บทที่ 118 ในใจเต็มไปด้วยความคิดเห็นที่มีต่อเธอ

ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง

“……ขอบคุณสำหรับคำชม ฉันเองก็ต้องขอตัวก่อนนะ !”

เชอร์รีนเองรู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อย เธอเคลื่อนไหวนิ้วมือพิมพ์ตัวอักษรอย่างรวดเร็ว

บทเรียนในตอนนี้มีไม่มากนัก ดังนั้นจึงสามารถเตรียมการสอนอย่างสบาย ๆ ได้ เพราะมีเนื้อหาค่อนข้างน้อย

ภายในห้องโอ่โถงที่เงียบสงัด มีเพียงแค่เสียงเคาะแป้นพิมพ์ของเธอที่ดังก้องกังวานอยู่ภายในห้อง

เมื่อก่อนเธอเองก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่มาตอนนี้กลับรู้สึกว่าเสียงเคาะแป้นพิมพ์ช่างฟังดูชัดเจนและก้องกังวาน

หลังจากผ่านไปอีกสักพัก บทเรียนถูกจัดเตรียมเอาไว้จนเสร็จเรียบร้อย แต่เธอกลับยังไม่รู้สึกหิว จะให้นอนก็คงนอนไม่หลับ ดังนั้น เธอจึงนั่งบนโซฟาแล้วเปิดโทรทัศน์ดู

ไม่ว่าจะเป็นซิทคอม ละคร หรือแม้กระทั่งตลก เธอกลับไม่รู้สึกสนุกเลยแม้แต่น้อย เมื่อเลื่อนไปถึงรายการบรรยายทางกฎหมาย เธอก็กดรีโมทค้างไว้

รายการบรรยายทางกฎหมายกินเวลาไม่น้อย หนึ่งเรื่องกินเวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง

รอจนกระทั่งเชอร์รีนเงยหน้าขึ้นมา และมองดูนาฬิกาควอตซ์ที่สูงจากพื้นจรดเพดานในห้องนั่งเล่น ก็เป็นเวลาสี่ทุ่มครึ่งแล้ว

โดยปกติแล้วเธอจะเข้านอนเวลาสี่ทุ่ม วันนี้เลยเวลาปกติมาแล้ว จนกระทั่งถึงตอนนี้ เธอเพิ่งจะรู้สึกว่าท้องของตนเองเริ่มหิว

เธอหันมองนาฬิกาอีกครั้ง แล้วลุกขึ้นยืน เธอตักข้าวขึ้นมาครึ่งถ้วย และซุปต้มกระดูกอีกหนึ่งถ้วยเล็ก ๆ จากนั้นจึงนั่งลงข้าง ๆ โต๊ะอาหาร แล้วเริ่มรับประทานอย่างเงียบ ๆ

ส่วนประตูห้องก็ยังคงไม่มีเสียงดังจนกระทั่งถึงเวลาห้าทุ่ม

เพราะวันรุ่งขึ้นมีคาบสอน ถ้าหากนอนดึกเกินไป ก็จะกระทบต่อการนอนได้

อาหารที่อยู่ในห้องครัวยังคงถูกอุ่นให้ร้อนอยู่ แต่เมื่อดูจากสถานการณ์แล้ว เขาคงไม่รับประทานอาหารเหล่านี้อีก เธอจึงเดินตรงไปที่ห้องครัวแล้วจัดเก็บข้าวของเหล่านั้นจนเสร็จเรียบร้อย จากนั้นเธอจึงกลับขึ้นไปบนเตียง แต่ยังคงรู้สึกกังวลใจอยู่เล็กน้อย

เธอหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียง เชอร์รีนกดเบอร์โทรศัพท์ขอเขา จากนั้นจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหู แล้วรออย่างเงียบ ๆ

ผ่านไปไม่นานนัก โทรศัพท์ก็ต่อสายติด ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความสุข จากนั้นจึงเอ่ยปากพูดว่า : “คุณจะกลับมาเมื่อไหร่คะ ?”

