เฉินซิ่วฟูนึกโกรธในทันใด จ้องหน้าเยี่ยหลีกก่อนจะเอ่ย “หรือว่าคนที่ติ้งอ๋องฆ่าเมื่อวานนี้สมควรตายอย่างนั้นหรือ”
เยี่ยหลีหลุบตาลงและพูดอย่างแผ่วเบา “กองทัพทั้งสองต่างต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของตัวเองทั้งสิ้น แคว้นต่างๆ จัดการกับเชลยศึกอย่างไรไม่เห็นเคยได้ยินท่านอาจารย์ซิ่วถิงว่าอะไรเลย การสังหารนักโทษ…จริงอยู่ที่ท่านอ๋องนั้นอาจโหดร้ายเกินไปสักหน่อย แต่ก็เพราะมีสาเหตุ สิ่งที่ท่านอาจารย์ซิ่วถิงกล่าวในบทกวีนั้นจะไม่เกินไปหน่อยหรือ”
เฉินซิ่วฟูเบิกตามองเยี่ยหลีด้วยใบหน้าที่เย็นชา พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มว่า “ประชาชนในเมืองเหล่านั้นไม่ถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์หรือ”
เยี่ยหลีกะพริบตา ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยความประหลาดใจ “ประชาชนอะไรหรือ ทหารตระกูลม่อเคยสังหารประชาชนเมื่อไรกัน”
เฉินซิ่วฟูอึ้งไปเช่นกัน เขาได้เห็นกับสองตาว่าม่อซิวเหยาจับประชาชนทุกคนในเมืองไปที่ลานประหาร แม้ว่าหลงซานจะไม่ถือว่าเป็นภูเขาสูง แต่เมื่อถูกกักบริเวณอยู่ในสวนแห่งนี้ ทำให้ได้รับข่าวสารไม่รวดเร็วนัก จึงย่อมไม่รู้ว่าทุกคนถูกม่อซิวเหยาเนรเทศออกจากเมืองเปี้ยนไป เมื่อเห็นท่าทางประหลาดใจของเฉินซิ่วฟู เยี่ยหลีจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เกรงว่าข่าวของท่านอาจารย์ซิ่วถิงจะผิดพลาดเสียแล้ว ท่านแม่ทัพหลงหยางใช้ประชาชนของต้าฉู่เป็นเกราะป้องกันมนุษย์ การกระทำเช่นนี้เป็นสิ่งที่แม่ทัพไม่พึงกระทำ แม้ว่าซีเป่ยจะตัดความสัมพันธ์กับต้าฉู่แล้ว แต่ทหารตระกูลม่อและประชาชนของต้าฉู่ยังคงเป็นสายเลือดเดียวกัน สามีข้าเองก็เกิดมีโทสะขึ้นมาเพียงชั่ววูบ แต่กองทัพตระกูลม่อไม่ได้ทำร้ายชาวเมืองเปี้ยนเลยสักคนจริงๆ ข้าอยากจะขอให้ท่านตรวจสอบเรื่องนี้ให้ดีเสียก่อน”
หลังจากฟังคำพูดของเยี่ยหลี เฉินซิ่วฟูก็รู้สึกสงสัยและดีใจมากขึ้น สำนักหลงซานตั้งอยู่ในเมืองเปี้ยนมานานหลายสิบปี ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการเห็นผู้บริสุทธิ์เหล่านั้นต้องตายไป หลังจากจ้องมองไปที่เยี่ยหลีอย่างละเอียดเป็นเวลานาน ในที่สุดก็แน่ใจว่าเยี่ยหลีไม่ได้โกหกหรือหลอกลวงตน ถึงได้โล่งใจ เขาลุกขึ้นยืน ยกมือคารวะม่อซิวเหยาและเยี่ยหลี ก่อนจะเอ่ย “เรื่องนี้เป็นข้าที่ผิดเอง ขอโทษติ้งอ๋องและพระชายาด้วย”
