หนังเรื่องนี้ได้จบลงแล้ว
จะไม่ติดใจเลยหากแดนเฉินซี่ได้ไม่พูดกับซวนเทียนซงว่า “แม้แต่เพื่อนหลายร้อยปีก็ยังต้องแยกทางกัน” และเมื่อหลี่ยิงฉีได้ฟื้นความจำในชีวิตก่อนหน้านี้ของเธอ ส่วนหยูกวนในก่อนที่เธอกำลังจะตายเธอได้บอกกับซวนเทียนซงด้วยความรักและความเสียใจว่า “เทียนซงในที่สุดข้าก็ได้พบท่าน” คำพูดมันกินส่วนที่อ่อนไหวที่สุดของผู้ฝึกฝนและนักรบที่กำลังดูหนังอยู่
ฉากแรกแสดงให้เห็นว่าการไร้ซึ่งความสามารถของมุนษย์ต่อหน้าชะตากรรม ฉากที่สองนำเสนอความน่าหลงไหลของวัฏจักรในชีวิตที่ผ่านมาของผู้คนรวมไปถึงชีวิตในปัจจุบัน มันเป็นความรู้สึกที่แตกต่างจากกระบี่เทพสังหารและเซียนกระบี่พิชิตมารมันกลับอ่อนโยนและเก็บความรู้สึกที่ซ่อนลึกลงไปคล้ายกับชาที่มีรสชาติอ่อนหวานในตอนแรกที่ได้ลิ้มลอง มันหวานหอมแต่ตราตรึงใจนาน
การต่อสู้ครั้งสุดท้ายของหยูกวนเหมือนกับได้ปลุกประสบการณ์ช่วงเวลาของความรักของผู้ชมราวกับจุดเปลวไฟในหัวใจ พวกเขาไม่เคยจินตนาการมาก่อนว่าการต่อสู้นี้นอกจากจะสอนเรื่องเทคนิคแล้วยังมีสิ่งอื่นที่ชวนหลงใหลอีกมากมาย
เวอร์ชั่นนี้ถูกสร้างขึ้นใหม่โดยระบบแต่อ้างอิงจากโครงเรื่องเดิมโดยมีการปรับปรุงสมบัติต่างๆ ทางจิตวิญญาณให้มีความหมายที่ลึกซึ้งส่วนเนื้อเรื่องนั้นกินใจและสะท้อนถึงจิตใจผู้คน
“ข้าประหลาดใจที่มีผู้ฝึกฝนเช่นนนั้นบนภูเขาซู!” แม้ว่าเรื่องนี้จะจบลงแล้วแต่หลายคนยังลังเลที่จะเดินออกจากเรื่องราว พวกเขารู้สึกเสียใจแทน
“ดาบสายฟ้าแห่งสวรรค์, ดาบไฟหนานหมิงลี่, ปีศาจเลือดหยูกวน .. การต่อสู้ครั้งนี้สนุกมาก!” หลันโมแห่งพันธมิตรวู่เว้ยเอ่ยชม
“ข้าได้รับแรงบรรดาลใจมากมายจากการดูหนัง!” ตังหยวนกล่าว “ความสามารถของปีศาจเลือดในการควบคุมวิญญาณนับหมื่นนั้นสุดยอดมาก การต่อสู้ระหว่างซวนเทียนซงและแดนเฉินซี่ก็ดีเช่นกันแถมเทคนิคการควบคุมดาบของกลุ่มอี้เมยนั่นเป็นส่วนต่อยอดให้ข้าอย่างมาก ข้าจะต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วนหลังจากกลับถึงบ้าน”
“ดูกระจกสวรรค์!” ซูเหลียวชูกระจกออกมา
“กระจกสวรรค์?” หลินเซียวทำหน้าเพลียเมื่อเห็นซูเหลียวถือกระจกที่แอบซื้อมาจากคิวโซนไว้ในมือ
“…”
ยางคนที่ไม่ได้ดูหนังเริ่มมีคำถามในกลุ่มพูดคุย
ซีเฉินโจว (หนังเรื่องศึกเทพยุทธภูผาซูเป็นยังไงบ้าง?)
