“แย่แล้ว! นี่มันรังเทวะของเผ่าแมงเม่า ไม่มีทางข้าพวกมันได้หมด แมงเม่าทองคนหนึ่งจะมีของสิ่งนี้ได้อย่างไร พวกเราต้องฝ่าจากวงล้อมโดยเร็วที่สุด!” เสียงร้องคำรามด้วยความเกรี้ยวโกรธดังจากปากของลิ่วจู๋ที่กลายร่างเป็นแมลงยักษ์

 

 

แต่ในขณะนี้ แมลงประหลาดนับร้อยก็ถูกลำแสงสีดำบนร่างของเขาทะลวงร่างเป็นโพรง

 

 

“จะหนีไปไหน แมลงประหลาดพวกนี้ความเร็วของมันไม่ได้ช้าไปกว่าพวกเราเท่าไหร่ ขืนถูกพวกมันพัวพันอยู่ตลอด ช้าเร็วพวกเรามีหวังได้ใช้พลังยุทธ์จนหมดแน่” ชายชุดโลหิตที่ยืนอยู่บนบ่าของหุ่นเชิดโลหิตม่วงกล่าวด้วยท่าทางจริงจัง

 

 

“หนีย้อนเข้าไปในเส้นทางที่มาโดยตรง ตราบใดที่พวกเราสามารถยืนหยัดจนถึงทางเข้าได้ ก็สามารถกลับไปแม่น้ำอเวจีได้แล้ว หลีกเลี่ยงรังเทวะที่กลายเป็นทะเลแมลง”

 

 

“สหายลิ่วจู๋ เจ้าบ้าไปแล้ว แม้ว่าพวกเราจะทุ่มสุดกำลังเพื่อหลบหนี แต่ตามเส้นทางเดิมก็ต้องใช้เวลาถึงสองสามเดือนเลยทีเดียว จะฆ่าแมลงพวกนี้โดยไม่คำนึงถึงอะไรตลอดทางเช่นนี้จริงๆ หรือ อีกอย่าง สุสานมารจะให้ทำอย่างไร แล้วศาสตรามารของพวกเราล่ะ!” หญิงงามผมขาวกลับส่งเสียงแหลมแสบหูออกมา

 

 

“หึ สหายหลาน! หากแม้แต่ชีวิตก็ยังรักษาไม่ได้ ศาสตรามารจะมีประโยชน์อะไรอีก? อย่างมากกลับไปแล้วข้ายังสามารถนำของบางอย่างมาช่วยสนับสนุนเจ้ากับสหายตี้เซวี่ยได้ รังเทวะในตอนนี้แค่กลายเป็นแมลงศักดิ์สิทธิ์ระดับต่ำสุดเท่านั้น พวกเรายังพอถูไถฆ่าทะเลแมลงได้ มัวรอให้กลายเป็นแมลงศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงขึ้นมา พวกเราคิดจะหนีก็ไม่ทันการแล้ว” ลิ่วจู๋กล่าวเสียงดังด้วยความโมโห

 

 

หากไม่ใช่เพราะสถานการณ์ตอนนี้จำเป็นต้องรวมพลังของสามคนจึงจะมีโอกาสหนีออกไปได้ เกรงว่าเขาคงพาน้ำนมเทวะแม่น้ำอเวจีหนีลอยนวลไปตั้งนานแล้ว

 

 

ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครรู้ดีเรื่องความร้ายกาจของรังเทวะเผ่าแมงเม่าที่เป็นเครื่องมือสังหารเผ่าไปกว่าเขาอีกแล้ว

 

 

แต่ลิ่วจู๋ย่อมไม่รู้อย่างแน่นอนว่ารังเทวาที่เขาพบนั้นไม่ใช่ของจริง แต่เป็นของลอกเลียนชิ้นหนึ่งเท่านั้น แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ อานุภาพของสมบัติชิ้นนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกลิ่วจู๋สามคนจะสยบได้ ทั้งยังดูดอานุภาพของรังเทวะมาด้วย ดังนั้นเมื่อปะทะกัน เขาจึงเกิดความคิดที่จะออกจากแม่น้ำอเวจีในทันที

