารที่เตรียมเอาไว้เมื่อคืนยังคงอยู่ในสภาพเดิม ไม่มีการขยับแม้แต่น้อย นี่แสดงให้เห็นว่าเมื่อคืนเขาไม่ได้กลับมา

ไม่รู้ว่าสัญญาฉบับนั้นของบริษัทสำคัญขนาดไหน ถึงขั้นไม่ยอมกลับบ้านทั้งคืน !

ไม่มีเวลามานั่งคิดเรื่องพวกนั้นอีก เธอรีบเดินตรงไปต้มโจ๊กที่ครัว หลังจากทานเสร็จก็มุ่งหน้าไปที่โรงเรียนทันที

ช่วงนี้ เธอรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าการเคลื่อนไหวของตนเองนั้นไม่กระฉับกระเฉงอย่างเช่นแต่ก่อน จะหยิบจับอะไรก็ดูงุ่นง่านเล็กน้อย

จริงสิ แค่ชั่วพริบตาเดียว เธอก็ตั้งท้องได้สี่เดือนแล้ว และท้องก็น่าจะค่อย ๆ โตขึ้นเรื่อย ๆ

เสื้อผ้าที่อยู่ในบ้านไม่สามารถสวมใส่ได้อีก สองสามวันนี้คงต้องไปเดินเลือกซื้อชุดคลุมท้องแล้ว

ถึงช่วงเที่ยง เชอร์รีนเรียกรถแท็กซี่ไปที่โรงพยาบาล เธอไม่ได้มาทำการตรวจที่โรงพยาบาลเป็นเวลาเดือนกว่าแล้ว วันนี้จึงจำเป็นต้องหาเวลามาที่โรงพยาบาลให้ได้สักครั้ง

เธอไปที่แผนกสูตินรีเวช มีคนอยู่ค่อนข้างเยอะ เธอจึงนั่งรออยู่ที่ม้านั่งยาวด้านข้าง

นอกจากเธอแล้ว บนม้านั่งยาวยังมีพยาบาลอีกสองคนกำลังนั่งพูดคุยกันอยู่

“เอาล่ะเอาล่ะ เดี๋ยวตอนบ่ายค่อยคุยกันใหม่ ตอนนี้ฉันจะไปเปลี่ยนยาให้คุณหญิงตระกูลสิริไพบูรณ์สักหน่อย” มีพยาบาลคนหนึ่งเอ่ยพลางลุกขึ้น

“คุณหญิงตระกูลสิริไพบูรณ์ไหนกัน ? ทำไมต้องเรียกเสียเต็มยศขนาดนี้ด้วย ?” พยาบาลอีกคนพูดขึ้น

“ในเมืองsนี้มีกี่คนที่ถูกเรียกว่าคุณหญิงตระกูลสิริไพบูรณ์กันล่ะ ?” พยาบาลคนนั้นพูดอย่างไม่สบอารมณ์นัก

“จริงด้วย มีทั้งชื่อเสียง มีทั้งอำนาจ มิหนำซ้ำยังมีเงินอีก ดูเหมือนจะมีแค่คุณหญิงตระกูลสิริไพบูรณ์คนนั้นคนเดียว เธอเป็นผู้ป่วยคนสำคัญ เธออย่ามัวชักช้าอยู่เลย รีบไปเถอะ”

คำพูดนี้ได้ยินถึงหูของเชอร์รีน เมื่อได้ยินเธอก็รู้ได้ชัดเจนในทันที คุณหญิงตระกูลสิริไพบูรณ์คนนั้น ก็คือสุนันท์ไม่ใช่หรือ ?

แต่ว่า เธอเข้ามารักษาตัวในโรงพยาบาลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ?

ตามหลักแล้ว เธอควรจะไปเยี่ยมสุนันท์สักครั้ง เพราะไม่ว่าอย่างไรเสีย สุนันท์ก็เป็นแม่สามีในนามของเธอ

แต่ทว่า เธอกับสุนันท์เองก็ไม่ค่อยจะลงรอยกันนัก มีเรื่องขัดแย้งกันอยู่ตลอด หากเธอเข้าไป ก็คงจะไม่แคล้วโดนดูถูกถากถางอีกแน่นอน

แต่เมื่อคิดทบทวนดูแล้ว หากไม่ไปเยี่ยมสักครั้ง ก็คงรู้สึกไม่สบายใจ ถึงแม้จะไม่ลงรอยกัน แต่อย่างน้อยก็ควรรู้จักความมีน้ำใจ