เฉินซิ่วฟูแตกต่างจากจูเยี่ยนและหลงหยาง เขาไม่เคยเป็นขุนนางในราชสำนักซีหลิง เมื่อเขายังเด็กได้เดินทางท่องเที่ยวไปทั่วใต้หล้า ได้เห็นสิ่งต่างๆ มากมาย มีความรู้ จิตใจกว้างขวาง อีกด้านหนึ่งเขาไม่ได้มีความผูกพันอย่างลึกซึ้งกับราชสำนักซีหลิง ตัวอักษร ขนบธรรมเนียมหรือแม้แต่สายเลือดของต้าฉู่และซีหลิงต่างมาจากแหล่งเดียวกัน เหตุผลที่เขาตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับม่อซิวเหยาก็เพราะม่อซิวเหยาส่งกองกำลังไปบุกโจมตีซีหลิงอย่างโจ่งแจ้ง และต้องการฆ่าล้างบางเมืองเปี้ยน เมื่อรู้ว่านี่เป็นความเข้าใจผิด เขาจึงขอโทษม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีต่อหน้าอย่างไม่ถือตัว
เยี่ยหลีรีบลุกขึ้นมาพยุงเขาและเอ่ย “ท่านอาจารย์ซิ่วถิงไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ ท่านอาจารย์ขึ้นมาพักอาศัยบนภูเขาชั่วคราว ย่อมเข้าไม่ถึงข่าวสารเป็นธรรมดา”
เฉินซิ่วฟูนั่งลงอีกครั้ง ก่อนจะถาม “เช่นนั้น…ในตอนนี้ประชาชนของเมืองเปี้ยนอยู่ที่ใด เหมือนว่าข้า…ไม่เห็นผู้ใดกลับมา”
เยี่ยหลีมองม่อซิวเหยา ก่อนจะพูดด้วยความละอายใจ “ประชาชนทุกคนในเมืองออกไปกันหมดแล้ว” เฉินซิ่วฟูเข้าใจความหมายของคำว่าออกไปดยไม่ต้องให้อธิบาย เขาอดขมวดคิ้วไม่ได้ แม้ว่าจะไว้ชีวิต แต่ผู้คนหลายแสนคนต้องพลัดถิ่น กระทั่งหลายคนไม่สามารถเอาทรัพย์สินของพวกเขาไปได้ ชีวิตในวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไรก็ยังไม่รู้ หลังจากส่ายหัว เฉินซิ่วฟูก็มองม่อซิวเหยา ก่อนพูดว่า “ข้าจำได้ว่า…อาณาเขตของซีเป่ยมีขนาดไม่ใหญ่มาก การกระทำครั้งนี้ของท่านอ๋อง…ข้าพอเข้าใจได้ แต่ไม่อาจเห็นด้วยได้”
ม่อซิวเหยาเลิกคิ้ว ทว่าไม่ได้ตอบ
เฉินซิ่วฟูเอ่ย “ท่านอ๋องคงไม่ต้องการขับไล่ผู้คนทั้งหมดในซีหลิงออกไป แล้วย้ายผู้คนจากซีเป่ยหรือแม้กระทั่งต้าฉู่ให้อพยพมาที่นี่หรอกกระมัง โปรดอภัยที่ข้าพูดไม่อ้อมค้อม ว่าการกระทำครั้งนี้ของท่านอ๋องน่ากลัวจะเลวร้ายเสียยิ่งกว่าการฆ่าล้างเมืองเสียอีก” เมื่อได้ยินเช่นนี้ ในที่สุดม่อซิวเหยาก็เงยหน้าขึ้นและถามว่า “เพราะเหตุใด”
เฉินซิ่วฟูกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้ม “ชาวซีหลิงอาศัยอยู่ในสถานที่แห่งนี้มาหลายชั่วอายุคน หากท่านอ๋องต้องการครอบครองดินแดนเพียงด้านเดียวก็ยังไม่เป็นอะไร แต่หากท่านอ๋องคิดจะขับไล่ชาวบ้านไปตลอดทาง ประชาชนชาวซีหลิงมีมากมายเช่นนี้…ท่านอ๋องจะไล่พวกเขาให้ไปอยู่ที่ใด เมื่อใดก็ตามเมื่อถึงคราวที่พวกเขาไม่มีทางให้ไปต่อ แม้จะเป็นคนธรรมดาที่ไม่มีอาวุธพวกเขาก็คงลุกฮืออยู่ดี ความแค้นระหว่างแคว้นซีหลิงและต้าฉู่นั้นมีอยู่จริง แต่ประชาชนของซีหลิงและต้าฉู่ไม่ได้มีความแค้นเคืองอะไรกันมากมาย เมื่อพันปีก่อน ซีหลิงและต้าฉู่ยังเคยเป็นครอบครัวเดียวกันมาก่อนด้วยซ้ำ หากท่านอ๋องต้องการดินแดนซีหลิง ก็ย่อมรู้ว่าต้องยอมรับคนของซีหลิงด้วย”
