ตอนที่ 1522 มวลบุปผาและท้อเขียว

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

หานลี่สาวเท้าเดินออกมา ดูเหมือนการเคลื่อนไหวจะไม่รวดเร็ว แต่เพียงแค่ขยับร่างหนเดียวก็เคลื่อนตัวไปไกลถึงเจ็ดแปดจั้ง

 

 

เพียงชั่วครู่เดียว เขาก็เดินออกมาไกลหลายสิบลี้

 

 

เขายังมีความระมัดระวังรอบคอบอยู่ ไม่กล้าเร่งหาผลลัพธ์ ไม่เช่นนั้นหากเคลื่อนไหวเต็มกำลัง คงห่างไปไกลหลายร้อยลี้ตั้งนานแล้ว

 

 

ทะเลหมอกอเวจีดำในตอนแรก เขาได้อ้อมรอบนอกไปแล้วกว่าครึ่ง แม้ว่าจะเหาะทยานอย่างสุดกำลัง ก็ต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองเดือนจึงจะสามารถเดินทางไปถึงอีกฝั่งได้

 

 

ตอนนี้แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าตนอยู่ที่ใดของทะเลหมอก แต่คิดว่าไม่มีทางเดินออกจากอาณาเขตผืนนี้ได้ในระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่วันแน่

 

 

ดังนั้นหานลี่จึงไม่รีบร้อน เพียงแค่มุ่งหน้าไปอย่างเรียบเฉย พลางแอบครุ่นคิดพิจารณาถึงเหวพสุธากับแม่น้ำอเวจี

 

 

การเสี่ยงภัยครั้งนี้ ทำให้เขาต้องประสบกับอันตรายประหลาดอยู่หลายหน แม้กระทั่งเกือบจะถูกพวกมหาราชาปีศาจทำให้กลายเป็นหุ่นเชิด แต่ก็เก็บเกี่ยวผลประโยชน์มาได้เยอะมาก

 

 

ตอนแรกก็ได้รับวิธีควบคุมอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายที่แท้จริงจากมู่ชิงและโลหิตแท้นกยูงห้าสีมาหนึ่งขวด จากนั้นก็ได้รับวิธีการหลอมหุ่นเชิดที่เรียกว่าวิญญาณรับใช้ และได้เข้าฌานเรียนรู้วิธีการหลอมยันต์เก้าวิมานสวรรค์กับยันต์เกราะปราณ ต่อมาที่แม่น้ำอเวจี ชายชราแซ่เจียงก็ถ่ายทอดเคล็ดวิชามรกตดั้งเดิมฉบับใหม่ให้แก่เขา และได้นำวิธีการหลอมกระบี่ไผ่เขียวผึ้งเมฆาใหม่ติดตัวมาด้วย เห็นได้ว่าอนาคตเพียงแค่ใช้สติปัญญาในด้านนี้อีกหน่อย ก็เพียงพอที่จะทำให้อานุภาพเขตอาคมกระบี่ของเขาพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น

 

 

แต่ในบรรดาสิ่งของที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ยังขาดสิ่งที่มีค่ามากที่สุดอย่างน้ำนมเทวะแม่น้ำอเวจีที่ชายชรารับปากเขาอยู่

 

 

ตอนนี้เขารู้แล้วว่า น้ำนมนี้มีคุณสมบัติทำให้เปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของกายเนื้อได้ และทำให้สามารถดูดซับพลังปราณฟ้าดินไม่มากยิ่งขึ้น สิ่งที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้ เขาย่อมไม่มีทางปล่อยไปเป็นอันขาด

 

 

มีน้ำนมเทวะนี้ ก็จะประหยัดเวลาฝึกฝนไปได้นับไม่ถ้วน สำหรับผู้ที่มีสติปัญญาทั่วไปอย่างหานลี่แล้ว จึงเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง

 

 

แม้ว่าสิ่งที่อยู่ในรายการที่ชายชรามอบให้เขาส่วนใหญ่จะเป็นของที่หายากมาก แต่เพียงแค่รวบรวมหนึ่งในนั้นได้มากกว่าครึ่ง ก็ใช่ว่าจะไม่มีหวังจริงๆ