(มันสุดยอดมาก เจ้าจะเสียใจหากไม่ได้ดู!)
(เจ๋ง!)
(พลาดไม่ได้!)
“…”
ข้อความเริ่มคึกครื้น
ซงฉิงเฟิง (ดาบคู่เป็นอาวุธที่เจ๋งมากจริงๆ)
หลินเซียว (เจ้าไม่คิดหรอว่าดาบไฟหนานหมิงลี่นั้นทรงพลังมากกว่า)
ปีศาจดำ (ไร้สาระหยูกวนปีศาจเลือดเป็นปีศาจที่ทรงพลังที่สุด หากไม่มีอาวุธของพระเจ้าป่านนี้กลุ่มอี้เมยถูกทำลายไปนานแล้ว)
อาจารย์ซีชิแสดงความเห็นหลังจากดูหนังมานาน (มุมมองของข้าเกี่ยวกับผู้ฝึกฝนนั้นเปลี่ยนไปหลังจากที่ดู หากใครสนใจควรดูมันจริงๆ ข้ากล้าพูดได้เลยว่าสถานการณ์ทั้งหมดในโลกผู้ฝึกฝนนั้นล้วนแตกต่างกันถ้าเราสามารถได้เรียนรู้สักเศษเสี้ยวเล็กๆ ของพลังในหนังก็คงจะดี)
จุนหยางชี (โบราณวัตุทางจิตวิญญาณและวิธีการสร้างนั้นแตกต่างจากของเราอย่างสิ้นเชิง ในหนังมันเป็นเหมือนของขวัญที่ส่งมอบจากพระเจ้าเราควรให้ผู้เชี่ยวชาญคัดลอกและศึกษารูปแบบของมันเพื่อนำมาทำแบบอย่าง)
ต้วนบูยี่ (เมื่อกระจกสวรรค์ออกมามันเต็มไปด้วยแสงสว่างข้าแทบดูมันไม่ทัน)
ยือหยัน (ท่านไม่รู้วิธีกดหยุดชั่วคราวใช่มั้ย? ข้าเองก็ไม่ทันแต่ข้ารู้ว่ามันสามารถกดหยุดและตรวจสอบดูโครงสร้างได้)
ต้วนบูยี่ (เราทำแบบนั้นได้ด้วยหรอ?)
ตังหยวน (อย่างไรก็ตามแต่ข้าวางแผนที่จะดูมันอีกครั้ง มีใครต้องการเข้าร่วมมั้ย?)
นาหลันฮงวู (ข้าเองก็ว่าจะดูอีกรอบ)
เยซงเต๋า (ข้าด้วย)
อาจารย์ซีชิ (ข้าอยากดูมันอีกครั้ง)
นักบวชเต๋าปีแดง (มันยังไม่ลึกซึ้งสำหรับข้าสักเท่าไร ข้าต้องการดูอีกครั้ง!)
“…”
“มันทรงพลังขนาดนั้นเลยหรอ?” หลายคนที่ไม่ได้ดูเริ่มหวั่นและมีแพลนว่าจะไปดู
หลายคนทำมากกว่าดู เช่นอาจารย์ซีชิเมื่อเธอดูจบและกลับไปยังสำนัก “ศิษย์น้องเราควรแนะนำหนังเรื่องนี้ให้แก่หัวหน้าสำนักของเราดีมั้ย?”
