ตอนที่ 336 คิดได้แล้ว
ตอนที่ 336 คิดได้แล้ว

  

“มันก็ไม่ได้แพงมากมายอะไรหรอก พวกเราไม่ต้องสนใจเรื่องขยะจากโรงเต้าหู้เลยด้วย” พี่สามจ้าวพูดอย่างมีเหตุผล “สามารถพูดได้ว่า หลังจากนี้พวกเราแค่ดูแลเรื่องสุขอนามัยภายในโรงเต้าหู้ก็พอ ส่วนด้านนอกไม่ต้องสนใจ หนึ่งปีเชียวนะ เจ้าหกยังต้องจ่ายเงินจ้างคนด้วย คำนวณแบบนี้ก็ไม่แพงหรอก”

 

พี่สะใภ้สามจ้าวอดไม่ได้ที่จะพูดไปว่า “แต่คุณพูดเองไม่ใช่เหรอว่าต้องขนไปที่บ่อของเสียเอง แล้วด้านนอกโรงเต้าหู้มันจะไปมีขยะอะไรล่ะ”

ดูเหมือนว่าจะเป็นแบบนี้ พี่สามจ้าวค่อย ๆ ครุ่นคิดก็รู้สึกได้ถึงรสชาติ เจ้าหกคนนี้ร้ายเกินไปแล้ว!

พี่สะใภ้สามจ้าวเห็นสีหน้าของเขาดูไม่สู้ดี จึงได้สติกลับมา กล่าวว่า “แต่พอมาคำนวณดูแล้วก็คุ้มสำหรับพวกเรานะ”

พี่สามจ้าวรีบถาม “ยังไง?”

 

พี่สะใภ้สามจ้าวพยายามอดกลั้นไม่ให้ตัวเองกลอกตาใส่เขา กล่าวเสียงเรียบว่า “ฉันได้ยินมาว่า การตั้งแผงลอยสักที่ไม่ได้มีความยุติธรรมเลย ถ้าคนนี้ไม่เอาเงินก็เป็นคนนั้นมาเอาเงิน แถมยังมีเหตุผลกันทั้งนั้น เอามารวมกันก็ได้ไม่เท่าไร เงินทั้งหมดก็ให้คนพวกนั้นหมด เดิมทีพวกเรามีปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่ในบ้าน ตอนนี้เปิดโรงเต้าหู้อย่างเป็นทางการแล้ว หลังจากนี้คนพวกนี้ก็คงมาขอเงินถึงที่ ถึงเวลานั้นก็คงต้องรบกวนน้องหกอีกเยอะเลย”

พี่สามจ้าวพยักหน้า “ใช่ ผมก็คิดแบบนี้แหละ ถึงได้ตอบตกลงที่จะให้เงินไปสิบหยวน ไม่งั้นผมไม่ทำหรอก!”

  

พี่สะใภ้สามจ้าวมั่นใจว่า ตอนนั้นพี่สามจ้าวไม่คิดว่าเงินสิบหยวนแพง ตอนนี้หลังจากถูกหล่อนเรียกสติก็คิดว่าราคานี้แพงแล้ว แต่ในเมื่อจ่ายให้อีกฝ่ายไปแล้ว ต่อให้เสียใจในภายหลังมากกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์

 

หล่อนเองก็แอบรู้สึกเสียดายนิดหน่อย จะพูดเรื่องนี้ให้มากมายไปทำไมกัน จ้าวเหวินเทาก็ไม่ใช่ใครอื่น อย่าว่าแต่สิบหยวนเลย ต่อให้เป็นยี่สิบหยวนก็สมควรให้ ก่อนหน้านี้ก็ให้ของกินกับพวกลูก ๆ ไปไม่น้อย ตอนนี้ยังช่วยนู่นช่วยนี่อีกไม่รู้ตั้งเท่าไร ตอนนี้เปิดโรงเต้าหู้แล้ว หลังจากนี้คงได้มีเรื่องให้น้องหกช่วยอีกมาก พี่สามจ้าวขี้งกแบบนี้ยังจะหวังอะไรได้?

