ตอนที่ 337 เสี่ยวไป๋หยางพูดได้แล้ว
ตอนที่ 337 เสี่ยวไป๋หยางพูดได้แล้ว

“ขายอะไรกัน ฉันก็ไม่ได้ขาดแคลนเงินส่วนนั้นสักหน่อย” พี่สี่จ้าวกล่าว “ฉันมีลูกสาวสามคน พอโตขึ้นมาก็แต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝา ไม่ต้องเก็บเงินไว้แต่งงานและสร้างบ้าน”

“ไม่มีลูกชายไม่ได้หรอกนะ แก่ตัวไปใครจะเลี้ยงดูนายล่ะ!” เหล่าหวังสามกล่าว

“เลี้ยงดูตอนแก่อะไรกัน แก่ตัวไปจะมีชีวิตได้อีกสักกี่ปี ไม่ต้องให้ใครมาดูแลตอนแก่หรอก!” พี่สี่จ้าวกล่าว “ตอนที่อู่หยาคลอดออกมา ฉันก็คิดได้อย่างสมบูรณ์เลย จะลูกชายหรือลูกสาวก็เหมือนกันนั่นแหละ!”

  

“นายยอม แล้วภรรยานายจะยอมเหรอ?” เหล่าหวังสามได้ยินสะใภ้สี่จ้าวบอกว่าจะคลอดลูกอีกคน ถ้ายังไม่ได้ลูกชายหล่อนก็จะคลอดไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะได้ลูกชายถึงจะหยุด

พี่สี่จ้าวกล่าว “หล่อนอยากคลอดก็ให้หล่อนคลอดเอง!”

 

เหล่าหวังสามหัวเราะร่า “ดูนายพูดเข้า ไม่มีนายสักคน หล่อนจะท้องได้ยังไง!”

 

พี่สี่จ้าวหัวเราะหึหึออกมา

ผู้ชายในชนบทเมื่ออยู่ด้วยกัน ก็จะพูดคุยกันแบบนี้แหละ

  

พี่รองจ้าวและพี่สะใภ้รองจ้าวเริ่มทำเต้าหู้ให้พี่จ้าวสามแล้ว ตอนนี้พี่จ้าวสามเปิดโรงเต้าหู้แล้ว ภายในใจของพี่สะใภ้รองจึงรู้สึกอิจฉาอย่างมาก

“น้องสามเปิดโรงเต้าหู้แล้ว นี่เพิ่งจะสองปีเองมั้ง ได้เงินเยอะขนาดนี้แล้วเหรอ?” พี่สะใภ้รองจ้าวกล่าว

“ผิดแล้ว” พี่รองจ้าวตอบ “เงินที่สร้างโรงเต้าหู้ต้องคืนหลังฤดูใบไม้ร่วงปีหน้า ที่ดินนี้ก็ต้องคืนเงินให้ครบภายในสองปี ส่วนอื่นก็ไม่มีอะไรให้จ่ายแล้ว”

พี่สะใภ้รองจ้าวกลับไม่ปล่อยวาง “ต่อให้ยืมก็เป็นธุรกิจนะ”

 

“คุณเองก็มีธุรกิจแล้วไม่ใช่เหรอ?” พี่รองจ้าวถาม

 

“อีกฝ่ายมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ส่วนพวกเราทำงานให้ธุรกิจคนอื่น มันเหมือนกันซะที่ไหน!” พี่สะใภ้รองจ้าวไม่พอใจ

  

น้องหกจ้าวเหวินเทามีชีวิตดีขึ้นแล้ว ตอนนี้ชีวิตของน้องสามก็ดีขึ้นอีกคน ส่วนหล่อนล่ะ จนถึงตอนนี้ทำได้แค่กินให้อิ่มท้อง มีเสบียงอาหาร แต่อย่างอื่นกลับไม่มีอะไรเลย

 

“คุณอยากทำธุรกิจอะไร?” พี่รองจ้าวฟังน้ำเสียงของภรรยาออก

“ฉันเป็นผู้หญิงจะทำอะไรได้ บอกว่าอยากทำอะไรก็ต้องฟังความเห็นจากสามีในบ้านอยู่ดี” พี่สะใภ้รองจ้าวมองพี่รองจ้าว

 

พี่รองจ้าวส่ายหน้า “พอเลย คุณไม่ต้องมามองผม ผมไม่ได้มีความสามารถนั้น!”

