บทที่ 89 หมัดทลายภูผา! (ต้น)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์

บทที่ 89 หมัดทลายภูผา! (ต้น)

ณ หอประชุม สถานศึกษาฉางหลาน

ทุกคนนั่งประจำที่โต๊ะอาหารในหอประชุม จะเห็นได้ว่ามีอยู่หลาย ๆ ครั้งที่เยี่ยฉวนและเยี่ยหลิงเดินถือจานกับข้าวออกมาวาง แต่ละจานไม่ได้ใช้วิธีปรุงซับซ้อน ทว่าทุกจานกลับส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลายที่ทำให้ผู้ที่ได้ กลิ่นเกิดความอยากอาหาร

จี้อันซื่อนั่งประจำที่ นางใช้ปากกัดตะเกียบในมือเล่น มีหลายครั้งที่หญิงสาวขยับตะเกียบทำท่าจะหยิบกินแต่ทุกครั้งนางก็จะถูกอาจารย์ใหญ่จี้ ไป๋เจ๋อ และโม่อวิ๋นฉี คอยสกัดเอาไว้

ถ้าหญิงสาวขยับตะเกียบได้สำเร็จเมื่อใด เมื่อนั้นพวกเขาทุกคนจะไม่เหลือแม้กระดูกสักชิ้นไว้ให้เคี้ยว

ในไม่ช้า กับข้าวทุกอย่างพร้อมแล้วบนโต๊ะ

ทั้งหมด 12 จาน !

ทั้งจานเนื้อและจานผัก !

เยี่ยหลิงตักข้าวแจกทุกคนอย่างใจดี จากนั้นนางจึงนั่งลงอย่างสงบเสงี่ยมข้างเยี่ยฉวน

อาจารย์ใหญ่ยกจอกเหล้าหมักขึ้นจิบก่อนกล่าวว่า “วันนี้เจ้าหุนหันพลันแล่นเกินไป”

ทุกคนนิ่งเงียบ

เยี่ยฉวนหยุดคิดชั่วขณะ และตอบว่า “พวกเขาข่มเหงเราก่อน !”

ผู้เฒ่าพูดต่อว่า “เจ้าควรอดทนให้มาก !”

ชายหนุ่มถามกลับอาจารย์ “ถ้าพวกข้าอดทน พวกเขาจะปล่อยเราไปหรือขอรับ ?”

ชายหนุ่มส่ายหน้า ก่อนพูดต่อด้วยว่า “ไม่ พวกเขาไม่ปล่อยเราแน่ ต่อให้ใช้ความอดทนมากเท่าไร พวกเขากลับยิ่งทำสิ่งเลวร้ายกับเรามากขึ้น ข้าเคยผ่านพบความโหดร้ายและความรุนแรงตอนอยู่ที่เมืองชิง ยิ่งข้า อ่อนแอ พวกเขากลับจะยิ่งข่มเหงเรา ท่านต้องหันหน้าเข้าสู้กับพวกมันจนกว่าจะเจ็บตาย พวกเขาจึงให้ความ นับถือและไม่กล้ามายุ่งกับท่านอีก”

อาจารย์ใหญ่จี้ได้แต่นิ่ง

โม่อวิ๋นฉีก็เช่นกัน

ส่วนจี้อันซื่อยังคงง่วนอยู่กับการกิน

ขณะนั้นเอง เสียงของไป๋เจ๋อพูดขึ้นมาว่า “เขาพูดถูก ข้าเคยต่อสู้กับพวกอมนุษย์ตอนที่อยู่บนเทือกเขาหมาง เมื่อเผชิญหน้ากับพวกอมนุษย์ ห้ามวิ่งหนีเด็ดขาด เพราะว่ายิ่งเราวิ่งหนีเร็วเท่าไร มันจะยิ่งเพิ่มความดุร้ายและเหมือนไปยั่วยุให้มันจู่โจมหนักขึ้น สิ่งที่จะทำได้คือต้องหันมาเผชิญหน้าสู้จนกว่ามันจะกลัว ดังนั้นเมื่อต้อง เผชิญหน้ากันอีกครั้ง มันจะไม่จู่โจม หรือไม่ก็อาจล่าถอยไปเอง”