ตั้งแต่ออกไปจนกระทั่งถึงตอนนี้เป็นเวลากว่าสี่ชั่วโมงแล้ว การประชุมยังไม่เสร็จสิ้นอีกหรือ ?”

“ยังมีโครงการสำคัญอีกหลายโครงการที่จะต้องหารือ คืนนี้คงไม่กลับไปแล้ว……” น้ำเสียงของเขาเคร่งขรึม หากพยายามฟังอย่างละเอียด ก็จะพบว่ามีความหดหู่เล็กน้อยแฝงอยู่ด้วย

เมื่อได้ยินดังนั้น เชอร์รีนก็ผงะไป สักพัก เธอจึงเอ่ยถามขึ้นอีกว่า : “แล้วคุณทานอาหารเย็นหรือยังคะ ?”

“อืม……”

“อย่างนั้นก็ดีแล้วค่ะ ตอนนี้พวกคุณคงกำลังยุ่งอยู่ ฉันคงไม่รบกวนแล้ว ราตรีสวัสดิ์ค่ะ ฉันวางสายก่อนนะ” เธอพูดอย่างแผ่วเบา

“ราตรีสวัสดิ์ คุณหญิงเชอร์รีน……” ดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น น้ำเสียงของเขายังคงแฝงไปด้วยความอ่อนโยนเล็กน้อย

……

ห้องพักผู้ป่วยในโรงพยาบาล

หยาดฝนนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย ใบหน้าของเธอซีดเผือด ไม่มีเลือดฝาดเลยสักนิด แม้แต่เส้นผมที่ปรกลงมาบนหน้าผากก็เปียกปอนไปด้วยเหงื่อ

หลายวันมานี้ไม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ และไม่ได้รับประทานอาหารอย่างเพียงพอ จึงเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบ

ตอนนี้เธอเพิ่งจะผ่าตัดเอาไส้ติ่งออกเรียบร้อย

เมื่อลืมตาขึ้น ก็เห็นเขายืนอยู่ด้านข้างเตียงผู้ป่วย ไม่มีใครเข้าใจความรู้สึกพึงพอใจและรู้สึกมีที่พึ่งพิง ที่ออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจเช่นนั้นได้

แต่ออกัสยังไม่เห็นว่าเธอฟื้นขึ้นมา เพราะเขากำลังหันหลังให้เธออยู่

ปากของเธอขยับเล็กน้อยและกำลังจะพูด โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นมาพอดี เธอเห็นเขาเดินไปรับโทรศัพท์ที่ข้างหน้าต่าง ตอนนี้ใบหน้าที่เคร่งขรึมของเขาดูอ่อนโยนอย่างเห็นได้ชัด

แรกเริ่มไม่รู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุใด น้ำเสียงของเขาจึงฟังดูหดหู่เล็กน้อย

อีกทั้ง เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเขาอยู่ที่โรงพยาบาล แต่กลับบอกปลายวายว่าตนเองกำลังหารือเรื่องโครงการสำคัญอยู่

ในใจของเธอปรากฏความคิดออกมาอย่างหนึ่ง หรือว่าคนที่โทรมาคือเชอร์รีน ?

จากนั้น ประโยคสุดท้ายที่เขาพูดขึ้น ก็เป็นหลักฐานยืนยันอย่างชัดเจนว่าสิ่งที่เธอคิดไว้ในใจนั้นถูกต้อง เธอได้ยินเขาพูดคำสามคำออกมาอย่างชัดเจนและอ่อนโยน คุณหญิงเชอร์รีน……

เธอไม่สบาย เขาก็รีบออกมาจากบ้าน มิหนำซ้ำยังโกหกเชอร์รีน และอยู่ดูแลเธอที่นี่อีกเป็นนานสองนาน หากจะว่ากันตามเหตุผล เธอก็สมควรที่จะดีใจ และมีความสุข แต่ตอนนี้ เธอกลับไม่มีความรู้สึกเช่นนี้เลยสักนิด