“ตอนนั้นที่คิดไว้ว่าจะสร้างโรงเต้าหู้ที่หน้าฟาร์มกระต่ายของน้องหก คุณก็วางแผนไว้แบบนี้ไม่ใช่เหรอ?” พี่สะใภ้สามจ้าวกล่าว “พ่อกับแม่ก็อยู่ที่นั่น แถมยังมีคนอีกตั้งเยอะแยะ ไม่ทำเต้าหู้ก็ไม่ต้องไปดู หมดห่วงได้ตั้งเยอะ”

  

“ใช่” พี่สามจ้าวไม่ได้ขัดใจกับเงินสิบหยวนนั่นแล้ว เขากินผักกาดขาวดองเค็มพลางกล่าว “อันที่จริงยังมีอีกสาเหตุหนึ่งที่ไปสร้างโรงเต้าหู้ที่นั่น เรื่องนี้ต่างหากล่ะที่สำคัญที่สุด!”

 

พี่สะใภ้สามจ้าวเห็นท่าทางภาคภูมิใจของสามี จึงบุ้ยปากถาม “สาเหตุอะไร?”

 

“เจ้าหกเป็นคนดวงดีไง!” พี่สามจ้าวหัวเราะหึหึ “พ่อพูดเสมอว่า ตอนที่เจ้าหกคลอดออกมาพ่อก็ฝัน ฝันเห็นปลาคาร์พตัวใหญ่ตัวหนึ่ง ใหญ่มากเลยนะ โชคก็ต้องดีมากอยู่แล้ว! ผลลัพธ์ที่ได้คุณเห็นไหมล่ะว่าตอนนี้เจ้าหกร่ำรวยแล้ว สร้างบ้านหลังใหญ่ ฟาร์มกระต่ายยังใหญ่โตขนาดนั้น คุณว่าใครจะมีความสามารถเท่าเขาอีก! พวกเราไปอยู่กับเขา เกาะแต้มบุญเขาสักหน่อยก็ต้องดีกว่าตอนนี้อยู่แล้ว!”

 

พี่สะใภ้สามจ้าวอ้าปากค้าง หล่อนคิดไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่าแม้แต่เรื่องนี้สามีก็ยังคิดได้!

เรื่องที่น้องหกดวงดีหล่อนเองก็เคยได้ยินมาแล้ว เรื่องนี้คุณพ่อจ้าวและคุณแม่จ้าวก็เคยพูดถึง ตอนที่ยังไม่ได้แยกบ้าน น้องหกพาพวกเด็ก ๆ ขึ้นเขาไปหาของกิน ก็จะได้ของกลับมาทุกครั้ง แต่คนอื่นกลับไม่ได้เป็นแบบนั้น หากเป็นแค่ครั้งสองครั้งคงไม่เป็นอะไร แต่เขากลับเป็นเช่นนี้ทุกครั้ง นอกจากเรื่องดวงดีแล้วก็คงไม่มีอย่างอื่นให้อธิบายแล้วล่ะ

  

เพียงแต่หล่อนกลับไม่ได้เห็นความสำคัญอะไร ที่ชีวิตของน้องหกดีขึ้น หล่อนก็คิดว่าเป็นเพราะน้องหกทำงานอย่างหนัก เขาออกไปข้างนอกตลอดทั้งปีโดยไม่หยุดพัก การที่จะมีชีวิตดี ๆ ก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว

แต่คิดไม่ถึงเลยว่าสามีของหล่อนจะคิดว่าน้องหกมีชีวิตดี ๆ ได้เพราะโชคช่วย ทั้งยังคิดจะเกาะแต้มบุญอีก สิ่งนี้ทำให้หล่อนหมดคำพูดจริง ๆ

“ที่น้องหกมีชีวิตดี ๆ ได้มันไม่ได้พึ่งดวงอย่างเดียวหรอก เขาออกไปค้าขายข้างนอกก็เหนื่อยมากเหมือนกัน” พี่สะใภ้สามจ้าวกล่าว “การใช้ชีวิตให้พึ่งแต่ดวงอย่างเดียวไม่ได้หรอกนะ”