พี่สะใภ้รองจ้าวเริ่มโมโห แต่หล่อนก็จนปัญญา สามีเป็นคนซื่อสัตย์ ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง!

 

ตอนนี้เย่ฉูฉู่กำลังเก็บผลไม้และผักส่วนหนึ่งมาตากแดดไว้ให้แห้ง แม้ว่าในฤดูหนาวจ้าวเหวินเทาจะนำผักใบเขียวมาขาย และในบ้านก็ไม่ได้ขาดแคลนผักใบเขียว แต่เย่ฉูฉู่ก็ยังตากผักแห้งไว้ส่วนหนึ่ง ไว้เปลี่ยนชนิดของผัก 3-4 วันครั้ง ไม่เพียงแต่เปลี่ยนรสชาติ แต่ยังช่วยประหยัดได้นิดหน่อยด้วย

 

นี่ก็คงเป็นเหมือนที่โจวหมิ่นพูดไว้ ยิ่งมีเงินก็ยิ่งเสียดายจนไม่อยากใช้จ่าย จากรายได้ของเย่ฉูฉู่แล้วเธอสามารถกินผักใบเขียวในฤดูหนาวได้ แต่เธอกลับไม่ได้ทำแบบนั้น

“เสี่ยวไป๋หยาง ทำอะไรอยู่จ๊ะ?” เย่ฉูฉู่คุ้นชินกับการพูดคุยกับลูกขณะทำงาน

“แม่!”

จู่ ๆ เสี่ยวไป๋หยางก็เปล่งเสียงออกมา

เย่ฉูฉู่ถึงกับตกใจจนรีบวางงานในมือโดยเร็ว เธอหมุนตัวกลับไปมองลูกชายและพูดด้วยความแปลกใจว่า “เสี่ยวไป๋หยาง หนูพูดได้แล้วเหรอ? หนูเรียกแม่ได้แล้ว!”

เสี่ยวไป๋หยางปรบมือหัวเราะชอบใจ

เย่ฉูฉู่ย่อตัวลง มองหน้าลูกชายและพูดทดสอบ “เสี่ยวไป๋หยาง พูดใหม่ซิลูก แม่ แม่…แม่!” หลังจากนั้นเธอก็มองลูกชายอย่างรอคอย

  

“แม่!” เสี่ยวไป๋หยางเปล่งเสียงเรียกอย่างชัดเจน

เย่ฉูฉู่ซึ้งใจจนน้ำตาเกือบไหลลงมา เธอเข้าไปอุ้มลูกชายพร้อมกับหอมแก้ม “เสี่ยวไป๋หยางเรียกแม่ได้แล้ว เยี่ยมจริง ๆ เยี่ยมมากเลย! มา ลูกชายของแม่ เรียกใหม่อีกทีสิจ๊ะ…แม่!”

 

“แม่!” เสี่ยวไป๋หยางส่งเสียงเรียก

 

ในเวลานี้ลิงน้อยก็กระโดดเข้ามา ถูตัวเข้ากับรถเข็นเด็ก เสี่ยวไป๋หยางเห็นลิงน้อย จึงส่งเสียงเรียกด้วยเสียงดังฟังชัด “ไฉ!”

เย่ฉูฉู่ดีใจมากอีกครั้ง “เสี่ยวไป๋หยางเรียกไฉไฉได้แล้ว เก่งมากจริง ๆ!”

แม้จะเปล่งเสียงได้แค่พยางค์เดียว แต่นี่ก็ทำให้เธอที่เป็นแม่มีความสุขแล้ว

เสี่ยวไป๋หยางเห็นแม่ของเขามีความสุขขนาดนี้ เขาก็หัวเราะออกมาไม่หยุด

“มาจ้ะ เรียกพ่อสิลูก พ่อ…พ่อ!” เย่ฉูฉู่สอนเขา

เสี่ยวไป๋หยางอ้าปากแต่กลับพูดว่า “แม่!”