 

 

ท้ายที่สุดการแลกเปลี่ยนนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะทำสำเร็จได้ในเวลาชั่วครู่เดียว ตราบใดที่เขาตามหาสิ่งของมาได้เพียงพอในเวลาหนึ่งพันปี ก็นับว่ายังไม่สาย

 

 

ด้วยระยะเวลาที่ยาวนานเช่นนี้ หานลี่ยังมั่นใจตัวเองอยู่หลายส่วนว่าจะสำเร็จเรื่องนี้ได้

 

 

ทว่าตอนนี้สิ่งที่เขาต้องทำก็คือรีบกลับไปยังถ้ำสถิตบนเกาะ ซึมซับสิ่งที่ได้รับจากการเดินทางครั้งนี้ และเก็บตัวพากเพียรฝึกฝนพลังยุทธ์ จนกระทั่งพลังยุทธ์ถึงจุดสุดยอดของระดับเทพแปลงขั้นปลายแล้ว เขาก็จะกินยาเพลิงทมิฬเพื่อช่วยเสริมการทะลวงระดับหลอมสูญอีกแรง

 

 

การออกเดินทางครั้งนี้ เขาได้เจอกับตัวตนระดับผสานอินทรีย์ขึ้นไปมากมายอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ ทั้งยังได้เห็นพวกเขาต่อสู้และร่ายคาถาด้วยตาตัวเอง ก็รู้สึกได้ลางๆ ว่าตนมีความมั่นใจหลายส่วนในเรื่องการทะลวงระดับเทพแปลงขั้นปลาย

 

 

แม้ว่าตัวตนเหล่านี้จะไม่ได้ชี้แนะอะไรเขามากมาย แต่พวกมู่ชิงต่างก็มีฝีมือเหนือกว่าเขาถึงสองระดับ การที่ได้ฟังกับหู ดูกับตา ก็ยังได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ไม่น้อยเลยทีเดียว

 

 

ถึงอย่างไรสำหรับผู้บำเพ็ญเพียรทั่วๆ ไป จะมีสักกี่คนที่ได้เห็นการต่อสู้ของตัวตนระดับผสานอินทรีย์ด้วยตาตัวเอง

 

 

หานลี่โคจรความคิดอย่างรวดเร็ว เพียงชั่วครู่เดียว ก็วางแผนการฝึกฝนในภายภาคหน้าของตัวเองเรียบร้อยแบ้ส

 

 

จากนั้นเขาจึงค่อยใช้มือเดียวสะบัดลงบนกำไลเก็บของ ทันใดนั้นม้วนคัมภีร์หยกม้วนหนึ่งก็ปรากฏออกมาที่ใจกลางฝ่ามือ

 

 

ที่แท้ก็คือของที่ชายชราแซ่เจียงมอบให้ ภายในนั้นได้บันทึกเคล็ดวิชากระบี่มรกตดั้งเดิมฉบับใหม่ไว้

 

 

หานลี่แบ่งจิตสัมผัสเป็นสองส่วนในชั่วพริบตา จิตสัมผสส่วนน้อยยังคงควบคุมให้ร่างกายเดินไปข้างหน้า พลางระมัดระวังการเคลื่อนไหวรอบตัว ส่วนจิตสัมผัสส่วนใหญ่ใช้แทรกซึมเข้าไปในม้วนคัมภีร์หยก และเริ่มอ่านเคล็ดวิชากระบี่ชุดนี้

 

 

แรกแรกอารมณ์ของเขายังคงเรียบเฉย แต่ต่อมาเมื่อทำความเข้าใจเคล็ดวิชากระบี่ลึกลงไป สีหน้าก็ค่อยๆ เคร่งขรึมขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายหัวคิ้วก็ขมวดแน่นขึ้นมา!