นิสัยของออกัสไม่ใช่คนชอบพูดโกหก……

เขาไม่จำเป็นจะต้องโกหกเชอร์รีน เขาสามารถใช้วิธีพูดทั้งสองแบบกับเชอร์รีนอย่างเช่นแต่ก่อนได้ แบบที่หนึ่งคือ เธอไม่มีสิทธิ์ถาม ส่วนแบบที่สองคือ บอกกับเชอร์รีนไปตามตรงว่าเธออยู่โรงพยาบาล

แต่ทว่า เขากลับไม่เลือกใช้ทั้งสองแบบ แต่กลับเลือกที่จะโกหก

ยี่แสดงให้เห็นถึงปัญหาอย่างหนึ่ง เขากำลังพยายามปิดบังความจริงอยู่ ส่วนสาเหตุที่ต้องการปิดบัง คงเป็นเพราะกลัวเชอร์รีนรู้

นี่แสกงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ในใจของออกัสเริ่มรู้สึกบางอย่างกับเชอร์รีน และเริ่มที่จะสนใจความรู้สึกของเธอ

เมื่อก่อน เธอพยายามดื้อรั้นไม่ยอมรับความจริง แต่ตอนนี้เมื่อความจริงมาปรากฏอยู่ตรงหน้าเช่นนี้ หากเธอไม่เชื่อก็คงไม่ได้

มีคำพูดบางอย่างพูดเอาไว้อย่างถูกต้อง เวลาสามารถบ่มเพาะทุกสิ่งได้ รวมถึงความรู้สึก

ออกัสและเชอร์รีนนอนร่วมห้องกันทุกคืน ตอนกลางวันก็ทานข้าวร่วมกัน ด้วยระยะเวลาที่ยาวนานขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองฝ่ายจึงเริ่มคุ้นชินซึ่งกันและกัน

สำหรับเธอแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน

ออกัสโยนโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกงอย่างลวก ๆ จากนั้นจึงหันร่างกายที่สูงโปร่งของเขากลับมา แต่กลับพบว่าหยาดฝนกำลังจ้องมองเขาอย่างครุ่นคิดอยู่ และไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ

“ฟื้นแล้วหรือ ?” เขายิ้มมุมปากแล้วพูดออกมาอย่างแผ่วเบา

“ค่ะ เมื่อกี้เชอร์รีนโทรศัพท์มาหรือคะ ?”หลังจากข่มอารมณ์เอาไว้ ใบหน้าที่งดงามของเธอก็พยายามใช้แรงฝืนยิ้มออกมา

ทันทีที่ได้ยิน คิ้วที่คมเข้มได้รูปของออกัสก็ขมวดขึ้นเล็กน้อย แล้วพยักหน้า

“แต่ว่า ทำไมคุณจะต้องโกหกเชอร์รีนด้วยล่ะคะ ?” หยาดฝนจงใจเอ่ยถามเช่นนี้ เธออยากรู้จริง ๆ ว่าเขาจะตอบกลับเธอเช่นไร !

ไร้ซึ่งคำตอบ แววตาลึกซึ้งของออกัสสั่นไหวเล็กน้อย มีความมืดมนปรากฏขึ้นในดวงตาของเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา : “ดื่มน้ำสักหน่อยไหม ?”

ความผิดหวังปรากฏขึ้นอย่างไม่อาจเก็บซ่อนไว้ได้ หยาดฝนพยักหน้า เขาไม่อยากตอบคำถาม หรือไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี ดังนั้นจึงตั้งใจเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเช่นนี้หรือ ?