อาจารย์ผู้อาวุโสไร้ตัวตนเห็นด้วยกับคำแนะนำของเธอ “เราควรถามและแนะนำศิษย์พี่ของเรา เพื่อให้พวกเขาได้เห็นถึงสมบัติทางจิตวิญญาณที่ทรงพลังที่มากมายเช่นกระจกสวรรค์ดาบคู่ ข้าว่าพวกเราเองก็น่าจะอยู่ในระดับเดียวกับภูเขาหวู่ไท่ หากเราอยู่ในเหตุการณ์นั้นและร่ายแสงแห่งหนานหัวอันแข็งแกร่งออกไป ข้าว่าคนจะต้องยกย่องกลุ่มเราแน่ๆ”
“อืม .. ที่เจ้าพูดน่าสนใจ” อาจารย์ซีชิกล่าว “กลุ่มหนานหัวของเรามีขุมทรัพย์อันทรงพลังซึ่งสืบทอดกันมาหลายต่อหลายรุ่นนับตั้งแต่ก่อตั้ง ..”
ขณะเดียวกัน ณ กลุ่มเฮารัน
“ผู้อาวุโสต้วน!” ผู้ฝึกฝนหน้าเหลี่ยมสวมเสื้อคลุมสีขาวเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “ท่านรู้มั้ยว่าข้ายุ่งแค่ไหน ในฐานหัวหน้าสำหนักแทนที่จะช่วยข้าเจ้ากำลังขอให้ข้าเดินทางไปยังเมืองครึ่งที่ห่างไกล .. จุดประสงของการไปที่รั้รคืออะไร?”
“เมื่อท่านกลับมาท่านเอาแต่พูดถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของกลุ่มอี้เมยที่อยู่ในภูเขาซู กลุ่มอี้เมยอยู่ที่ไหนในโลก? ท่านกำลังจะบอกข้าว่าข้าจะเสียใจแน่หากไม่ไปที่นั่น? ข้าคิดว่าข้าต้องเสียใจแน่หากไปที่นั่น!”
ณ พระราชวังยี่มุ
นักบวชเต๋าผู้เฒ่าเอ่ย “อะไรคือดาบสวรรค์? มันจะมีพลังมากกว่าเปลวไฟที่แท้จริงของยี่มุของเราหรือ? ศิษย์น้องเจ้าเพียงแค่ต้องเข้าใจถึงม้วนหนังสือม้วนสุดท้ายของกลุ่ม ข้าบอกเจ้าหลายครั้งแล้วว่าเจ้าต้องทบทวนให้ดีเจ้าไม่สามารถที่จะเร่งรัดกระบวนการได้หากยังไม่ถึงบอขเขตที่สูงสุดในการฝึกฝน”
“ศิษย์พี่อาวุโสข้าคิดว่าข้าไม่จำเป็นต้องอ่านม้นหนังสือ” นักบวชวัยกลางคนที่พาสาวกไปร่วมการประมูลเอ่ย “ข้าทบทวนจนถึงเนื้อหาและเข้าใจมันอย่างลึกซึ้งเป็นสิบครั้งแล้ว”
“เป็นการดีที่สุดหากเจ้าไม่อ่อนแอและไหวไปกับสิ่งเร้า” ผู้อาวุโสมองเขา “เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”
“ข้าบอกว่าข้าสามารถเข้าใจถึงเนื้อหาของเปลวไฟแล้ว” เขาตอบจากนั้นเขาเสกเปลวไฟไว้ในมือเพื่อแสดงให้ดู
“นี่เป็นพลังระดับสิบของเปลวไฟยี่มุ!” ผู้อาวุโสมองเปลวไฟที่อยู่ตรงหน้าด้วยความสงสัย “แต่สีมันดูเพี้ยนไปมันควรจะเป็นสีน้ำเงินเปลวขาวสิ .. ข้าไม่เคยเห็นสีส้มเปลวน้ำเงินแบบนี้มาก่อน”
“นี่คือเปลวไฟยี่มุที่แท้จริงหลังจากที่ข้าได้อ่านหนังสือสวรรค์และศึกษเรื่องดาวเปลวไฟหนานหมิงลี่ นอกจากนี้เปลวไฟยังมีพลังมากกว่าเดิมอีกเท่าตัว”
“อะไร!?” นักบวชเต๋าอาวุโสมองหน้าศิษย์น้องของเขาด้วยสายตาตกตะลึง