ม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีมองหน้ากัน ด้วยความสัมพันธ์และจุดยืนของเฉินซิ่วฟูกับพวกเขา สามารถพูดเช่นนี้ออกมาได้ก็ถือว่าพูดคุยกันอย่างลึกซึ้งแล้ว และถึงขั้นได้แสดงความนัยพิเศษบางอย่างแล้วอีกด้วย เยี่ยหลีพยักหน้าและเอ่ย “สิ่งที่ท่านอาจารย์พูดนั้นถือว่าถูกต้อง เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน เป็นเรื่องที่เราจัดการได้ไม่ดีจริงๆ แต่ขอให้ท่านอาจารย์โปรดเข้าใจว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนมีเหตุผล นอกจากนี้เรามาที่นี่ก็เพื่อเยี่ยมท่านอาจารย์หวังว่าท่านจะช่วยเหลือพวกเราสักเล็กน้อย” เหตุการณ์ในสองวันนี้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อชื่อเสียงของกองทัพตระกูลม่อ เรื่องการเสียชื่อเป็นเรื่องเล็ก แต่หากข่าวการสังหารหมู่ของกองทัพตระกูลม่อ ถูกคนแพร่ออกไปอย่างเกินจริงโดยเจตนา การเดินทางในภายภาคหน้าของกองทัพตระกูลม่อก็มีแนวโน้มที่จะพบเจอกับการต่อต้านอันแข็งขืนอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดความสูญเสียโดยไม่จำเป็น
เฉินซิ่วฟูเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถามด้วยเสียงทุ้ม “พระชายาต้องการให้ข้าทำอะไร”
เยี่ยหลีเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ท่านอาจารย์ซิ่วถิงโปรดกระจายใบประกาศออกไปเพื่อบอกคนทั่วทั้งแผ่นดินว่า เมืองเปี้ยนกลับมาเป็นปกติแล้ว คนเมืองเปี้ยนที่อยู่แต่เดิมหากยินดีที่จะกลับมา ยังคงสามารถกลับมาได้ทุกเมื่อ พวกเราพร้อมคืนทรัพย์สินทั้งหมดให้ นอกจากนี้สำนักหลงซานก็กลับมาเปิดอีกครั้ง และขอให้ท่านอาจารย์ซิ่วถิงช่วยแนะนำคนมีความสามารถที่ช่วยบริหารจัดการเมืองเปี้ยนได้ด้วยเถิด”
เฉินซิ่วฟูจ้องมองเยี่ยหลีอย่างสงบนิ่งเป็นเวลานาน แต่ทั้งสองคนที่อยู่ตรงข้ามรู้ดีว่าหัวใจของเขาไม่สงบอย่างที่คิด คำขอของเยี่ยหลีดูเหมือนจะเรียบง่าย แต่เมื่อเขาเห็นด้วยก็เท่ากับว่าเขาประกาศให้คนทั้งใต้หล้ารู้ว่า อาจารย์ซิ่วถิงสวามิภักดิ์ต่อจวนติ้งอ๋อง เมื่อรับรู้ถึงความลังเลและการต่อสู้ในใจของเขา ทั้งคู่จึงไม่ได้เร่งรัด นั่งดื่มชารอต่อไปอย่างสงบเสงี่ยม