เขารินน้ำอุ่นหนึ่งแก้วยื่นให้กับเธอ จากนั้นจึงนั่งลงที่โซฟาด้านข้าง ขาเรียวยาวของเขาไขว้เข้าด้วยกันอย่างสง่างาม ในมือของเขากำลังพลิกอ่านเอกสารของบริษัท

“พี่สะใภ้เองก็เข้าโรงพยาบาลเหมือนกัน คุณรู้ไหมคะ ?” หยาดฝนจิบน้ำเบา ๆ หนึ่งคำแล้วเอ่ยปากขึ้น

ปากกาที่ถืออยู่ในมือหยุดเคลื่อนไหวเล็กน้อย จากนั้นออกัสจึงเงยหน้าขึ้นมาจากเอกสาร : “ตั้งแต่เมื่อไหร่ ?”

“เมื่อวานซืนค่ะ พักอยู่ที่โรงพยาบาลนี้เหมือนกัน หากคุณมีเวลาก็ไปเยี่ยมเธอหน้อย หลังจากเลอแปงจากไปแล้ว เธอเองก็ไม่มีความสุขนัก”

“อืม……” ริมฝีปากบางของเขาส่งเสียงฟึดฟัดออกมาเบา ๆ แล้วพูดว่า : “เดี๋ยวผมจะไปเยี่ยมเธอสักหน่อย”

หลังจากพูดจบ เขาก็ไม่พูดอะไรต่ออีก หยาดฝนเองก็ไม่พูดอะไรเช่นกัน เธอดื่มน้ำอุ่น โดยที่สายตาจับจ้องอยู่ที่เขาตลอดเวลา

ไม่ใช่เพียงแค่สุนันท์คนเดียวเท่านั้นที่ไม่มีความสุข ในใจของเธอเองก็เต็มไปด้วยความทุกข์เช่นกัน แต่ทว่า ความทุกข์ของเธอจะสามารถบอกกับใครได้ ?

บอกใครไม่ได้เด็ดขาด !

ผ่านไปพักใหญ่ ออกัสเดินตรงไปยังห้องพักของสุนันท์

ท้องฟ้ามืดมิดลงมากแล้ว แต่เธอยังนอนไม่หลับ เธอนั่งพิงอยู่ที่หัวเตียง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า สุนันท์ก็หันไปมอง เมื่อเห็นออกัส เธอก็ทำเสียงฟึดฟัดด้วยความโมโหขึ้นมา จากนั้นจึงพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ : “แกยังนึกถึงแม่คนนี้อยู่อีกหรือ แกรู้ได้อย่างไรว่าแม่อยู่โรงพยาบาล ?”

“น้าเป็นคนบอก” ออกัสพูดด้วยน้ำเสียงไม่แยแส แล้วนั่งลงข้างเตียง

“หยาดฝน ?” สุนันท์ขมวดคิ้ว

“ครับ เธอเป็นไส้ติ่งอักเสบ คนรับใช้โทรศัพท์ไปหาผม ผมจึงพาเธอมาส่งโรงพยาบาล เพิ่งจะผ่าตัดเสร็จ” เขาอธิบายออกมาอย่างเรียบง่ายและชัดเจน

“เป็นเช่นนี้นี่เอง”

สุนันท์พยักหน้า แต่กลับบ่นออกมา :

“หลายวันมานี้ลำบากสายฝนแล้ว ต้องคอยช่วยแม่ซื้อหาอาหาร แม่เองเป็นคนเลือกกิน ข้าวเพียงมื้อเดียวทำให้เธอต้องเข้า ๆ ออก ๆ อยู่หลายครั้ง มิหนำซ้ำยังจัดดอกไม้สดให้แม่ในห้อง ทำให้เธอต้องลำบากจริง ๆ นี่ถือว่าดีกว่าคุณหญิงเชอร์รีนของแกหลายเท่านัก แม่สามีป่วย ในฐานะที่เป็นลูกสะใภ้กลับไม่มาเยี่ยมสักครั้ง”