ตอนที่ 208 ขบวนแห่

บุตรอสูรบรรพกาล

บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 208 ขบวนแห่

 

“พ่อ นั่นอะไรนะ” เด็กชายคนหนึ่งถามขณะมองไปยังกลุ่มคนจํานวนมากที่กําลังเดินทางด้วยรถม้าที่สลักเป็นรูปมังกรสีทองสวยงาม

 

“เจ้าไม่ได้ฟังที่เจ้าเมืองประกาศหรือไง” ผู้เป็นพ่อว่าพลางมองไปรอบๆ นอกจากเมืองจะสะอาดผิดปกติแล้ว ตลอดทางยังตกแต่งอย่างสวยงาม แม้แต่ถนนที่กลุ่ม คนนั้นเดินผ่านยังปูพรมแดงตั้งแต่ประตูตะวันตกยันประตูตะวันออก เรียกได้ว่าแค่ค่าพรมก็หมดไปมากมายมหาศาลแล้ว

 

“นั้นเป็นขบวนแห่เจ้าสาวของเจ้าหญิงซูหลานยังไงล่ะ” ผู้เป็นพ่อตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง ยามนี้คนทั้งเมืองต่างมาห้อมล้อมขบวนแห่กันอย่างหนาแน่น เนื่องจากระยะห่างของวังอาณาจักรอู๋กับวังของอาณาจักรชูห่างกันเกินไป ขบวนแห่ของซูหลานจึงถูกจัดขึ้นที่เมืองชายแดงของอาณาจักนอู๋แทน โดยจะเดินทางจากเมืองของอาณาจักรธุ์ไปยังเมืองชายแดนของอาณาจักรชูเพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าได้ส่งเจ้าสาวจากอาณาจักรอู๋ไปยังอาณาจักรชูแล้ว และหลังจากนั้นทั้งสองจะเดินทางไปเข้าพิธีอภิเสกสมรสต่อที่วังของอาณาจักรชู

 

“ข้าอยากเข้าไปดูใกล้ๆจัง” หญิงสาวคนหนึ่งพูดพลางพยายามเดินเข้าไปใกล้พรมแดงที่ถูกปูเอาไว้ทั้งถนน

 

“ไม่ได้ ออกมานะ” ผู้เป็นแม่ห้ามลูกสาวของตนเอาไว้พลางดึงนางกลับอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเป็นขบวนแห่ขององค์หญิงซูหลาน ทําให้เหล่าเชื้อพระวงศ์มาร่วมงานกันเกือบทั้งหมด ทําให้เหล่าองครักษ์ส่วนใหญ่ต่างออกมาคุ้มกันขบวนด้วยเช่นกัน พวกมันไม่ปล่อยแม้แต่แมลงตัวเดียวให้เข้ามาในขบวนโดยเด็ดขาด

 

“อีกหน่อยคนของพวกเราคงสามารถข้ามชายแดนได้ง่ายๆแล้วกระมัง” องค์ชายชูเฟิงผู้ขี้ม้าสวรรค์สีขาวอยู่เบื้องหน้าขบวนแห่พูดพลางเดินผ่านเขตแดนระหว่างอาณาจักรอู๋กับอาณาจักรชูไปช้าๆ

 

“เป็นเช่นนั้นได้ก็คงดี”อู๋หมิงหัวเราะพลางเดินตามชูเฟิงไป เพราะเงื่อนไขของงานอภิเษกสมรสครั้งนี้ทําให้อาณาจักรอู๋และอาณาจักรชูกลายเป็นมิตรกันอย่างเปิดเผย เส้นทางระหว่างอาณาจักรทั้งสองก็จะเปิดกว้างขึ้นอย่างแน่นอน

 

“รีบไปกันเถอะ ข้าแทบจะรอไหว้ฟ้าดินกับเจ้าไม่ไหวแล้ว” ชูเฟิงว่าพลางลงจากหลังม้าเมื่อเดินทางมาถึงเมืองของอาณาจักรชูแล้ว หลังจากนี้พวกมันก็ต้องเดินทางต่อไปยังวังของอาณาจักรชู แต่เพราะเจ้าบ่าวยังไม่อาจเห็นหน้าเจ้าสาวได้ ซูหลานจึงเดินทางไปด้วยรถม้าคนละขบวนกับชูเฟิง

 

“เจ้านี่ก็ไม่เลวนักหรอกนะ” อู๋หมิงว่าพลางมองบ้านเมืองของอาณาจักร

 

“ ข้าน้อยดีใจที่พี่เขยถูกใจข้า” ชูเฟิงยิ้มอย่างอารมณ์ดี

 

“เท่านี้เส้นทางการค้าของเราก็จะเปิดกว้าง อาณาจักรเจ้ คงหลุดพ้นจากสภาพอดอยากแล้วกระมัง”ได้ยินที่อู๋หมิงพูดชูเฟิงกลับยิ่งยิ้มกว้างกว่าเดิม

 

