ตอนที่ 912 พูดคุย

Elixir Supplier

912 พูดคุย

เมื่อเทียบกับโรคภัยไข้เจ็บแล้ว คนส่วนใหญ่หวาดกลัวความจนมากกว่า

มันไม่ถึงกับเลวร้ายที่ทํางานหนักจนป่วยไข้ มันสามารถรักษาให้หายได้ แต่ สิ่งที่เลวร้ายก็คือ ถึงจะรู้ว่าต้องแก้ยังไง แต่ก็ยังปฏิเสธที่จะทํามัน แถมพวกเขา ยังทําให้มันแย่ยิ่งกว่าเดิม ไม่ว่าหมอคนหนึ่งจะรักษาได้เก่งแค่ไหน แต่ก็ไม่ สามารถช่วยคนแบบนี้ได้ ถ้าพวกเขาไม่เปลี่ยนความคิดของตัวเอง ก็ไม่มีความ จ่าเป็นที่จะต้องให้การรักษาพวกเขา

“ดื่มชา”

“ขอบคุณ อาจารย์”

ที่โรงงานผลิตยาในเมือง

ในเป็นวันที่มีเมฆมาก

“นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

เมื่อครู่นี้ ชายคนหนึ่งจากเมืองเต๋าเดินทางมาเพื่อซื้อยา เขามาพร้อมกับรถ บรรทุกคันหนึ่ง และต้องการซื้อยาจํานวนมาก ความต้องการซื้อของเขาสามารถเคลียร์สินค้าในโกดังได้ทั้งหมด ความเร็วในการจัดการยาจนหมดโกดังออกจะเร็วไปสักหน่อย ดูเหมือนว่าความกังวลใจก่อนหน้านี้ของพวกเขาจะมากเกินไปยาดูเหมือนจะได้รับความนิยมอย่างมาก

มันจําเป็นที่จะต้องดําเนินการผลิตต่อเลยหรือไม่?

เมื่อเห็นว่ายาที่เพิ่งผลิตออกมาได้ไม่นานหมดไปแล้ว เขาก็พิจารณาว่าควรสั่ง วัตถุดิบในปริมาณมากเพื่อทําการผลิตต่อหรือไม่ แน่นอนว่า เขาไม่มีสิทธิตัดสิน ใจเรื่องนี้ เขาต้องฟังคําสั่งจากเบื้องบนอีกที และเจิ้งเหว่ยจวินก็คือคนที่รับผิดชอบเรื่องพวกนี้ทั้งหมด

เขาใช้ความคิดและรีบติดต่อกับคุณชายของตระกูลเจิ้งที่เขาทํางานให้มา
หลายปี

“อะไรนะ? ขายหมดแล้ว?” เจิ้งเหว่ยจวินก็รู้สึกประหลาดใจเมื่อได้รับข่าว แต่ เมื่อเขารู้ว่าอีกฝ่ายมาจากเมืองเต๋า เขาก็พอจะเดาได้ว่าเป็นฝีมือของคนตระกูลซุน

เขาคิด พวกเขารู้ข่าวเร็วจริงๆ หรือจะเป็นเพราะเชียนเชิง?

ถ้าเป็นแบบนี้ ความกดดันบนตัวเขาก็ลดลงไปมาก

ตระกูลซุนถือได้ว่ามีอํานาจมากล้นอยู่ในเมืองเต๋า ไม่ว่าจะด้านไหนก็ตาม อํานาจของพวกเขาไม่ได้อยู่แค่เมืองเต๋าเท่านั้น แต่มันยังกระจายไปทั่วจังหวัดฉีตระกูลของพวกเขานับว่าเป็นหนึ่งในตระกูลที่ทรงอิทธิพลในจังหวัดฉีที่ติดกับชายฝั่งทะเล

ตอนนี้ อะไรก็ง่ายขึ้นอีกนิด

เจิ้งเหว่ยจวินจุดบุหรี่และมองออกไปนอกหน้าต่าง

ฝนตกอยู่ด้านนอก หิมะตกที่ทางเหนือ แต่มีฝนตกที่ทางใต้

ด้านนอกอากาศเย็นเยียบ

เจิ้งเหว่ยจวินเพิ่มอดีตหุ้นส่วนคนหนึ่งเข้ามา ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยมีความ สัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เขาต้องการความช่วยเหลือจากเพื่อนคนนี้ แต่สุดท้ายแล้ว ท่าทีของอีกฝ่ายกลับทําให้เขาต้องประหลาดใจและยังทําให้เขาปวดใจด้วย