 

 

หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งมื้ออาหาร เขาก็ถอนหายใจยาวๆ ออกมาคราหนึ่ง ครั้นพลิกฝ่ามือ ม้วนคัมภีร์หยกก็หายไปท่ามกลางแสงสีเขียว

 

 

หานลี่ดวงตาเปล่งประกาย พลันลังเลขึ้นมา

 

 

เขาอ่านดูคร่าวๆ รอบหนึ่ง แล้วจดจำเคล็ดวิชากระบี่ชุดนี้ไว้

 

 

เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่เรียกว่าเคล็ดวิชากระบี่ใหม่นี้ เคล็ดวิชาทั้งสิบสามขั้นที่เป็นของเดิมนั้นไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก ต่อให้มีก็ไม่ส่งผลกระทบกับที่เขาเรียนมาก่อนหน้า

 

 

การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุด ย่อมเป็นส่วนท้ายที่ปรากฏเคล็ดวิชากระบี่เพิ่มมาอีกห้าชั้น

 

 

เคล็ดวิชากระบี่นี้แบ่งออกเป็นการรับมือกับสามขั้นใหญ่ของระดับเทพแปลงและระดับหลอมสูญขั้นต้นและกลางสองขั้น หากสามารถฝึกฝนสำเร็จทั้งหมด ก็สามารถเข้าสู่ระดับหลอมสูญขั้นปลายได้พอดี

 

 

หากหานลี่ไม่เคยฝึกฝนวิชามารเที่ยงแท้พราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์มาก่อน เป็นไปได้ว่าจะสนใจเคล็ดวิชานี้มากจริงๆ

 

 

ตอนนี้เขาจึงได้แต่คัดเลือกเคล็ดวิชาลับและอิทธิฤทธิ์บางส่วนที่อยู่ในเคล็ดวิชากระบี่ขั้นท้ายๆ มาใช้เสริมการฝึกฝนเท่านั้น ถึงอย่างไรเขาก็เดินบนเส้นทางคู่บำเพ็ญเพียร ไม่สามารถเสียเวลาเพื่อฝึกเคล็ดวิชานี้มากนัก

 

 

นี่ยังดีที่ก่อนหน้านี้เขามีเคล็ดวิชากระบี่สิบสามขั้นแรกเป็นพื้นฐาน และตัวเขาก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลง ไม่เช่นนั้นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงคนอื่นๆ ได้เคล็ดวิชากระบี่ชุดนี้ไป คงต้องตกตะลึงตาค้างจริงๆ ไม่สามารถฝึกฝนอะไรได้เลย

 

 

แต่สิ่งที่อยู่บนนี้ ส่วนที่หานลี่สนใจที่สุดก็ยังเป็นเขตอาคมกระบี่ใหม่สองชุดที่แนบท้ายมากับเคล็ดวิชากระบี่ห้าขั้นสุดท้าย

 

 

ชุดหนึ่งเรียกว่า “มวลบุปผา” ส่วนอีกชุดหนึ่งเรียกว่า “ท้อเขียว”

 

 

เขตอาคมกระบี่สองชุดนี้หากผสานกับเคล็ดวิชากระบี่ห้าขั้นสุดท้าย อานุภาพย่อมร้ายแรงอย่างไร้ที่เปรียบ เพียงพอที่จะประมือข้ามขั้นกับตัวตนระดับสูงกว่าได้ หากไม่มีเคล็ดวิชากระบี่ห้าขั้นสุดท้ายมาสนับสนุน เขตอาคมกระบี่สองชุดนี้ก็ยังสามารถจัดวางได้ แต่คุณสมบัติของกระบี่บินที่ใช้จัดวางนี้สูงเป็นอย่างยิ่ง จะต้องเป็นกระบี่บินธาตุไม้ที่บริสุทธ์สุดๆ และต้องถูกฝึกจนถึงขั้นสูงจึงจะทำได้

 

 

ด้วยกระบี่ไผ่เขียวผึ้งเมฆาเจ็ดสิบสองเล่มของหานลี่ในตอนนี้ ยังมีคุณสมบัติไม่เพียงสำหรับเขตอาคมกระบี่สองชุดนี้จริงๆ จำเป็นต้องหลอมขึ้นใหม่อีกครั้ง

 

 