กล่าวจบ เอื้อมหยิบจอกสุราข้างถ้วยข้าวขึ้นมาและยกให้กับเยี่ยฉวน พร้อมเอ่ย “เยี่ยม”

เยี่ยฉวนยกจอกสุราของตนเอง และหันมามองโม่อวิ๋นฉีซึ่งนั่งติดกัน เขานิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงยกจอกขึ้นมา บ้าง แล้วทั้งสามมองหน้ากันก่อนพร้อมใจดื่มสุรารวดเดียวหมดจอก

ก่อนหน้าพวกเขาเป็นคนแปลกหน้า ทว่าเวลานี้พวกเขาเป็นเหมือนกัน นั่นคือศิษย์แห่งสถานศึกษา ฉางหลาน !

ชายชราเมื่อเห็นเช่นนั้นไม่ได้พูดอะไรอีก และลงมือกินข้าว

ด้วยความหิวโหย ทุกคนจึงพากันกินอย่างเอร็ดอร่อย ภายในเวลาอันรวดเร็ว กับข้าวบนโต๊ะก็หมด เกลี้ยงทุกจาน

หลังอิ่มหนำกันแล้ว อาจารย์ใหญ่จี้ที่กรึ่มด้วยฤทธิ์สุราก็พลันกล่าวขึ้นว่า “คืนนี้เวลาสองยามตรง พวก เจ้าไปพบข้าที่ด้านหลังภูเขา”

ว่าจบก็หันหลังให้และเดินออกไป

จี้อันซื่อวางตะเกียบและหันไปถามเยี่ยฉวน “เจ้าทำกับข้าวอีกได้หรือไม่ ?”

เยี่ยฉวนเหยียดมุมปาก เขาพยักพเยิดไปทางด้านหลัง “พวกข้าเก็บกับข้าวเผื่อไว้แล้วอยู่ในครัว”

หญิงสาวพยักหน้า “ขอบใจ !”

นางฉวยตะเกียบไว้ในมือ ก่อนจะรีบผลุนผลันออกไปทันที

เยี่ยหลิงลุกขึ้นเก็บรวบรวมจานชามและตะเกียบที่วางทิ้งระเกะระกะอย่างเชื่อฟัง ในขณะเดียวกันทั้ง ไป๋เจ๋อและโม่อวิ๋นฉีก็พร้อมใจกันหลบหลีกไปอย่างรวดเร็วหลังจากกินข้าวเสร็จ …หากต้องทำงานล้างจาน พวกเขายอมตายเสียดีกว่า !

เมื่อเห็นพวกผู้ชายทั้งสองพากันหนีไป เยี่ยหลิงก็ได้แต่ยิ้มอย่างละเหี่ยใจ

เยี่ยฉวนจำต้องเข้าช่วยเก็บและล้าง “มา พี่ช่วยล้างถ้วยจานเอง !”

น้องสาวกำลังอ้าปากจะพูดด้วย ทันใดนั้นพลันมีเสียงมาจากด้านนอกหอประชุม

เยี่ยฉวนหันไปมองตามเสียง ด้านหน้าหอประชุมปรากฏรถเข็นเข้ามา สตรีชุดดำผู้หนึ่งนั่งมากับรถเข็น

“ออกมาสนทนาสักครู่ได้หรือไม่ ?” สตรีชุดดำเอ่ยถามทันที

เยี่ยฉวนจิ้มนิ้วที่หน้าอกของตนเอง “ข้าหรือ ?”

สตรีสวมชุดดำพยักหน้า

น้องสาวเห็นเช่นนั้นจึงพูดว่า “ท่านพี่ ท่านไปเถิด ที่เหลือข้าจัดการเอง”

พี่ชายลูบศีรษะเล็ก ๆ ของผู้เป็นน้อง ก่อนจะพูดทิ้งท้ายไว้ว่า “เจ้าระวังด้วย !”

เยี่ยหลิงพยักหน้าก่อนเดินออกไปพร้อมจานชามและตะเกียบ

เมื่อเห็นว่าน้องสาวเดินออกไปแล้ว ชายหนุ่มจึงเดินตรงมาหาหญิงชุดดำ “มีธุระอะไรขอรับ ?”