มันไม่ใช่การปฏิเสธ แต่จํานวนยาที่อีกฝ่ายต้องการก็ไม่ต่างจากการปฏิเสธ เขาที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเพื่อนกัน เมื่อทุกอย่างดี พวกเขาก็เป็นมิตรต่อกัน พวกเขา ขาดแค่ก้าวเดียวก็จะกลายมาเป็นพี่น้องร่วมสาบานกันได้แล้ว แต่เมื่อเขาพบเจอกับความยากลําบากและต้องการความช่วยเหลือ ธาตุแท้ของอีกฝ่ายก็ถูกเปิดเผยออกมา

อดีตเพื่อนคิดว่า เจิ้งเหว่ยจวินสูญเสียอํานาจและพ่ายแพ้ในสงครามภายใน ของตระกูลเจิ้ง เขาสูญเสียอํานาจทั้งหมดไป เขาจึงไม่มีคุณค่าพอที่จะเป็นเพื่อน กับอีกฝ่าย แต่อดีตเพื่อนก็ยังคงรักษาสิ่งที่เขาเรียกว่า “หน้าตา” เอาไว้ มันคงฟัง ดูไม่ดีถ้าคนอื่นรู้เข้า เขาจึงสั่งของจากเจิ้งเหว่ยจวินไปจํานวนเล็กน้อย เจิ้งเหว่ ยจวินยิ้มและดื่มชาจนหมด ก่อนจะเอ่ยคําลาและกลับไป

ฮ่ม คนที่ถูกตระกูลทอดทิ้ง มันก็เป็นได้แค่ฝันกลางวันเท่านั้นแหละ ที่คิดจะ ยืนขึ้นได้อีกครั้งด้วยบริษัทยาเล็กๆนั่น!

เขาไม่คิดว่า เจิ้งเหว่ยจวินจะฟื้นคืนกลับมาได้อีกครั้ง ถ้าหากเขายังคงรักษา ความสัมพันธ์กับอีกฝ่าย แล้วผู้กุมอํานาจที่แท้จริงของตระกูลเจิ้งจะคิดยังไง? ในเวลานี้ เขายังจําเป็นต้องพึ่งพาตระกูลเจิ้งเพื่อค่าอาหารในอนาคตของเขาอยู่

เขาถอนหายใจเบาๆ “โทษทีนะ”

“เข้ามา เอาชาพวกนี้ไปเททิ้งซะ น่าเสียดายชาดีดีแบบนี้!”

“คุณชาย?”

“ไปที่บ้านหลังต่อไป” ถึงจะไม่สามารถสังเกตเห็นอาการท้อแท้จากสีหน้าของ เจิ้งเหว่ยจวินได้ แต่ความคิดและอารมณ์ความรู้สึกของเขาไม่ได้สงบอย่างที่เห็นภายนอก

ในหมู่บ้านที่ไกลออกไปหลายพันไมล์

มีหิมะตกลงมาจากท้องฟ้า มันเป็นเวลา 17.30 น.และฟ้าก็มืดสนิทแล้ว

เมื่อหวังเย้ากลับไปถึงที่บ้าน เขาก็เห็นโต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหาร “โอ้โห อาหารเยอะแยะเต็มไปหมด!”

“ล้างมือแล้วมากินข้าว” แม่ของเขาพูด

“แม่ครับ วันนี้มีแขกมาเหรอ?”

“เปล่าหรอก มีแค่เราสามคนนี้ล่ะ”

“อ่อ แต่นี้อาหารมันเยอะมากเลยนะครับ”

“ก็หิมะมันตกลงมา แม่ไม่มีอะไรทําก็เลยทําอาหารเพิ่มอีกสองสามจาน ลูกจะดื่มกับพ่อเขาสักหน่อยก็ได้นะจ๊ะ”

“ได้ครับ ไม่มีปัญหา” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม

ด้านนอก ลมจากทิศเหนือพัดแรงและเกล็ดหิมะโปรยปรายลงมา ด้านใน มันอบอุ่น มีอาหารเลิศรสและเหล้าอย่างดีให้ดื่ม

“พ่อ ชนแก้วครับ”

“เอาสะ” หวังเฟิงฮวายิ้มและชนแก้วกับลูกชายของเขา

“อากาศหนาวๆแบบนี้ ทําอะไรไม่ค่อยได้เลย”

“นั่นสิ”