“ลูกชายแม่ดีจริง ๆ มาลูก พูดใหม่อีกครั้งสิจ๊ะ?” เย่ฉูฉู่ได้ฟังก็ถึงกับติดใจ

 

เย่ฉูฉู่สอนเสี่ยวไป๋หยางให้เรียกแม่และพ่อครั้งแล้วครั้งเล่า แรกเริ่มเสี่ยวไป๋หยางให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี แต่ภายหลังกลับหงุดหงิดแล้ว เขาไม่อ้าปากพูดอีกแล้ว เย่ฉูฉู่จึงจนปัญญาทำได้เพียงแค่ให้เขาพูดคำอื่น น่าเสียดายที่เสี่ยวไป๋หยางไม่ได้พูดอะไรอีก แม้แต่แม่ก็ไม่เรียกแล้ว

ตอนค่ำจ้าวเหวินเทากลับมา เย่ฉูฉู่ก็เล่าเรื่องที่ลูกชายเรียกนางว่าแม่ให้เขาฟังด้วยความตื่นเต้น จากนั้นก็พูดกับเสี่ยวไป๋หยางว่า “เสี่ยวไป๋หยาง เรียกแม่สิลูก! แม่…แม่!”

 

ผลลัพธ์ที่ได้เสี่ยวไป๋หยางกลับหันมองลูกลิงแล้วเปล่งเสียงเรียก “ไฉ!”

เย่ฉูฉู่ถึงกับใบหน้าดำอึมครึม เด็กคนนี้ทำไมถึงไม่เล่นไปตามน้ำล่ะ!

จ้าวเหวินเทาที่กำลังรอฟังกลับหลุดหัวเราะดังลั่นเพราะความขบขัน เขาอุ้มลูกชายแล้วยกขึ้นสูง ๆ “ลูกชายของพ่อเก่งจริง ๆ พูดได้แล้วนะ!”

เสี่ยวไป๋หยางชอบถูกอุ้มยกตัวขึ้นสูง ๆ มากที่สุด จึงหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข

“มาลูก เรียกพ่อสิ!”

จ้าวเหวินเทาพูดจบก็ไม่ได้คาดหวังอะไร คิดไม่ถึงเลยว่าเสี่ยวไป๋หยางจะไว้หน้าเขาจริง ๆ ด้วยการพูดออกมาหนึ่งพยางค์

“พ่อ!”

จ้าวเหวินเทาตกตะลึง “ภรรยา เขาเรียกผมว่าพ่อได้แล้ว!”

 

เย่ฉูฉู่พยักหน้าด้วยความตื่นเต้นเช่นกัน “ใช่ค่ะ ฉันได้ยินแล้ว! เสี่ยวไป๋หยาง ไหนเรียกใหม่สิลูก!”

เสี่ยวไป๋หยางเห็นสายตาของพ่อแม่ก็รู้สึกกลัว หันหน้าหนี ร้อง ‘แอ้ ๆๆ’ ต่อต้าน เขาอยากให้อุ้มขึ้นสูง ๆ ไม่อยากเรียกแล้ว ผู้ใหญ่สองคนนี้น่ารำคาญเกินไปแล้ว!

  

“ก็ได้ ๆ ลูกไม่เรียกแล้ว ไม่เรียกแล้ว พวกเราเล่นกันนะ!” จ้าวเหวินเทาไม่คะยั้นคะยอให้ลูกชายเรียกพ่อแล้ว และยกตัวให้ลอยสูงขึ้นต่อ

 

เสี่ยวไป๋หยางพึงพอใจแล้ว จึงหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข เขาหันไปมองลูกลิงที่กระโดดดึ๋ง ๆ อยู่ทางนั้น ส่งเสียงเรียก “ไฉ! ไฉ! ไฉ!”