“แล้วผมไม่เหนื่อยรึไง? พวกเราไม่เหนื่อยเหรอ?” พี่สามจ้าวย้อนถาม “มีใครไม่เหนื่อยบ้าง ทำไมถึงมีแต่เขาที่ได้สร้างบ้านดี ๆ แบบนั้น ไหนจะฟาร์มกระต่ายอีก? ชีวิตแบบนี้ไม่สามารถพึ่งดวงเพียงอย่างเดียวได้ แต่ถ้าไม่มีดวงก็ไม่ได้เหมือนกันนั่นแหละ”

หม่าต้านรีบพูดเสริมหนึ่งประโยค “คุณครูของพวกเราบอกว่า อัจฉริยะคือพรสวรรค์ 1% รวมกับหยาดเหงื่ออีก 99% แต่ถ้าไม่มีพรสวรรค์ 1% นั้น ต่อให้เสียเหงื่อมากกว่านี้ก็เสียเปล่า!”

หม่าต้านพูดจบ พี่สามจ้าวกับพี่สะใภ้สามจ้าวก็ชะงักไป รีบหันขวับไปมองลูกชาย เอ้อร์หยามองพ่อกับแม่แล้วก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตากินข้าวอย่างจริงจัง

หม่าต้านหน้าแดง “พ่อกับแม่มองผมแบบนั้นทำไม นี่เป็นคำพูดของคุณครู ผมไม่ได้พูดสักหน่อย!”

 

“ครูของเธอพูดได้ดี!” พี่สามจ้าวใช้ฝ่ามือตบไปที่ศีรษะของลูกชาย “ไอ้ลูกชาย ครูของเธอเป็นคนมีความรู้ เธอต้องเชื่อฟังคำพูดของครู ตั้งใจเรียนหนังสือนะ!”

 

“อีกฝ่ายเป็นครู ก็ต้องเป็นคนมีความรู้อยู่แล้ว” พี่สะใภ้สามจ้าวอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น

  

หม่าต้านมีความสุขขึ้นมาแล้ว “นั่นน่ะสิ คุณครูของพวกเรารู้หลายอย่างเลย!”

 

“ครูคนไหนเป็นคนพูดคำพูดนี้กับเธอ?” พี่สามจ้าวพูดด้วยความสงสัยใคร่รู้ เพราะหม่าต้านมีครูสองคน

 

“ครูจ้าวเป็นคนบอก!” หม่าต้านพูด

“ครูจ้าว แหม ที่แท้ก็เป็นคนบ้านเรานี่เอง!” พี่สามจ้าวพูดด้วยรอยยิ้ม

“จ้าวเหวินจื้อสินะ?” พี่สะใภ้สามจ้าวถาม

 

หม่าต้านพยักหน้า “ใช่ คุณครูจ้าวเหวินจื้อของหมู่บ้านเรานี่แหละ”

เสียงหัวเราะของพี่สามจ้าวชะงัก ก่อนจะพูดกับพี่สะใภ้สามจ้าวอีกครั้งว่า “คุณเห็นรึยัง จ้าวเหวินจื้อกับเจ้าหกสนิทกัน คนที่เจ้าหกรู้จักมีแต่คนมีความรู้ทั้งนั้นเลย ดวงดีชะมัด!”

พี่สะใภ้สามจ้าวถึงกับหมดคำพูด

  

พี่สามจ้าวหันไปกำชับกับลูก ๆ ทั้งสองคน “เมื่อกี้คำพูดที่บอกว่าดวงของอาหกพวกเธอดี พวกเธอห้ามเอาไปพูดสุ่มสี่สุ่มห้าข้างนอกนะ คนอื่นรู้ขึ้นมาคงได้ไปแบ่งความโชคดีจากอาหกของเธอหมด ถึงเวลานั้นคงไม่มีส่วนแบ่งของพวกเราแล้ว ดวงของอาเล็กก็จะถูกแบ่งจนหมดเกลี้ยงด้วย เข้าใจไหม!”