แน่นอนว่าเขตอาคมกระบี่ “มวลบุปผา” นั้น ตราบใดที่เป็นกระบี่บินก็สามารถทำได้ ด้วยระดับพลังยุทธ์ของเขาในตอนนี้ก็สามารถฝึกฝนจัดวางได้ในทันที สำหรับเขตอาคมกระบี่อีกชุดหนึ่งที่ชื่อว่า “ท้อเขียว” จำเป็นต้องเข้าสู่ระดับหลอมสูญขั้นกลางแล้ว จึงจะมีคุณสมบัติในการศึกษาและฝึกฝนได้

 

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ หานลี่จึงเพ่งความสนใจไปที่วิธีหลอมกระบี่ที่บันทึกในส่วนสุดท้ายของเคล็ดวิชากระบี่

 

 

แต่หลังจากที่เขาเข้าฌานศึกษาแล้ว ทันใดนั้นก็แสดงสีหน้าตกตะลึงระคนฉงนสนเท่ห์ขึ้น

 

 

วิธีการชุดนี้ไม่ได้ซับซ้อน แต่กระบวนการหลอมกระบี่บินค่อนข้างยาวนาน อีกทั้งในระหว่างนี้กระบี่บินจะอ่อนแออย่างหาที่สุดมิได้ ไม่สามารถใช้เผชิญศัตรูได้ มีแต่หลังจากที่ทำสำเร็จทั้งหมดแล้ว และหลอมจนถึงขั้นกระบี่จิตเชื่อมวิญญาณจึงจะสามารถสำแดงอานุภาพที่แท้จริงออกมาได้

 

 

ตามที่กล่าวมาข้างต้น ทองคำที่ปะปนอยู่ในกระบี่บินก่อนหน้านี้จำเป็นต้องขจัดออกไปด้วย หากเป็นเช่นนี้ นับจากนี้เขตอาคมมหากระบี่ทองคำก็ไม่สามารถจัดวางได้อีกแล้ว

 

 

นี่จึงทำให้ในใจของหานลี่เกิดความลังเลขึ้นมา

 

 

ระยะเวลายาวนาน และไม่สามารถใช้กระบี่บินได้ชั่วคราว ตรงจุดนี้ยังไม่มีปัญหา เขาไม่ได้พึ่งพากระบี่ไผ่เขียวผึ้งมรกตในการประมือกับศัตรูอยู่แล้ว แต่หากเสียเขตอาคมมหากระบี่ทองคำไป กลับทำให้เขารู้สึกกังวลใจขึ้นมาจริงๆ

 

 

แม้ว่าอานุภาพของเขตอาคมกระบี่ “มวลบุปผา” และ “ท้อเขียว” ที่กล่าวบนเคล็ดวิชากระบี่ใหม่จะเหนือกว่า “มหากระบี่ทองคำ” มากนัก แต่ก็จะกลายเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาต้องทิ้งเขตอาคมกระบี่นี้ไป

 

 

แต่หานลี่ยังไม่เคยเห็นเขตอาคมกระบี่สองชนิดนี้กับตาตัวเอง กลับเป็นเขตอาคมมหากระบี่ทองคำที่ช่วยเขาพิชิตศัตรูและได้รับชัยชนะมาไม่น้อยกว่าหนึ่งครั้ง ในใจย่อมเกิดความลังเลอย่างเลี่ยงไม่ได้

 

 

เขาไม่คิดที่จะฝึกฝนเคล็ดวิชากระบี่มรกตดั้งเดิมห้าขั้นสุดท้าย เพียงแค่คิดจะอาศัยเพียงพลังของกระบี่บินที่หลอมขึ้นมาใหม่เท่านั้น สุดท้ายแล้วจะสามารถสำแดงอิทธิฤทธิ์ของเขตอาคมกระบี่สองชนิดสุดท้ายได้ถึงขั้นใด เรื่องนี้ก็ยังไม่แน่จริงๆ

 

 

หากอานุภาพของเขตอาคมกระบี่สองชนิดหลังยังสู้เขตอาคมมหากระบี่ทองคำก่อนหน้านี้ไม่ได้ เช่นนั้นเขาก็ได้ไม่คุ้มเสีย ทำเสียการใหญ่แล้ว