ทว่านางกลับไม่พูด เพียงแต่ยื่นมือออกมาข้างหน้า ก่อนที่เหรียญทองคำจะเคลื่อนออกจากฝ่ามือของ นางมาที่เยี่ยฉวน

“อะไรหรือขอรับ ?” ชายหนุ่มรับมาถือไว้ด้วยพิศวงงงงัน

เสียงหญิงสาวตอบกลับมาว่า “ฮ่องเต้ทรงมีพระบัญชา แต่งตั้งให้เจ้าเป็นผู้เยี่ยมยุทธแห่งแคว้น !”

ผู้เยี่ยมยุทธแห่งแคว้น !

เยี่ยฉวนเย็นวาบตลอดร่าง

ชั่วขณะหนึ่ง เขาพลันสั่นศีรษะพร้อมกับส่งคืนเหรียญทองคำ ก่อนจะปฏิเสธออกไป “ข้าไม่ได้ทำสิ่งใดที่สมควรจะได้รับมันไม่”

ทว่าสตรีสวมชุดดำไม่ยอมรับคืน พลางกล่าวว่า “เหตุการณ์ที่เมืองชายแดน เจ้าคือคนที่ออกไปต้าน ทานกองกำลังของแคว้นถัง”

เยี่ยฉวนยิ้มและถามกลับ “เพียงเท่านั้นหรือขอรับ ?”

ครานี้นางกลับนิ่งเงียบ

ชายหนุ่มทรุดกายลงนั่งบนขั้นบันได ก่อนจะพูดต่อ “เหตุการณ์ครั้งนั้นผ่านมานานมาก พวกท่านไม่ได้ แต่งตั้งข้านับตั้งแต่ตอนนั้นจนบัดนี้… ข้าขอถามด้วยความเคารพ พวกท่านมีจุดประสงค์อื่นใด ?”

นางไม่ปริปาก

เยี่ยฉวนจึงกล่าวต่อไป “ตอนนี้ข้าเป็นศิษย์ฉางหลาน ทั้งยังมีเรื่องบาดหมางกับสถานศึกษาฉางมู่… ถ้าให้เดา ราชสำนักคงต้องการลดทอนอำนาจของสถานศึกษาฉางมู่ เพราะอีกฝ่ายแผ่อำนาจบารมีมากจนเกินไป มันไม่เป็นผลดีต่อราชสำนักและอำนาจแห่งองค์ฮ่องเต้ อีกทั้งในเวลานี้สถานศึกษาฉางหลานก็เริ่มที่จะสามารถเผชิญหน้ากับสถานศึกษาฉางมู่ได้แล้ว ดังนั้นพวกท่านจึงต้องการยืมมือสถานศึกษาฉางหลาน เพื่อให้เป็นฝ่ายต่อสู้กับสถานศึกษาฉางมู่ ข้าพูดเช่นนี้ถูกหรือไม่ขอรับ ?”

สตรีในชุดดำขยับไขว้ประสานนิ้วมือวางไว้บนขาตนเอง ก่อนตอบมาว่า “เจ้าฉลาดกว่าที่ข้าคิด”

เยี่ยฉวนมองตรงที่ใบหน้าของคนในชุดดำ “ข้าไม่ชอบให้ใครมาบงการชีวิต !”

สตรีในชุดดำส่ายหน้า “ทันทีที่เจ้าเข้าเป็นศิษย์ของสถานศึกษาฉางหลาน นั่นก็เท่ากับว่าเจ้าได้แบกรับภาระแห่งความเกลียดชังระหว่างสถานศึกษาฉางหลานและสถานศึกษาฉางมู่เต็มตัวแล้ว ความแค้นไม่มีคำว่าผิดหรือถูก เป็นเพียงจุดยืนทางความคิด อย่างที่เจ้าพูดก็มีส่วน บุคคลที่ปกครองแคว้นเจียงแท้ที่จริงก็หวังว่าจะมีใครที่สามารถลดทอนอำนาจสถานศึกษาฉางมู่ แม้ว่านั่นจะไม่ใช่เหตุผลจริงที่แต่งตั้งเจ้าเป็นผู้เยี่ยมยุทธแห่ง แคว้นก็ตาม”

ชายหนุ่มเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าสตรีชุดดำก่อนเอ่ยถามว่า “ถ้าเช่นนั้น อะไรคือเหตุผลที่แท้จริง ?”