“คนในหมู่บ้านยิ่งนานก็ยิ่งน้อยลง” จางซิวหยิงพูด “วันนี้ มีคนที่ย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองกลับมา และพูดว่าในเมืองมันดียังไงบ้าง แต่แม่ไม่คิดว่าพวกเขาจะคุ้น ชินกับชีวิตที่นั่นหรอก”

หลังจากฟังแล้ว หวังเย้าก็ทําเพียงแค่ยิ้มและไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้

“ผมคิดว่า หมู่บ้านของเราดีที่สุดแล้วล่ะครับ”

“ใช่ มันดีมากๆ” หวังเฟิงฮวาพูดในขณะที่คีบอาหารขึ้นมา

“จริงสิ เมื่อเช้าลุงยี่หลงของลูกเอากระต่ายมาให้ที่นี่ด้วย”

“อะไรนะครับ? ทําไมเขาถึงเอาของมาให้เราอีกแล้วล่ะ? เขาเพิ่งเอาไก่ให้เราไป ทําไมถึงได้เอากระต่ายมาให้อีก? ใครเป็นคนยิงได้เหรอครับ?”

“เขาจับได้จากโพรงใต้ดินน่ะ”

“จริงเหรอครับ? แสดงว่าเขาต้องขึ้นไปจับจากบนเขาแน่เลย”

ผู้เฒ่าผู้แก่หลายคนในหมู่บ้านสามารถคาดเดาการทําโพรงของกระต่ายได้
จากคําพูดของคนสมัยก่อน สัตว์เหล่านี้มักมีเส้นทางที่กําหนดไว้แล้ว และไม่ เปลี่ยนง่ายๆ เมื่อพวกเขาเข้าใจมัน พวกเขาก็จะสามารถจับพวกมันได้โดยการ ดักรอที่ทางผ่านของพวกมัน แน่นอนว่า มันต้องมาจากประสบการณ์ที่สั่งสมมานานหลายปีด้วย

“พ่อว่า สีหน้าของเขาดีกว่าเมื่อก่อนมากเลยนะ” หวังเฟิงฮวาพูด

“ใช่ครับ มันดีขึ้นมาก แล้วเขาก็ใกล้จะหายดีแล้วด้วย”

“ใกล้จะหายดี? ลูกไม่ใช่บอกว่าเขาป่วยหนักมากหรอกเหรอ?” จางซิวหยิงถาม

นั่นคือคําพูดที่ชาวบ้านมักใช้พูดถึงโรคที่รักษาไม่หาย เช่นโรคมะเร็ง

“มันเป็นโรคนั้นจริงๆครับ แต่มันสามารถรักษาได้

“ลูกรักษาโรคนั้นได้ด้วยเหรอ?” หวังเฟิงฮวาตกใจเช่นกัน

“เอ่อ ครับ” หวังเย้าพยักหน้า

พ่อแม่ของเขาอยู่ในอาการตกตะลึงเป็นเวลานาน

พวกเขาไม่ได้รู้ว่า ฝีมือการรักษาของลูกชายนั้นดีแค่ไหน แต่ในช่วงนี้ มีหลาย คนที่เดินทางมาที่หมู่บ้านเพื่อรักษากับเขาแทบทุกวัน ด้วยจํานวนของผู้มาเยือนโดยเฉพาะพวกเขาหลายคนที่เดินทางมาจากเมืองและจังหวัดอื่น มันจึงทําให้ ทั้งสองรู้ว่าลูกชายของพวกเขาต้องมีฝีมือการรักษาที่ยอดเยี่ยมมากแน่ ชาวบ้าน ในหมู่บ้านได้พูดเกี่ยวกับเรื่องลูกชายของพวกเขาอยู่บ่อยครั้ง แต่คนพวกนั้นล้วน เต็มไปด้วยความอิจฉา แน่นอนว่า มีบางคนที่ซุบซิบนินทา แต่ก็นับเป็นส่วนน้อย พ่อแม่ของหวังเย้าจึงรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเขา แต่พวกเขาก็คิดไม่ถึงว่า ความสามารถของลูกชายพวกเขาจะไปถึงจุดที่สามารถรักษาโรคชนิดนั้นได้

“ดี!” หวังเฟิงฮวาพยักหน้า

มันเป็นเรื่องดีที่มีความสามารถ แต่ถ้าความสามารถนั้นสูงเกินไป มันก็ทําให้คนรู้สึกเป็นกังวลได้

“กินเถอะ”

