บทที่ 88 เยี่ยฉวน ผู้เยี่ยมยุทธแห่งแคว้น ! (ปลาย)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์

บทที่ 88 เยี่ยฉวน ผู้เยี่ยมยุทธแห่งแคว้น ! (ปลาย)

โม่อวิ๋นฉีรู้สึกลำคอแห้งผาก “ผู้เฒ่าคนนี้… เป็นคนที่น่าพิศวงยิ่ง ! พบกันคราวหน้า ข้าต้องให้ความ เคารพมากกว่านี้กระมัง ?”

เยี่ยฉวนเองก็ตกใจเช่นกัน ด้วยพลังกล้าแกร่งของชายชราออกจะน่ากลัวไม่น้อย ! หากเทียบความกล้าแกร่ง บางทีอีกฝ่ายอาจมีมากกว่าพลังของจ้าวหอชั้นที่สามแห่งสำนักอัปสรเมรัยเสียด้วยซ้ำไป !

อาจารย์ใหญ่จี้จ้องเขม็งหลีซิ่ว เสียงตอบมาว่า “จะเริ่มสงคราม… คิดดีแล้วหรือ ?”

หลีซิ่วจ้องมองตาแทบถลน หน้าตาบิดเบี้ยวเหยเก !

อาจารย์จี้ยกไหเหล้าหมักขึ้นจิบ พลางส่ายหน้า “เจ้าไม่รู้หรือว่าทำไมฉางหลานที่แทบไม่เหลือศิษย์แล้วกลับยังสามารถเปิดสำนักต่อไปได้ ?”

เขาชี้นิ้วจิ้มที่หน้าอกของตนเอง “เพราะตัวข้านี่ ! ตราบใดที่ข้ายังไม่ตาย สถานศึกษาฉางหลานจะไม่มี วันถูกปิด หากเจ้าประสงค์จะเริ่มสงคราม ก็ดี ข้าส่งเจ้าสามคนนี้ให้ไปสู้กับเจ้าแล้วจะสังหารพวกมันก็เชิญ แต่ หากเจ้าทำเช่นนั้น ข้าสาบานไว้เลยว่าศิษย์แห่งฉางมู่ที่อายุไม่เกินสามสิบไม่มีวันได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีกต่อไป หากไม่เชื่อก็ลอง ยังไงเสียข้าก็เก็บคนพวกนี้มาจากข้างทาง ดังนั้นข้าจึงไม่ได้ใส่ใจพวกมันนักหนาอยู่แล้ว”

ท้ายประโยค ทำให้พวกเยี่ยฉวนแทบเต้น

“เก็บมา ?”

“เวรเอ๊ย !”

โม่อวิ๋นฉีเหลือบมองชายชราอย่างไม่สบอารมณ์ “จัดการเลยดีไหม ?”

เยี่ยฉวนหันมามองผู้พูด “เจ้าลงมือก่อน ?”

“ลงมือก็บ้าแล้ว !” โม่อวิ๋นฉีหน้ามุ่ยหันมาจ้องหน้าเยี่ยฉวน “ข้าไม่หลงกลเจ้าอีกแล้ว !”

ตอนนี้เยี่ยฉวนหันมาพูดเสียงขึงขัง “พี่ชาย อีกหน่อยถ้าเจ้าจะไปตีกับใคร อย่างน้อยช่วยคำนึงถึงฝีมือ ของอีกฝ่ายสักนิดจะได้ไหม ? หากเจ้าคิดไปตีกับเขาควรเพราะมั่นใจในชัยชนะไม่ใช่หรือ ? อย่าเที่ยวคิดไป ตีกับใครหากไม่มั่นใจในชัยชนะ เพราะหาไม่แล้ว นอกจากเจ้าจะไม่ได้ตีเขา แต่มันจะกลายเป็นเจ้าขอร้องให้เขามาตีตนเอง !”

โม่อวิ๋นฉีหุบปากเงียบ “…”

ตอนนั้นเองที่อาจารย์ใหญ่จี้ได้หันมาทางคนทั้งคู่ ก่อนจะพูดออกมา “พวกเจ้ามัวคุยกันอยู่ทำไม ? กลับไปได้แล้ว !”

โม่อวิ๋นฉีและไป๋เจ๋อขยับจะหันออกไป ทว่าทันใดนั้นเยี่ยฉวนกลับร้องออกมาเสียก่อน “ช้าก่อน !”

ทุกคนหันมามองอย่างสงสัย !