 

 

ได้ยินวาจานี้ของลิ่วจู๋ หญิงงามผมขาวแม้ว่าจะไม่พอใจอย่างยิ่ง แต่ก็ได้แต่เงียบกริบไม่พูดจา

 

 

สำหรับชายชุดโลหิตก็ไม่ได้มีความเห็นโต้แย้งอะไร เห็นได้ชัดว่าเห็นด้วยกับคำพูดของลิ่วจู๋

 

 

ดังนั้น ทั้งสามคนจึงสำแดงอิทธิฤทธิ์ออกมาอย่างแรงกล้าพร้อมกัน

 

 

จู่ๆ ร่างกายที่เรียบลื่นสุดๆ ของลิ่วจู๋ที่กลายเป็นแมลงยักษ์ก็เปล่งแสงสีดำเจิดจ้า หนามกระดูกมหึมายาวจั้งกว่าพลันปรากฏออกมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่ละเล่มมีสีดำมะเมื่อมราวกับน้ำหมึก แหลมคมผิดปกติ

 

 

ร่างของแมลงมหึมาเกิดการหดขยายอย่างฉับพลัน ครั้นอ้าปาก ก็พ่นวงแหวนแสงสีดำออกมา แต่ละวงมีขนาดที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้

 

 

หลังจากที่วงแหวนแสงเหล่านี้ถูกพ่นออกมา ก็ขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่าในทันที ก่อนที่จะพุ่งเข้าไปในฝูงแมลงอย่างดุร้ายน่าเกรงขาม เฉียดผ่านร่างของแมลงประหลาดจำนวนนับไม่ถ้วน

 

 

ฉากที่ชวนให้ตกตะลึงพลันปรากฏขึ้น!

 

 

ทุกหนทุกแห่งที่วงแหวนแสงเหล่านี้พาดผ่าน แมลงประหลาดทั้งหมดก็ราวกับเสียสมดุลในชั่วพริบตา แต่ละตัวโย้ไปเย้มาแล้วพากันร่วงพรูลงมาจากกลางอากาศ

 

 

ทันใดนั้นกลางอากาศเบื้องหน้าก็ปรากฏพื้นที่โล่งกว้างผืนหนึ่ง

 

 

หุ่นเชิดโลหิตม่วงที่ร่างสูงราวภูเขาขนาดย่อมอ้าปากกว้างไปทางฝูงแมลง ลำแสงสีม่วงแดงที่หนากว่าดวงตาสิบกว่าเท่าก็ถูกพ่นออกมาจากปาก

 

 

ทุกหนทุกแห่งที่ลำแสงนี้พุ่งออกมา แมลงประหลาดทั้งหมดก็พากันร่างแตกสลายกลายเป็นเถ้าธุลี

 

 

ศีรษะของหุ่นเชิดโลหิตม่วงหันไปทางไหน ลำแสงมหัศจรรย์นี้ก็จะโยกตามไป ชั่วพริบตาแมลงประหลาดก็ถูกกวาดล้างกันมากกว่าเดิม

 

 

ขอบเขตที่การโจมตีนี้กวาดออกในชั่วพริบตา ดูเหมือนจะใหญ่กว่าการโจมตีของลิ่วจู๋มาก

 

 

คนที่ลงมือเป็นคนสุดท้ายกลับเป็นหญิงงามผขาว

 

 

หญิงผู้นี้เห็นว่าอีกสองคนไม่ได้คงสภาพการร่ายคาถาแล้ว จึงค่อยโยนค้อนประหลาดในมือเข้าไปในฝูงแมลงอีกฝั่งหนึ่งอย่างไม่ลังเล แล้วร่ายคาถาสองมือขึ้น

 

 