“พี่เขย ข้าได้ข่าวว่าท่านพึ่งกลับมารับตําแหน่งเมื่อไม่นานมานี้มิใช่หรือ” ชูเฟิงถามเสียงเรียบ

 

“เวลาเท่านั้นก็มากพอที่จะทําให้ข้ารู้แล้วว่าสภาพของอาณาจักรเจ้าเป็นอย่างไร”อู๋หมิงตอบด้วยท่าที่เฉยเมย อาณาจักรชูนั้นมีสภาพขาดแคลนแบบนี้มานานแล้ว ไม่ว่าจะยาหรือบุคลากร เพราะถ้าหากไม่เป็นเช่นนั้นพวกมันคงไม่ต้องลําบากให้ไป๋จูเหวินนํายาของตนออกมารักษาคนหรอก

 

“บางทีเราก็ต้องโอนอ่อนบ้าง” ชูเฟิงหัวเราะพลางทอดมองอาณาจักรของตนเอง ความจริงก่อนหน้านี้อาณาจักรของมันเกิดภัยธรรมชาติเข้าเล่นงานมานานหลายปีแล้ว ไม่ว่าจะปัญหาศัตรูพืชและปัญหาภัยแร้ง ทําเอาอาหารและยาขาดแคลนจนย่ำแย่ เพียงแต่มันบิดข่าวเอาไว้ไม่เปิดเผยออกไปนอกอาณาจักรเท่านั้น แต่สภาพย่ำแย่ของอาณาจักรนั้นเลวร้ายมาก ตลอดหลายสิบปีมานี้ประชาชนของมันอดอยากลงเรื่อยๆ แม้ในเมืองใหญ่จะยังไม่เห็นผลเท่าไหร่ แต่ในหมู่บ้านเล็กๆที่ใกล้เขตภัยแร้งนั้นแทบไม่มีอะไรกินกันแล้ว สุดท้ายแล้วชูเฟิงเลยไม่มีทางเลือก ต้องผูกมิตรกับอาณาจักรที่อุดมสมบูรณ์เพื่อเปิดเส้นทางการค้า หากสามารถซื้อขายผลผลิตจากอาณาจักรอื่นได้ ปัญหาขาดแคลนของมันจะต้องลดลงแน่ๆ

 

“แต่เรื่องที่ข้าหลงรักน้องสาวของท่านก็เป็นเรื่องจริงนะ” ชูเฟิงยิ้มพลางหัวเราะออกมา อาณาจักรอู๋เป็นอาณาจักรที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดก็จริง แต่เหตุผลนั้นไม่ได้เป็นเหตุผลหลักที่ชูเฟิงเลือกอาณาจักร แต่เพราะมันมีความรักต่อซูหลา นอยู่แล้วต่างหาก

 

“หากเรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องจริง ข้าคงไม่ยอมให้มีงานแต่งขึ้นหรอก”อู๋หมิงว่าพลางมองชูเฟิงนิ่ง แม้จะได้ผลประโยชน์กันทั้งสองอาณาจักร แต่อย่างน้อยอู๋หมิงก็ไม่ยอมให้ซูหลานไปอยู่กับคนที่ไม่ได้รักนางละนะ

 

“แย่แล้วองค์จักรพรรดิ” ขณะขบวนรถกําลังจอดที่จวนแห่งหนึ่งในเมืองระหว่างทาง อยู่ๆองครักษ์ของอาณาจักรอู๋ก็วิ่งเข้ามารายงานด้วยท่าทีตกใจ

 

“องค์หญิงซูหลานหายไปแล้วขอรับ”ได้ยินเช่นนั้นเหล่าเชื้อพระวงศ์ต่างก็ตกใจกันอย่างมาก

 

“หายไป? หายไปได้อย่างไร”องค์จักรพรรดิและเหล่ามเหสีต่างมีท่าที่ตกใจมากกว่าคนอื่นๆ

 

“เกรงว่าองค์หญิงจะหนีไปแล้วขอรับ นางทิ้งจดหมายฉบับนี้เอาไว้ที่รถม้า”องครักษ์รายงานพลางยื่นจนหมายให้กับองค์จักรพรรดิ

 

“นี่มัน”องค์จักรพรรดิเบิดจดหมายอ่านด้วยสีหน้ากังวลเนื้อความในจดหมายนั้นเขียนเรื่องความกังวลของซูหลาน ทั้งเรื่องที่นางไม่อยากแต่งงานกับชูเฟิงและเรื่องที่นางอยากจะหนีไปอยู่กับคนที่นางรัก

 

“นี่มันเรื่องอะไรกัน” พระมเหสีผู้เป็นมารดาของซูหลานตกใจมากเมื่อเห็นจดหมายในมือของตน

 

“เรื่องเช่นนี้”เทียนเหวินได้ยินเรื่องราวคร่าวๆก็พลันหม่นหมองลงทันที ตัวมันเป็นคนที่ปฏิเสธบัลลังก์เพราะความรัก หากซูหลานเองจะอยากเลือกความรักมากกว่ามันเองก็ย่อมจะเข้าใจ