ทันใดนั้นเองเยี่ยฉวนพลันเดินเข้าหาร่างไร้วิญญาณของศิษย์แห่งฉางมู่ซึ่งเรียงรายอยู่กับพื้น เขาก้ม เก็บห่อเบี้ยและอาวุธขึ้นมาจากทุกร่าง ยกเว้นจั้วหลี

หลังมองเห็นชัดเต็มสองลูกตาในสิ่งที่เยี่ยฉวนกำลังทำ ทุกคนก็ต่างตกใจสุดขีด

ทางด้านชายชราที่เห็นดังนั้นก็พลันล้มตัวลงนอนบนโขดหินก้อนเดิม ทำแกล้งตาย !

วินาทีนั้นโม่อวิ๋นฉีรีบตรงแน่วมาหา กระตุกชายเสื้อของเยี่ยฉวนเป็นเชิงสะกิด “พี่ชาย เจ้าไม่รู้สึก เสื่อมเสียเกียรติบ้างหรือ ? คนมองกันใหญ่แล้ว”

เยี่ยฉวนหันมานิ่วหน้า “เสื่อมเสียเกียรติ ? เจ้าอยากกินหญ้าแทนข้าวหรืออย่างไร ?”

ได้ยินคำนี้โม่อวิ๋นฉีจึงหยุดปาก ถอยกลับไปอยู่ข้างไป๋เจ๋ออย่างเงียบหงอย

ที่สุดตนเองต้องยกฝ่ามือขึ้นปิดบังใบหน้า พร้อมกับสั่นศีรษะ “ขายหน้า ! น่าขายหน้าสิ้นดี…”

ชายหนุ่มหาได้สนใจอีก เขาเก็บถุงใส่เบี้ยได้แปดหรือเก้าห่อและอาวุธอีกห้าหรือหกชิ้น ชายหนุ่มหยิบ อาวุธเหล่านั้นขึ้นมาพิจารณา พลางคิดว่าของพวกนี้มิใช่อาวุธธรรมดาทั่วไป ถ้านำไปขายคงจะได้ราคาดี !

เยี่ยฉวนพยักหน้าอย่างพออกพอใจ พลันสายตาเหลือบเห็นสองหนุ่มไป๋เจ๋อและโม่อวิ๋นฉีซึ่งถอยออกไปยืนดูห่าง ๆ จึงว่า “พวกเจ้ามัวยืนงงอยู่ทำไม ? รีบมาช่วยข้าไปเอารถม้าบรรทุกของกลับ !”

ทว่าคนทั้งสองยังไม่ยอมขยับ

เยี่ยฉวนจึงพูดอย่างสบายอารมณ์ “เย็นนี้ เจ้าสองคนออกไปเล็มหญ้าหน้าสำนักเอาแล้วกัน !”

เพียงเท่านั้นโม่อวิ๋นฉีพลันวิ่งพรวดตรงไปที่รถม้าบรรทุกของและกระโดดขึ้นไปนั่งประจำที่ ไป๋เจ๋อมีท่าทีลังเลเล็กน้อย ก่อนที่สุดท้ายจะเดินตามคนทั้งสองไป

สายตาหลายคู่ของศิษย์แห่งสถานศึกษาฉางมู่ ได้แต่มองตามคนทั้งสามและรถบรรทุกเคลื่อนที่ไกล ออกไปทุกขณะ

ชายชรายังคงนอนเอนกายบนโขดหิน ท่าทางเหมือนคนกำลังหลับสนิท

หลีซิ่วมองมาที่ร่างคนที่นอน สายตาแน่วแน่ “เรื่องในวันนี้มันยังไม่จบ ยังเพียงแค่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น !”

พูดจบจึงหันหลังจากไปพร้อมศิษย์จากสถานศึกษาฉางมู่ที่เหลือ

ร่างคนที่นอนพังพาบยังไม่เคลื่อนไหว เปลือกตาปิดลงครึ่งหนึ่ง มีเสียงกรนดังลอดออกมา

เหตุการณ์ระหว่างสถานศึกษาฉางหลานและสถานศึกษาฉางมู่ แพร่สะพัดอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าโรค ระบาดไปทั่วทั้งเมืองหลวง

คนที่รู้ข่าวพากันตกใจจนแทบสิ้นสติ !

“ศิษย์จากสถานศึกษาฉางหลานสังหารศิษย์จากสถานศึกษาฉางมู่ !”

“กี่ปีมาแล้วที่ไม่เคยปรากฏเหตุการณ์เช่นนี้ ?”

“ฉางหลานจะกลับมารุ่งเรือง ?”