ทันใดนั้นค้อนประหลาดที่หุ้มด้วยเพลิงสีเขียวก็ระเบิดออก หัวกะโหลกสีขาวแปดหัวพลันปรากฏออกมา หลังจากหมุนโคจรรอบหนึ่ง ก็กลายเป็นขนาดเท่าล้อรถ อ้าปากกว้างพร้อมส่งเสียงร้องประหลาด

 

 

คาดไม่ถึงว่าสิ่งที่หัวกะโหลกเหล่านี้พ่นออกมาจะไม่ใช่เพลิงภูตสีเขียว แต่เป็นลมหนาวสุดขั้วสีขาวสลัวๆ แทน

 

 

ทุกหนทุกแห่งที่ลมนี้พัดผ่าน ร่างของแมลงประหลาดทั้งหมดก็จะกลายเป็นน้ำค้างแข็ง ก่อนที่จะกลายเป็นผลึกน้ำแข็งสีขาว ส่งเสียงแตกดังเพล้งแล้วร่วงกราวลงมาจากกลางอากาศอย่างไร้สุ้มเสียงราวกับหยาดฝน

 

 

ด้วยการลงมือพร้อมกันของผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์สามคน แม้ว่าแมลงประหลาดที่อยู่รอบด้านจะไม่ที่สิ้นสุด แต่การโจมตีก็ต้องหยุดชะงักไปอย่างห้ามไม่อยู่ เปิดพื้นที่โล่งกว้างในบริเวณใกล้เคียง

 

 

ตั๊กแตนตำข้าวหน้าคนที่อยู่ไกลออกไปสิบลี้เห็นดังนี้ จมูกก็ส่งเสียงฮึดฮัดทีหนึ่ง แขนข้างหนึ่งที่ราวกับคมมีดมหึมาก็แตะไปในวัตถุสีเงินกลางอากาศทีหนึ่ง

 

 

ทันใดนั้นวัตถุครึ่งวงกลมชิ้นนั้นก็หมุนเคว้งรอบหนึ่ง แมลงประหลาดที่โถมทะลักออกมาจากในนั้นก็เพิ่มจำนวนมากกว่าครึ่ง

 

 

แต่ในตอนนี้เอง พวกลิ่วจู๋และหญิงงามที่อยู่ไกลๆ กลับมารวมตัวกันที่ตรงกลาง ทั้งสามคนใช้พลังยุทธ์ร่วมมือกัน ก็กลายเป็นแสงมหึมาดวงหนึ่งในบัดดล ครั้นสั่นสะเทือนครู่หนึ่ง ก็พุ่งหนีไปยังเส้นทางสายหนึ่ง เพียงแค่แวบเดียวก็มาถึงบริเวณรอบนอกของทะเลแมลงแล้ว

 

 

จากนั้นดวงแสงจึงค่อยคลายตัวออกอีกครั้ง ทั้งสามคนก็กลายเป็นรุ้งประหลาดสามสายพุ่งทยานออกจากทะเลแมลงท่ามกลางเสียงระเบิดที่ดังอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย

 

 

หนีไปยังขอบฟ้าด้วยความลุกลี้ลุกลน

 

 

ตั๊กแตนตำข้าวหน้าคนไม่เคยคาดคิดว่าอีกฝ่ายจะหนีไปโดยไม่สู้อย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าปรากฏสีของความโกรธเดือดดาล ปากเปล่งเสียงเพรียกแหลมออกมาคราหนึ่ง ฝูงแมลงก็พากันไล่ตามไป

 

 

เห็นเพียงแมลงประหลาดสีเขียวที่กำลังบินอยู่นั้น แต่ละตัวขยับปีกอย่างรวดเร็ว คาดไม่ถึงว่าจะมีความเร็วที่น่าตกตะลึง ราวกับลำแสงสีเขียวที่ทยอยพุ่งทะลวงอากาศ ไม่ได้ช้าไปกว่าพวกลิ่วจู๋เลยแม้แต่น้อย

 

 