 

 

ขณะที่หานลี่กำลังลังเลเรื่องเขตอาคมกระบี่อยู่นั้น จู่ๆ สีหน้าก็เปลี่ยนไป พลันหยุดฝีเท้าลง แล้วยืนอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อน

 

 

เขาใช้สายตากวาดมองไปในหมอกสีดำ พลันกล่าวอย่างเยือกเย็นด้วยสีหน้าขรึม “ท่านหลบอยู่ตรงนั้นลับๆ ล่อๆ คิดจะลอบโจมตีข้าน้อยหรืออย่างไร?”

 

 

ขณะที่ปากของเขาพูดอยู่นั้น มือหนึ่งก็ชูขึ้น ทันใดนั้นก็เกิดเสียงอัสนีบาตรดังขึ้น ประกายแสงสีทองหนาๆ เส้นหนึ่งก็ขดตัวแล้วขยายใหญ่ในชั่วพริบตา กลายเป็นบอลสายฟ้าสีทองขนาดเท่าศีรษะลูกหนึ่ง

 

 

ที่พื้นผิวของบอลลูกนี้ เปล่งเสียงเปรี๊ยะๆ เบาๆ อย่างไม่ขาดสาย มีอักขระสีทองเปล่งประกายอยู่ลางๆ อานุภาพน่าสะพรึงอย่างเห็นได้ชัด!

 

 

“ท่านไม่ใช่ชาววิหคสวรรค์สินะ?” เสียงพูดนั้นค่อนข้างรู้สึกเกินคาด ดังมาจากทางที่หานลี่มองไป

 

 

“ท่านคือผู้ใด ทำไมถึงรู้ได้?” หานลี่หรี่ตาลง พลันถามอย่างช้าๆ

 

 

“หึๆ หากเป็นเผ่าวิหคสวรรค์จริง อย่าว่าแต่ตัวตนระดับแม่ทัพวิญญาณกระจอกๆ คนหนึ่งเลย ต่อให้เป็นระดับผู้บัญชาการวิญญาณคนหนึ่งก็ไม่มีทางอยู่รอดปลอดภัยในสถานที่แห่งนี้ได้หรอก” เสียงนั้นพูดอย่างเย็นชา

 

 

“อ๋อ ฟังจากการพูดของท่านดูเหมือนจะรู้จักชาววิหคสวรรค์และสถานที่แห่งนี้เป็นอย่างดี แต่ว่าเหตุใดท่านต้องหลบๆ ซ่อนๆ ด้วย ควรออกมาคุยกันดีกว่า!” หลังจากสิ้นเสียงพูดของหานลี่ บอลสายฟ้าสีทองบนมือข้างหนึ่งก็หายวับในชั่วพริบตา

 

 

ครู่ต่อมา ภายในหมอกสีดำก็เกิดแสงสีทองสว่างวาบ บอลสายฟ้าพวยพุ่งออกมาจากพื้นที่ว่างอย่างน่าประหลาด พลันระเบิดส่งเสียงดังสนั่นครั่นครืน

 

 

ท่ามกลางแสงสีทองระยิบระยับ เงาร่างสีดำเปรอะร่างหนึ่งพุ่งปราดออกมาจากม่านหมอก หลังจากพุ่งไม่กี่หนก็มาโผล่บริเวณเบื้องหน้าซึ่งห่างจากหานลี่ประมาณสิบจั้งเศษ

 

 

เมื่อหานลี่มองดูอย่างละเอียด ก็ตกตะลึงอย่างห้ามไม่อยู่

 

 

คาดไม่ถึงว่าตรงหน้าจะมีชายหนุ่มคนหนึ่ง ใบหน้าสีเขียวมรกต บนศีรษะมีเขาโค้งสีขาวงอกอยู่

 

 

เมื่อลองใช้จิตสัมผัสตรวจดูบนร่าง คาดไม่ถึงว่าจะเป็นตัวตนระดับหลอมสูญ อีกทั้งบนร่างยังแผ่กลิ่นอายที่ทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยอยู่หลายส่วน

 

 

ภายใต้ความประหลาดใจของหานลี่ เขาคิดทบทวนในใจครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็ร้องอุทานออกมาจากปาก “อสูรสว่าง! ท่านก็คือยอดฝีมือของเผ่าอสูรสว่าง! ไม่ถูก ปราณทมิฬบนร่างหนาแน่นเช่นนี้ ท่านฝึกฝนเคล็ดวิชาภูตผี!”