ผ่านไปไม่นาน ผู้คนในเมืองต่างพากันวิพากษวิจารณ์ต่อสิ่งที่เกิดขึ้น

ภายในตำหนักบำเพ็ญเพียร ในพระราชวังหลวงแห่งแคว้นเจียง

บุรุษกลางคนในเสื้อคลุมเจิดจรัสนั่งพิจารณาวัตถุที่ระลึกในมือ เขามองนิ่งอยู่นานก่อนมีเสียงหัวเราะ แผ่วเบา

คนผู้นั้นผุดลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินตรงไปทางประตูตำหนัก ทอดสายตาเหม่อมองไปที่แสนไกล “ในบรรดาข่าวที่เสี่ยวจิ่วนำมา เรื่องของชายหนุ่มเพียงคนเดียวผู้กล้าหาญเผชิญหน้ากับทหารม้าเกราะดำหนึ่งพันนายที่.เมืองชายแดน ตอนนี้เขามาที่เมืองหลวงแล้ว ชายผู้นั้นต้องเป็นเยี่ยฉวนที่ทุกคนกำลังพูดถึงในเวลานี้แน่นอน !”

มุมหนึ่งของตำหนัก เสียงของสตรีพูดขึ้นมาว่า “ข้าตรวจสอบภูมิหลังของคนผู้นี้แล้ว เขาเป็นชาวเมืองชิง มีน้องสาวเพียงคนเดียว บิดามารดาทิ้งไปตอนเป็นเด็กจึงมาอยู่กับตระกูลเยี่ย สุดท้ายเขาละทิ้งตระกูลเยี่ยเพื่อพาน้องที่ป่วยหนักเดินทางมารักษาตัวที่เมืองหลวงเพคะ”

ฝ่ายชายมองมาทางต้นเสียงแล้วพูดพลางยิ้มน้อย ๆ “ดูเหมือนเจ้าจะถูกใจเขานะ”

ที่มุมห้อง มีเสียงล้อรถเข็นเคลื่อนออกมาจากมุมมืด บนที่นั่งมีหญิงสาวในชุดดำที่งดงามราวกับภาพวาด นางมีอายุไม่มากและใบหน้างดงามมากคนหนึ่ง ทว่าเส้นผมกลับเป็นสีขาวราวเกล็ดหิมะ !

นอกจากนั้น นัยน์ตาทั้งสองเปลือกยังตาปิดตลอดเวลา

สตรีในชุดดำพูดเสียงเบา “ผู้เยี่ยมยุทธ์อันหลานซิ่วเอาใจใส่ต่อชายผู้นี้เป็นพิเศษ อีกทั้งขนาดเขาสังหารผู้อาวุโสแห่งสำนักอัปสรเมรัยแล้วยังรอดไปได้ ดังนั้นจึงยากจะสืบเรื่องที่มากกว่านี้เพคะ”

เสียงของชายกลางคนเอ่ย “ขนาดสังหารผู้อาวุโสแห่งสำนักอัปสรเมรัยไปแล้วยังมีชีวิตรอด นี่นับว่า ท้าทายไม่น้อย”

พลันเขาเดินกลับไปที่โต๊ะทำงานและหยิบเหรียญทองคำขึ้นมาถือ จากนั้นหันไปหยิบพู่กันด้ามทองคำ และจรดปลายพู่กันเขียนหนึ่งตัวอักษรว่า ‘เยี่ย’ ลงบนด้านหน้า

พลิกเหรียญกลับด้านหลังปรากฏตัวอักษรว่า ‘ผู้เยี่ยมยุทธแห่งแคว้น’

ทันใดนั้น เขาเงยหน้ามองมาทางหญิงสาวบนรถเข็น “เจ้าไม่คิดห้ามข้าหรือ ?”

หญิงสาวตอบด้วยคำถาม “ทำไมต้องห้ามเพคะ ? ทำดีร้อยครั้ง ไม่เท่าพลาดพลั้งครั้งเดียว !”

ชายผู้นั้นแหงนหน้าหัวเราะเสียงดัง “คนรุ่นใหม่ทุกวันนี้ล้วนมีแต่เรื่องให้ต้องบ่นว่า โดยเฉพาะคนที่มา จากตระกูลชั้นสูงและเรียนสูง เรื่องของแคว้น ? ไม่เคยมีอยู่ในหัวใจ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว การที่ชายหนุ่มคนหนึ่ง แสดงความกล้าหาญ ยืนหยัดต้านทานกองทหารแห่งแคว้นถังทั้งที่ตนหาได้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพียงเท่านี้นับว่า เพียงพอที่เขาสมควรได้รับการเชิดชูในฐานะ ‘ผู้เยี่ยมยุทธแห่งแคว้น’ แล้ว !”

เขาหันมามองหญิงสาวในชุดดำขณะที่พูดพลาง “ท่านช่วยนำเรื่องนี้ไปแจ้งต่อสถานศึกษาฉางหลานให้ข้าที อาจารย์ลู่”