“มา ชนแก้ว!” หวังเฟิงฮวาชูแก้วของเขาขึ้น

สองพ่อลูกดื่มไปมาก

ภายในหุบเขาพันโอสถที่ห่างออกไปหลายพันไมล์

หลู่ซิ่วเฟิงที่เมาจนหัวราน้ําก็สร่างเมา พวกเขาใช้เวลาทั้งวันไปกับการเดินไป รอบๆหุบเขาและขึ้นไปบนเขา สอบถามผู้คนที่พวกเขาพบเจอ แน่นอนว่า มีเมี่ยว ชิงเฟิงคอยอยู่กับพวกเขาตลอดเวลา เพราะพวกเขาไม่เข้าใจสําเนียงท้องถิ่นของที่นี่ และไม่สามารถสื่อสารกับคนในหุบเขาให้เข้าใจได้

คืนนี้ มีการจัดเลี้ยงต้อนรับอีกครั้ง แต่เป็นคําเชิญจากเดี่ยวชิงเฟิง ความ หรูหราของอาหารการกินเทียบไม่ได้กับคืนก่อนหน้า เขาไม่สามารถทําอะไรเกิน หน้าเกินตาอาจารย์ได้ แต่รสชาติอาหารก็ยังคงอร่อยเหมือนเช่นเคย เหล้าก็ รสชาติดี หลู่ซิ่วเฟิงดื่มหนักอีกครั้ง

“ผมขอโทษ ต้องขอโทษด้วยจริงๆที่ให้คุณต้องมาเห็นภาพน่าอายแบบนี้”หยางกวนเฟิงพูด

“ไม่เห็นเป็นไรเลยครับ ผู้กองหลู่เป็นตัวของตัวเองดี” เมี่ยวชิงเฟิงพูดด้วยรอยยิ้ม

หลังจากที่พวกเขาให้คนช่วยหยางกวนเฟิงพาหลู่ซิ่วเฟิงกลับไปที่ที่พักของพวกเขาแล้ว เขาก็นําซุปแก้เมาค้างมาให้

หลังจากที่คนอื่นๆกลับออกไปหมดแล้ว หลู่ซิ่วเฟิงที่นอนอยู่บนเตียงก็พูด พึมพําออกมา “เฮ้อ เหล้านี่ดีจริงๆ ทําไมคุณไม่ดื่มให้เยอะสักหน่อยล่ะ?” “
เอาล่ะ ลุกขึ้นมาดื่มซุปได้แล้ว” หลังจากนอนอยู่บนเตียงได้สักพัก เขาก็ลุก ขึ้นและดื่มซุปหมดไปเกือบครึ่ง

“วันนี้คุณเจออะไรบ้าง?”

“มีบางอย่างผิดปกติในทะเลสาบอันเฉิน”

“คุณก็สังเกตเห็นเหมือนกันสินะ”

“ใช่ คุณคิดว่ามันมีปัญหาตั้งแต่ที่มาครั้งก่อนใช่ไหม?”

“ใช่ แต่ผมหาไม่เจอว่ามันผิดปกติที่ตรงไหน” หยางกวนเฟิงพูด ตอนที่เขายืน อยู่บนเขาครั้งก่อน เขาก็รู้สึกว่าทะเลสาบนั้นผิดปกติ แต่เขาก็บอกไม่ได้ว่ามันผิดปกติที่ตรงไหน

หลู่ซิ่วเฟิงตบต้นขาของตัวเองและพูดว่า “ปัญหาก็คือ ปลาจากทะเลสาบนั้นมันอร่อยสุดๆไปเลยน่ะสิ!”

“คุณช่วยเป็นการเป็นงานหน่อยได้ไหม?”

“ก็ได้ บอกตามตรง ความรู้สึกของผมบอกว่ามีคนตายอยู่ในทะเลสาบนั้น และมีมากกว่าหนึ่งคนด้วย” หลู่ซิ่วเฟิงพูด

“แล้วหลักฐานล่ะ?”

“ก็เหมือนกับคุณ ผมไม่มีหลักฐานอะไรเลย มันเป็นแค่สัญชาตญาณของผู้ชายคนหนึ่งเท่านั้น” หลู่ซิ่วเฟิงแบมือทั้งสองข้าง

“เฮ้อ หลับก่อน แล้วค่อยคิดว่าจะทํายังไงต่อพรุ่งนี้แล้วกัน” หลู่ซิ่วเฟิงที่นอนอยู่บนเตียงกระซิบ “อืม ผมสงสัยว่า ทําไมคนที่ส่งข้อความให้คุณครั้งก่อนถึงไม่ปรากฏตัวออกมา?”