เขาไม่ได้เรียกติดกัน แต่เป็นการเรียกแบบเว้นช่องว่าง แต่ละคำมีการหยุดเว้นไว้ครู่หนึ่ง จ้าวเหวินเทาลองแก้ดู แต่ก็ยังไม่ได้อยู่ดี

 

เย่ฉูฉู่กล่าว “เสี่ยวไป๋หยางยังไม่ครบหนึ่งขวบเลย พูดได้ก็ถือว่าเร็วมากแล้ว ฉันเคยถามคุณแม่ดูแล้ว เด็กโดยปกติจะเริ่มออกเสียงพูดหลังจากครบหนึ่งขวบ”

“งั้นรอให้ถึงวันเกิดของลูกชายก็ฉลองให้ดี ๆ สักหน่อย ล้มหมูสักตัวไหม?” จ้าวเหวินเทาหันมาด้วยความตื่นเต้น

เย่ฉูฉู่ยังถือว่าใจเย็น “เด็กน้อยพูดได้ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติมากไม่ใช่เหรอ? ล้มหมูเสียงดังเอิกเกริกเกินไป เอาไว้ล้มตอนฉลองปีใหม่ก็แล้วกัน”

 

“งั้นวันเกิดครบหนึ่งขวบของลูกชายเราจะฉลองยังไงล่ะ?” จ้าวเหวินเทาแอบเสียดาย

“เด็กเล็กจะฉลองวันเกิดไปทำไม ถึงเวลานั้นฉันต้มบะหมี่ให้เขาสักหน่อยก็ได้แล้ว” เย่ฉูฉู่ปฏิเสธ

  

“ภรรยา ทำแบบนี้ดูยากจนเกินไปแล้ว เด็กในเมืองเวลาฉลองวันเกิดทีไรก็มีเค้กวันเกิดกันทั้งนั้น!” จ้าวเหวินเทากล่าว “ลูกชายของพวกเราฉลองวันเกิดทั้งทีก็ต้องมีนะ”

“แม่บอกแล้วว่าอย่าไปทำในเรื่องไม่มีประโยชน์พวกนั้น ใช้ชีวิตให้ดี!” เย่ฉูฉู่กล่าว

 

ก่อนหน้านี้เธอเองก็คิดอยากจะจัดงานวันเกิดให้ลูกชาย แต่คุณแม่เย่บอกนางผ่านโทรศัพท์ว่า เลี้ยงฉลองวันเกิดของเด็กเล็กนิด ๆ หน่อย ๆ ก็พอแล้ว หากทำอะไรที่โดดเด่นให้พวกเขามาก ๆ หลังจากนี้ไม่สามารถทำให้โดดเด่นได้อีกแล้ว แบบนั้นคงไม่ดีแน่

 

เย่ฉูฉู่จึงได้สติขึ้นมา จริงสินะ คนเราอย่าทำตัวโดดเด่นถึงจะดี

 

“ถึงเวลานั้นไปรับคุณพ่อกับคุณแม่มานะคะ ส่วนฉันจะไปรับคุณพ่อของฉันมา พวกเราทำกับข้าวสักสามสี่อย่าง กินบะหมี่นิด ๆ หน่อย ๆ ก็ได้แล้ว อย่าทำให้เอิกเกริกครึกโครมเลยค่ะ” เย่ฉูฉู่กล่าว

  

จ้าวเหวินเทาพยักหน้า “ก็ได้ ผมจะฟังตามที่ภรรยาบอก ลูกชาย ไม่ใช่ว่าพ่อไม่อยากจัดงานวันเกิดให้นะ แม่ของลูกต่างหากล่ะที่ไม่จัดให้”

เย่ฉูฉู่พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “จะไปไหนก็ไปเลยค่ะ อย่ามาพูดถึงฉันเสีย ๆ หาย ๆ ต่อหน้าลูกนะ!”

………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

เสี่ยวไป๋หยางเก่งจังเลยค่ะ พูดได้แล้ว /น้ำตาซึมเหมือนเป็นคนเลี้ยงน้องมากับมือ/

ไหหม่า(海馬)