 

“รวมกําลังคน แล้วออกตามหาองค์หญิงซูหลานเดี๋ยวนี้”อู๋หมิงว่าพลางลุกขึ้นยืน

 

“พี่ใหญ่” เทียนเหวินชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินอู๋หมิงออกคําสั่ง หากพี่ซูหลานไม่อยากแต่งงานขนาดนั้นไม่ใช่ว่าอู๋หมิงสมควรเห็นใจนางหรือ

 

“ใช้กําลังทั้งหมดพาตัวซูหลานกลับมาให้ได้ ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนก็ตาม”อู๋หมิงว่าพลางเรียกกระบี่ทัณฑ์สวรรค์ออกมา

 

“พี่ใหญ่ ท่านไม่คิดว่ามันรุนแรงไปงั้นหรือ”เทียนเหวินหน้าเสียทันทีเมื่อเห็นว่าอู๋หมิงเอาจริงเอาจังกับการตามตัวซูหลานกลับมามาก

 

“เจ้าดูไม่ออกงั้นหรือ”อู๋หมิงถามพลางมองเทียนเหวินด้วยท่าที่ร้อนรน

 

“ดูไม่ออก?”เทียนเหวินมีท่าที่งุนงงทันที หรือเพราะเมื่อครู่มันเอาอารมณ์มาตัดสินมากเกินไปกัน

 

“เจ้าคิดว่าพี่สาวเจ้าจะทิ้งอาณาจักรของตนเองไปเช่นนี้งั้นเหรอ” อู๋หมิงถามพลางออกคําสั่งให้เหล่าองครักษ์ออกไปตามหาซูหลานก่อน

 

“แน่นอน พี่หญิงเป็นคนที่เคารพหน้าที่ของตนเองมาก นางไม่มีทาง…”อยู่ๆเทียนเหวินก็นิ่งไปครู่หนึ่ง ซูหลานไม่ใช่คนที่จะทําเรื่องเสียเพราะอารมณ์ส่วนตัว นางไม่มีทางทําเรื่องอย่างยกเลิกการแต่งงานแล้วหนีออกไปแน่ๆ

 

“ หรือว่า…”เทียนเหวินเบิกตากว้างด้วยความตกใจ

 

“ใช่ มีคนลักพาตัวซูหลานไป”อู๋หมิงตอบพลางพุ่งตัวออกไปข้างหน้า อย่างน้อยเรื่องความเร็วของมันก็ไม่แพ้ใครหน้าไหนแน่ๆ

 

แน่นอนว่าเมื่ออาณาจักรอู๋และอาณาจักรชูร่วมหอลงโรงกันแล้ว ความสัมพันธ์ของอาณาจักรทั้งสองย่อมแน่นแฟ้นขึ้น และปัญหาก็จะไปตกอยู่ที่อาณาจักรข้างเคียง เมื่อ 2 อาณาจักรที่ทําสงครามกันมานาน อยู่ๆก็ร่วมเป็นพันธมิตรกัน เหล่าอาณาจักรใกล้ๆย่อมรู้สึกถึงอันตรายอย่างแน่นอน สิ่งแรกที่พวกมันคิดย่อมเป็นความคิดแง่ร้ายอย่างไม่ต้องสงสัย อย่างแรกที่พวกมันคิดคืออาราจักรอู๋และอาณาจักรซูต้องร่วมมือกันบุกอาณาจักรของพวกมันแน่ๆ และเมื่อเป็นอย่างนั้นพวกมันย่อมต้องพยายามขัดขวางพิธี

 

พรึบ! ร่างของอู๋หมิงทะยานขึ้นเหนือท้องฟ้าพลางเพ่งมองไปรอบๆ พวกมันลักพาตัวซูหลานไปได้โดยไม่มีใครรู้ตัว อย่างน้อยพวกมันจะต้องมีวิชาปิดบังตนเองเหมือนกลุ่มมือลอบสังหารเป็นแน่ ฉะนั้นการสัมผัสพลังของพวกมันจึงไร้ความหมาย อู๋หมิงจึงเลือกที่จะใช้ดวงตาแทน

 

ตุบ.. อู๋หมิงร่นลงบนพื้นถนนอย่างรวดเร็ว มันพบร่องรอบเล็กๆระหว่างทางที่รถม้าเดินทางผ่านมา เพราะพวกโจรลักพาตัวต้องอุ้มซูหลานไปด้วยทําให้วิชาตัวเบาอ่อนด้อยลงไม่มากก็น้อย ซึ่งมันส่งผลให้มีร่องรอยการหลบหนีของพวกมันติดเอาไว้ด้วย

 

ฟุบ! ร่างของอู๋หมิงทะยานไปข้างหน้าราวกับสาบฟ้า ความเร็วของมันยามนี้ต่อให้เป็นคนระดับเทียนเซียนขั้นที่ 10 ก็ยากที่จะตามทัน