ส่วนร่างของตั๊กแตนตำข้าวหน้าคนก็ค่อยๆ เลือนหายไปจากที่เดิม ครู่ต่อมา มันก็มาปรากฏอยู่บนวัตถุครึ่งวงกลมที่อยู่กลางอากาศ ฉับพลันก็เปล่งแสงวิญญาณระยิบระยับแล้วหายไปในนั้นอย่างไร้ร่องรอย

 

 

รังเทวะส่งเสียงหึ่งๆ ดังลั่น เงาลวงตาแมลงประหลาดที่พ่นออกมาพลันหยุดชะงัก ส่วนตัวเองก็กลายเป็นแสงสีเงินดวงหนึ่งพุ่งจากไป

 

 

ส่วนแมลงประหลาดจำนวนนับไม่ถ้วนที่กรูเกรียวออกมาจากรอบด้านของวัตถุนี้ ครู่ต่อมา ฝูงแมลงกับพวกลิ่วจู๋ที่นำหน้า ฝ่ายหนึ่งไล่ตาม ฝ่ายหนึ่งหลบหนี ได้หายไปจากอาณาเขตใกล้เคียงอย่างไร้ร่องรอย

 

 

อีกด้านหนึ่ง เหนือน่านน้ำที่หานลี่ถูกหอบเข้าไป มู่ชิงที่ปกคลุมด้วยดวงแสงสีเขียวผืนใหญ่ก็กำลังลอยคว้างอยู่ตรงนั้น

 

 

นางจ้องมองหมอกสีดำที่อยู่เบื้องล่างด้วยสีหน้าลังเลไม่หยุด

 

 

 

 

“ที่นี่ดูเหมือนจะเป็น…” ภายในหมอกสีดำอีกด้านหนึ่ง เงาคนร่างหนึ่งกำลังมองดูรอบด้านจากภายในม่านแสงสีเทา ปากพลางพูดพึมพำคนเดียว

 

 

คนผู้นี้สวมอาภรณ์สีเขียวตลอดทั้งตัว อายุราวยี่สิบปีเศษ ใบหน้าขมวดคิ้วจางๆ ที่แท้ก็คือหานลี่ที่เพิ่งออกจากแม่น้ำอเวจีนั่นเอง

 

 

พอเขาตื่นขึ้นมาจากการวิงเวียน ทันใดนั้นก็พบว่าตัวเองอยู่ภายในหมอกสีดำผืนหนึ่ง

 

 

โชคดีที่แสงเทวะดูดปราณของเขาฝึกฝนจนถึงระดับที่ใช้ได้ดั่งใจนึก ไม่ต้องกระตุ้นอะไร ก็ปล่อยออกมาคุ้มกายเข้าไว้ภายในด้วยตัวเอง

 

 

ในตอนนี้ หานลี่อดไม่ได้ที่จะแหงนหน้ามองไปดูข้างบน

 

 

เห็นเพียงกลางอากาศสูงที่ดูเลือนราง รอยแยกมิติที่ส่งเขาออกมานั้นได้ปิดสนิทเป็นเส้นบางๆ แล้ว และชั่วพริบตาที่เขาหันไปมอง ท้ายที่สุดก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น

 

 

แม้ว่าจะเพียงแค่ชั่วพริบตา หานลี่ก็พบว่าภายในชั่วพริบตาที่รอยแยกมิติหายไป ปราณดำได้ซึมออกมาจากภายใน แล้วหลอมรวมกับหมอกดำในที่แห่งนี้ ทำให้ไม่สามารถแยกแยะได้ออก

 

 

“หรือว่าหมอกของที่นี่ไหลทะลักมาจากรอยแยกมิตินี้?” หานลี่รู้สึกกังขาในใจขึ้นมา จากนั้นจึงค่อยใช้สายตากวาดมองรอบๆ เพื่อทำความเข้าใจสถานที่ที่ตนอยู่ว่าคือที่ใด

 

 

แต่หลังจากที่เขาใช้จิตสัมผัสทะลวงผ่านไปไกลร้อยจั้ง ก็สลายแล้วดึงกลับมาในทันที่ ไม่สามารถสำรวจบริเวณที่ไกลกว่านี้ได้