 

 

ชั่วพริบตาที่ชายหนุ่มเขาวัวได้ยินหานลี่พูดที่มาของตัวเอง หน้าก็เปลี่ยนสียกใหญ่อย่างห้ามไม่อยู่ แต่ฉับพลันดวงตาก็เปล่งจิตสังหารออกมาปราดหนึ่ง พร้อมเผยสีหน้าดุร้าย “เจ้าหนู เดิมทีผู้เฒ่าคิดจะปล่อยเจ้าไป แต่ตอนนี้ในเมื่อรู้ที่มาของข้าแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะเป็นคนสาขาไหนของเผ่าวิญญาณเหาะเหิน ก็อย่าได้มีชีวิตรอดออกไปจากที่นี่เลย”

 

 

เมื่อสิ้นเสียงพูด ชายหนุ่มก็อ้าปากอย่างฉับพลัน ทันใดนั้นพายุทมิฬสีเทาสลัวๆ ก็โหมพัดอย่างบ้าคลั่ง บึ่งตรงมาที่หานลี่

 

 

คาดไม่ถึงว่าพอคนผู้นี้แสดงตัว ก็เกิดจิตคิดฆ่าปิดปากในทันที

 

 

เมื่อหานลี่หลุดปากพูดที่มาของอีกฝ่าย เดิมทีก็รู้สึกเสียใจ แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายคิดจะลงมือจริง กลับยิ้มขึ้นมา ไม่เห็นว่าเขาจะเคลื่อนไหวอะไรมากมาย ม่านแสงสีเทาบนร่างเพียงแค่ขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่าอย่างฉับพลัน แล้วหมุนล้อมรอบหานลี่รอบหนึ่ง เมื่อลมทมิฬพัดมาถึงที่ข้างกายของหานลี่ ทันใดนั้นก็ค่อยๆ แยกออกเป็นสองส่วนแล้วถูกกวาดออกไปสองฝั่งราวกับนมและน้ำที่ไม่ผสานกลมกลืนกัน

 

 

ชายหนุ่มที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเห็นดังนี้ก็ตกตะลึง แต่ทันทีที่สองมือตบเบาๆ ที่ศีรษะ เขาโค้งสองข้างบนศีรษะก็หลุดออกมาอย่างไร้สุ้มเสียง ทันใดนั้นก็กลายเป็นดาบโค้งเปล่งแสงสีขาวระยิบระยับสองเล่ม ร่วงลงบนมือของปีศาจตนนี้

 

 

เมื่อมีดคู่อยู่ในมือชายหนุ่ม เขาก็เปล่งเสียงหัวเราะดุร้ายด้วยความมั่นใจตัวเองออกมาอีกครั้ง ตามด้วยเสียงดังปังคราหนึ่ง เท้าข้างหนึ่งใช้แรงกระทืบลงบนพื้น ทันใดนั้นเศษเงากลุ่มหนึ่งก็พุ่งไปทางหานลี่

 

 

หานลี่เห็นว่าปีศาจตนนี้คิดจะประจันหน้าในระยะประชิด ดวงตาก็เปล่งแสงประหลาดออกมาปลาดหนึ่ง ยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน ก่อนที่ร่างจะเปล่งแสงสีทองเจิดจ้าอย่างฉับพลัน แผ่นเกล็ดสีทองหนึ่งชั้นก็มาปรากฏบนผิวหนัง ขณะเดียวกันบนแผ่นหลังก็มีเสียง “หึ่ง” ดังเบาๆ คราหนึ่ง เงาลวงตาสามเศียรหกกรสีทองก็ปรากฏออกมา