ผ่านไปเนิ่นนาน ใบหน้าของเฉินซิ่วฟูเผยร่องรอยของการตัดสินใจและความมุ่งมั่น ก่อนจะมองไปที่เยี่ยหลี พลางพูดว่า “ข้าตอบตกลงพระชายา แต่ก็ขอให้ท่านอ๋องและพระชายาให้สัญญากับข้าข้อหนึ่งด้วย”
เยี่ยหลีนึกโล่งใจ พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านอาจารย์ซิ่วถิงเชิญสั่งมาได้เลย”
เฉินซิ่วฟูเอ่ย “ขอให้ท่านอ๋องและพระชายารับปากว่า จะไม่สังหารประชาชนชาวซีหลิง”
เยี่ยหลียิ้มพลางเอ่ย “เรื่องนี้แน่นอนอยู่แล้ว กองทัพตระกูลม่อหาใช่กองทัพชั่วร้ายที่กระหายเลือดกระสันการเข่นฆ่าไม่ แล้วก็ไม่เคยรุกรานชาวบ้านทั่วไปด้วย ไม่ใช่หรือ”
เฉินซิ่วฟูพยักหน้าพลางยิ้ม ก่อนจะเอ่ย “ข้าเชื่อพระชายา แล้วก็หวังว่าท่านอ๋องและพระชายาจะไม่ผิดคำพูด”
“เช่นนั้นท่านอาจารย์ก็เชิญรอดูเถิด” เยี่ยหลียิ้มเอ่ย
หลังจากส่งเยี่ยหลีและม่อซิวเหยาไปแล้ว ทหารตระกูลม่อที่เดิมเฝ้าอยู่นอกสวนก็ถอนตัวออกไป ซึ่งนี่ก็เป็นการแสดงถึงความจริงใจของตำหนักติ้งอ๋อง ณ บริเวณสวนหย่อม เฉินซิ่วฟูมองไปที่น้ำชาเย็นๆ บนโต๊ะตรงหน้า ก่อนจะถอนหายใจอย่างเงียบเชียบ
“ท่านอาจารย์ พวกเราจะยอมสวามิภักดิ์ต่อตำหนักติ้งอ๋องจริงๆ หรือ เกรงว่าการกระทำเช่นนี้จะส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของท่านอาจารย์นะขอรับ ใต้หล้าเต็มไปด้วยปากของผู้คน ต่อให้ตำหนักติ้งอ๋องอดกลั้นได้มากแค่ไหนก็คงไม่อาจหยุดยั้งปากของคนทั้งแผ่นดินได้นะขอรับ” บัณฑิตอายุน้อยด้านหลังเฉินซิ่วฟูถามด้วยความกังวลใจ
เฉินซิ่วฟูส่ายหัว เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าบนสวนหย่อมและพูดเสียงทุ้ม “ไม่ว่าชื่อเสียงหรือการถูกว่ากล่าวล้วนเป็นเรื่องลวงตา เมื่อได้เห็นทั้งสองคนนี้แล้ว…ข้าก็รู้สึกขึ้นมาทันใดว่า บางทีรูปแบบของใต้หล้านี้ อาจเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ” ต้าฉู่และซีหลิงเป็นสองแคว้นที่เรืองอำนาจอยู่ในขณะนี้ แต่ปัญญาชนทุกคนต่างจำได้ว่า เมื่อหลายพันปีก่อนอาณาจักรอันยิ่งใหญ่เคยยืนอยู่บนผืนแผ่นดินเดียวกันอย่างไร ในยุคนั้นต่างหากถึงจะเป็นช่วงเวลาที่สงบสุขและรุ่งเรืองของผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วน มีคำโบราณบอกไว้ว่า รวมกันนานเข้าก็ต้องแยกจาก แยกกันนานเข้าก็ต้องกลับมารวมกันใหม่ ใต้หล้าแห่งนี้แตกแยกกันมานานเกินไปแล้ว ในตอนที่คู่สามีภรรยาอยู่ตรงหน้าเขานั้น ในที่สุดเขาก็ราวกับมองเห็นความหวังลมๆ แล้งๆ ที่เขาจะไม่กล้าแตะต้องมาตลอดชีวิต ซึ่งก็คือสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองอย่างจริงแท้