 

 

หานลี่หางคิ้วกระตุกคราหนึ่ง พลันเอามือลูบๆ คาง ทันใดนั้นก็เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออก ใบหน้าก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา

 

 

เขาผสานสองมือเข้าด้วยกัน เมื่อแยกออกอีกครั้ง ฝ่ามือก็เปล่งแสงสีทองระยิบระยับ หญ้าวิญญาณสูงหลายชุ่นต้นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในฝ่ามือ

 

 

เมื่อโบกมือคราหนึ่ง หญ้าต้นนั้นก็พวยพุ่งออกไปท่ามกลางม่านแสงในทันที

 

 

ผลลัพธ์ที่ได้คือ เกิดสถานการณ์ที่คาดคิดไม่ถึงขึ้น!

 

 

เห็นเพียงชั่วขณะที่หญ้านี้สัมผัสกับหมอกสีดำ คาดไม่ถึงว่าจะเ**่ยวเฉาและกลายเป็นสีเหลืองขึ้นมา ชั่วพริบตาที่ร่วงลงบนพื้น ก็กลายเป็นเศษหญ้าแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย

 

 

“หมอกอเวจีดำ!” หานลี่สูดไอเย็นเข้าไปทีหนึ่ง ในที่สุดก็มั่นใจเรื่องสถานที่ที่ตนอยู่

 

 

คาดไม่ถึงว่าเขาจะถูกส่งกลับมายังชีพจรภูเขาสีดำบนเกาะมหึมาภายในอาณาเขตของเผ่าวิญญาณเหาะเหินที่เขาเคยมาถึงตอนแรก แต่หมอกสีดำผืนนี้ ที่แท้แล้วก็คือทะเลหมอกอเวจีดำที่วันนั้นเขาไม่เคยเข้าไป

 

 

จากวันนั้นที่เขาลองทดสอบหมอกดำผืนนี้ ภายในนั้นมีปราณทมิฬหนาแน่นสุดๆ สามารถดูดซับปราณวิญญาณจากสิ่งมีชีวิตวิญญาณต่างๆ เช่นต้นไม้ใบหญ้าได้ ตอนนั้นในด้านหนึ่งเขากำลังรีบร้อนทะลวงจุดคอขวดของตัวเอง อีกด้านหนึ่งก็หวาดกลัวความแปลกประหลาดของทะเลหมอกแห่งนี้ ดังนั้นจึงไม่ได้เสี่ยงเข้าไปสำรวจดูข้างในอย่างจริงจัง

 

 

ตอนนี้เขาออกมาจากแม่น้ำอเวจีแล้ว คาดไม่ถึงว่าจะถูกส่งตัวมายังที่แห่งนี้ เมื่อเชื่อมโยงกับปราณดำที่ไหลออกมาจากรอยแยกมิติเมื่อครู่นี้ ดูเหมือนการก่อตัวของทะเลหมอกผืนนี้ น่าจะมีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับแม่น้ำอเวจี

 

 

แต่ถึงแม้ปราณทมิฬของแม่น้ำอเวจีจะไม่ได้น่ากลัวเหมือนหมอกดำของสถานที่นี้ ภายในหมอกเหล่านี้จะต้องมีสิ่งอื่นๆ ปะปนอยู่แน่นอน

 

 

ขณะที่หานลี่ดวงตาเปล่งประกาย ชั่วพริบตาก็ทำการวินิจฉัยให้ตัวเองเรียบร้อย

 

 

ไม่ว่าจะพูดอย่างไร สถานที่นี้ก็ไม่ใช่สถานที่ดีอะไร ทางที่ดีเขาควรรีบออกจากที่นี่

 

 

เมื่อในใจคิดเช่นนี้ ร่างของหานลี่ก็เปล่งแสงสีเขียววาบหนึ่ง เหาะทยานขึ้นสู่ท้องฟ้าในทันที