 

หม่าต้านรีบพูด “ผมไม่พูดอยู่แล้ว ผมไม่บอกใครทั้งนั้นแหละ!”

“เธอล่ะ เอ้อร์หยา?” พี่สามจ้าวหันไปมองลูกสาว

เอ้อร์หยาก็รีบพูดว่า “หนูก็ไม่บอกเหมือนกัน”

เรื่องโรงเต้าหู้ของพี่สามจ้าวดังไปถึงหูพี่สะใภ้สี่จ้าวแล้ว

“พี่สามเปิดโรงเต้าหู้แล้ว พวกเราเป็นไงล่ะ ไม่มีอะไรสักอย่าง!” พี่สะใภ้สี่จ้าวพูดไปเรื่อย “ลูกสาวสามคนมีแต่ตัวผลาญเงินทั้งนั้น ไม่มีประโยชน์สักคน มีสามีสักคนก็ไม่ได้เรื่อง ฤดูหนาวยาวนานขนาดนี้แต่กลับเอาแต่อยู่เฉย ๆ ไม่ออกไปหาเงินสักนิดเลย คิดว่าตัวเองเป็นนายท่านจริง ๆ สินะ ถึงได้ฝากความหวังไว้ที่ฉัน ฉันนี่มันโคตรซวยเลย!”

พี่สี่จ้าวฟังเสียงบ่นฉอด ๆ ของพี่สะใภ้สี่จ้าว จึงตอบไปหนึ่งประโยคอย่างเกียจคร้าน ก่อนจะขึ้นรถไปขนฟืน ตอนที่มาถึงหน้าหมู่บ้านก็เห็นเหล่าหวังสามกำลังไปแบกฟืนอยู่พอดี

“ไปแบกฟืนเหรอ!” เหล่าหวังสามทักทาย

พี่สี่จ้าวยิ้ม “ใช่ นายก็เหมือนกันสินะ?”

“ใช่ ใช้โอกาสตอนที่อากาศยังไม่หนาวน่ะ ฟืนที่อยู่บนเขายังมีอีกเยอะ ว่าจะไปขนสักสามสี่เที่ยว!” เหล่าหวังสามตอบ

ทั้งสองคนลากรถไปพลางก็พูดคุยไปพลาง

“พี่สามของนายเปิดโรงเต้าหู้แล้ว นายไม่มีความคิดอะไรเลยเหรอ?” เหล่าหวังสามเหวี่ยงแส้พลางกล่าว

 

“ฉันจะมีความคิดอะไรได้!” พี่สี่จ้าวตอบ “ฉันทำเต้าหู้ไม่เป็นสักหน่อย!”

“แต่นายสานตะกร้าได้นี่” เหล่าหวังสามพูดด้วยรอยยิ้ม

“ตะกร้าสานมีใครทำไม่เป็นบ้าง เด็กในหมู่บ้านเราใคร ๆ ก็ทำเป็นกันทั้งนั้น ไม่เหมือนกับทำเต้าหู้สักหน่อย” พี่สี่จ้าวตอบ

เหล่าหวังสามเอ่ย “ถึงจะพูดแบบนี้ แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับคนนะ ถ้าให้จ้าวเหวินเทาน้องชายของนายไปช่วยขาย ต้องขายดีกว่าคนอื่นแน่นอน!”

พี่สามจ้าวเป็นคนขายเต้าหู้ ส่วนพี่สี่จ้าวเป็นช่างฝีมือ สานกระด้ง สานชะลอม สานตะกร้า เขาล้วนสามารถสานออกมาเป็นลวดลายได้ แต่ถ้ามีปริมาณมากเขาก็จะสานแบบปกติ เพราะขี้เกียจใช้สมอง

……………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

พี่สี่จ้าวได้ความคิดหรือยังคะว่าจะทำอะไร งานจักสานก็ไม่เลวเลยนะ

ไหหม่า(海馬)