“แต่ว่า ท่านอาจารย์บอกว่าดวงพิฆาตของติ้งอ๋องมากเกินไปจะทำลายความสงบสุขของสวรรค์ ไม่ใช่สิ่งที่เหมาะสมในระยะยาวมิใช่หรือ” บัณฑิตถามอย่างไม่เข้าใจ
เฉินซิ่วฟูหัวเราะ เอ่ย “เพราะตอนนั้นข้ายังไม่ได้เจออีกคนน่ะสิ มีนางอยู่ บางทีติ้งอ๋องอาจจะไม่เข่นฆ่ามากมายขนาดนั้น ครานี้…ชาวเมืองเปี้ยนก็ไม่ใช่ว่าปลอดภัยดีหรอกหรือ ข้าคิดมากไปเอง ท่านอาจารย์ชิงอวิ๋นมองการณ์ไกล เขาจะคิดไม่ถึงสิ่งนี้ได้อย่างไร ในเมื่อท่านอาจารย์ชิงอวิ๋นไม่ได้ห้ามปรามติ้งอ๋องให้ออกศึก ก็แสดงให้เห็นว่า…” แสดงให้เห็นว่าท่านอาจารย์ชิงอวิ๋นก็ชื่นชมติ้งอ๋องเช่นกัน
ในวัยหนุ่ม เฉินซิ่วฟูเคยมีความทะเยอทะยานกับเขาเช่นกัน แต่น่าเสียดายที่ความทะเยอทะยานของเขาไม่ใช่สิ่งที่คนส่วนใหญ่สามารถเข้าใจได้ ผู้คนจำนวนมากมองว่าเป็นเพียงความคิดลมๆ แล้งๆ อันบ้าคลั่งของเขาเท่านั้น หลังจากเจอกำแพงขวางกั้นมากๆ เข้า ในที่สุดเขาก็ท้อแท้ ก่อนจะลงหลักปักฐานที่หลงซานเพื่ออบรมสั่งสอนและให้ความรู้แก่ผู้คน โดยหวังที่จะส่งต่อแรงบันดาลใจและแนวคิดของตนเองต่อไป แต่หลังจากนั้นฮ่องเต้แห่งซีหลิงกลับอ่อนแอและไร้ความสามารถ เจิ้นหนานอ๋องครองอำนาจแต่เพียงผู้เดียว ม่อจิ่งฉีแห่งต้าฉู่ขี้ระแวงและโหดเหี้ยม ต้าฉู่ทั้งหมดที่ดูเหมือนแข็งแกร่ง แต่ในความเป็นจริงกลับอ่อนแอลง เรื่องราวต่างๆ ระหว่างนี้ทำให้เขาสิ้นหวังไร้หนทางจนยอมแพ้ในที่สุด เขาถึงขั้นฝันเห็นคนนอกชนเผ่าเข้ามารุกราน ต้าฉู่และซีหลิงสูญสิ้นตัวตน แต่คิดไม่ถึงว่า เมื่ออายุย่างเข้าหกสิบปี เขาจะได้เห็นความหวังอันริบหรี่นี้อีกครั้ง
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เฉินซิ่วฟูรู้สึกเสียใจที่ตนเลยวัยฉกรรจ์มานานแล้ว หากเขาเด็กกว่านี้สักยี่สิบปี…
เขาเงยหน้ามองขึ้นท้องนภาอันปลอดโปร่งไร้เมฆ เฉินซิ่วฟูพึมพำ “ชีวิตนี้ข้าทำอะไรไม่สำเร็จเลยสักอย่าง ตายไปก็ไม่มีอะไรน่าเสียดาย แต่ตอนนี้แค่หวังว่าจะมีชีวิตอยู่ต่ออีกสักสองสามปี บางทีอาจทันได้เห็นความสงบและความเจริญรุ่งเรืองที่แท้จริงในช่วงชีวิตของข้า”
ความสงบและความเจริญรุ่งเรืองหรือ ลูกศิษย์หนุ่มข้างหลังตกใจ ไม่คาดคิดมาก่อนว่าอาจารย์ตั้งความหวังกับคนคู่นั้นไว้สูงเช่นนี้ ถึงแม้เขาจะไม่ได้เห็นคู่สามีภรรยาติ้งอ๋องด้วยตาตัวเอง แต่ก็ได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดคุยกันเพราะเขาแอบอยู่ข้างหลัง เมื่อมองส่งทั้งสองคนกลับไป ชายหนุ่มก็รู้สึกว่าบนโลกนี้ไม่มีคู่ไหนที่เหมาะสมไปกว่าพวกเขาอีกแล้ว
“ท่านอาจารย์ จะต้องได้เห็นวันนั้นแน่ขอรับ” นักเรียนหนุ่มเอ่ยเสียงเบา