 

 

ผลลัพธ์ที่ได้คือ เมื่อสองขาของเขาเพิ่งจะห่างจากพื้นดินไปได้ไม่กี่จั้ง ปราณในบริเวณใกล้เคียงก็โหมใส่บนร่างของเขาอย่างพร้อมเพรียง คาดไม่ถึงว่าลำแสงหลีกหนีจะสลายหายไป และร่างของเขาก็ร่วงลงสู่เบื้องล่างอีกครั้ง

 

 

“อาคมห้ามเหาะเหิน!” หานลี่รู้สึกใจหายวาบ

 

 

ในที่สุดตอนนี้เขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเผ่าวิหคสวรรค์ถึงได้หวาดกลัวทะเลหมอกเช่นนี้ แม้กระทั่งยังไม่เคยส่งคนมาตั้งฐานที่มั่นบนเกาะแห่งนี้

 

 

สำหรับชาววิหคสวรรค์ที่นับถือวิหคมัจฉาเป็นวิญญาณเทพ อาคมห้ามเหาะเหินย่อมอันตรายสุดๆ ถึงอย่างไรเคล็ดวิชาและอิทธิฤทธิ์ส่วนใหญ่ของเผ่าวิญญาณเหาะเหินก็ล้วนแต่พึ่งพาปีกสองข้างบนแผ่นหลัง หากไม่สามารถบินได้ เกรงว่าเคล็ดวิชาและอิทธิฤทธิ์กว่าครึ่งจะไร้ค่าในทันที

 

 

แน่นอนว่านี่อาจจะเป็นแค่หนึ่งในสาเหตุ

 

 

ยิ่งเป็นไปได้ว่ากลิ่นอายของแม่น้ำอเวจีที่ซึมออกมาจากรอยแยกมิติ ทำให้เผ่าวิหคสวรรค์เกลียดชังสุดๆ ถึงอย่างไรแปดถึงเก้าในสิบส่วนของแม่น้ำอเวจีก็มาจากร่างกายของหลัวโหว กลิ่นอายที่ไหลออกมา สำหรับชาววิหคสวรรค์ที่มีสายเลือดวิหคมัจฉาหายากแล้ว ย่อมสะอิดสะเอียนเป็นที่สุด

 

 

ทว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงการคาดเดาของหานลี่เท่านั้น ความลึกลับพิสดารหรือสาเหตุคืออะไรนั้น บางทีคงมีแต่อาวุโสของเผ่าวิหคสวรรค์เท่านั้นที่รู้

 

 

แม้ว่าเขาเคยเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิหคสวรรค์มาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่เคยได้สัมผัสกับเหตุการณ์เหล่านี้ ย่อมไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับสาเหตุที่แท้จริง

 

 

แต่ตอนนี้ไม่สามารถเหาะเหินได้ แม้ว่าจะส่งผลกระทบต่อหานลี่ไม่น้อย ก็ไม่มีทางกักขังเขาไว้ได้จริงๆ

 

 

ด้วยกายเนื้อที่แข็งแกร่งของเขา แม้ว่าจะบึ่งเดินทางบนพื้นดินอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง ก็ยังสามารถออกจากทะเลหมอกผืนนี้ได้อย่างรวดเร็ว มีเพียงสิ่งเดียวที่ต้องระมัดระวัง นั่นก็คือภายในหมอกดำผืนนี้อย่าได้มีของแปลกประหลาดและอาคมต้องข้ามอื่นๆ ที่ทำให้ป้องกันอย่างไม่หวาดไม่หวั่นเลย

 

 

หานลี่ย่อมไม่มีทางรออย่างเงียบๆ อยู่ที่เดิมไปตลอดได้ หลังจากที่วิเคราะห์ในใจเสร็จ ก็ปลดปล่อยจิตสัมผัสออกมาทั้งหมด แล้วสาวเท้าพรวดพราดราวกับดาวตกไปยังทิศทางหนึ่งในทันที