หลังจากตรวจร่างกายเสร็จเรียบร้อย เชอร์รีนก็ตรงไปซื้อกระเช้าผลไม้แถวใกล้ ๆ โรงพยาบาล รวมถึงดอกไม้อีกหนึ่งช่อ

หลังจากถามห้องพักของสุนันท์อย่างชัดเจนแล้ว เธอก็เดินตรงไปทันที ประตูห้องผู้ป่วยเปิดกว้างอยู่ และมองเห็นพยาบาลที่อยู่ด้านในกำลังเดินไปเดินมา

ดังนั้นเธอจึงไม่ได้เคาะประตู เมื่อก้าวเข้าไปด้านใน เธอก็เอ่ยปากเรียกอย่างไม่ค่อยคุ้นชินนัก : “คุณแม่”

ทันทีที่ได้ยิน สีหน้าของสุนันท์เปลี่ยนไปทันที ใบหน้าที่เดิมทีเต็มไปด้วยรอยยิ้มกลับมืดมนลงไปถนัดตา ความรังเกียจที่แสดงออกมาไม่อาจปิดบังเอาไว้ได้ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าพยาบาลจึงไม่อาจแสดงอะไรออกมาได้มากนัก ดังนั้นจึงได้แต่อดกลั้นเอาไว้ แล้วแสดงท่าทีสูงส่ง และไม่สะทกสะท้าน : “มาแล้วหรือ”

“ค่ะ” เชอร์รีนยกมือขึ้นแล้ววางผลไม้ลงข้าง ๆ จากนั้นจึงหันไปถามอาการจากพยาบาลที่ยืนอยู่ด้านข้าง

สุนันท์กลับรู้สึกว่าการกระทำของเชอร์รีนนั้นเป็นการกระทำที่หน้าไหว้หลังหลอก ไม่ได้ประสงค์ดีจริง ๆ ในใจจึงรู้สึกรังเกียจเธอมากยิ่งขึ้น

ทันทีที่พยาบาลเดินออกไป สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปทันที คำพูดก็ไร้ซึ่งความเกรงใจอีกต่อไป : “ออกไป !”

เชอร์รีนขมวดคิ้ว : “คุณแม่คะ กำลังพูดกับหนูอยู่หรือคะ ?”

“ในห้องผู้ป่วยนอกจากเธอแล้วยังมีใครอีกล่ะ ?” สุนันท์ตอบกลับอย่างเย็นชา : “ไม่รู้ว่าพ่อแม่ประเภทไหน ที่สั่งสอนลูกสาวอย่างเธอออกมาได้ !”

เห็นแก่ที่เธออาวุโสกว่า เชอร์รีนจึงไม่คิดถือสา เธอเพียงแค่ถามขึ้นว่า : “คุณแม่อยากทานแอปเปิลไหมคะ ? หนูจะช่วยปอกให้นะคะ !”

“นี่เธอหน้าด้านขนาดนี้เลยหรือ ? ไม่ได้ยินหรืออย่างไรว่าฉันสั่งให้เธอออกไปเดี๋ยวนี้ มีแต่พ่อแม่ที่ไร้มารยาทเท่านั้นแหละ ที่จะสั่งสอนลูกสาวออกมาเช่นนี้ได้ !”

สุนันท์ยิ่งแสดงความเกรี้ยวกราดออกมามากขึ้น คำพูดที่เธอเปล่งออกมาแต่ละคำช่างหยาบคายจนเกินที่จะทนฟัน

ในที่สุดคำพูดนี้ก็ทำให้เชอร์รีนรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา : “คุณแม่เคยพบพ่อแม่ของหนูหรือคะ ? ทำไมถึงได้รู้ว่าพ่อแม่ของหนูนั้นไร้มารยาท ?”

“ผู้ใหญ่กำลังพูดอยู่ เธอมีสิทธิ์พูดแทรกได้อย่างนั้นหรือ ?”

“นั่นก็ต้องดูว่าผู้ใหญ่กำลังพูดอะไรอยู่ ถ้าหากมันเป็นเรื่องจริง หนูก็ไม่มีทางพูดแทรกเด็ดขาด แต่ถ้าหากมันไม่ใช่เรื่องจริง หนูก็มีสิทธิ์ที่จะโต้แย้ง” เชอร์รีนพูดแต่ละคำออกมาด้วยท่าทีเรียบเฉยและชัดเจน

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคำพูดนี้ทำให้ความโกรธเคืองในใจของสุนันท์ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง เสียงของเธอเริ่มสูงขึ้นเล็กน้อย : “ไสหัวไป !”