เมื่อได้ความช่วยเหลือจากท่านอาจารย์ซิ่วถิง สถานการณ์ของเมืองเปี้ยนจึงดีกว่าที่พวกเขาคิดไว้มาก ท้ายที่สุดแล้วเมืองเปี้ยนไม่ใช่สถานที่เดียวที่มีสงครามในช่วงกลียุคเช่นนี้ ถ้าประชาชนคนธรรมดาเหล่านี้ไม่ถูกบีบบังคับจนไร้หนทาง พวกเขาจะไม่เลือกทิ้งบ้านเกิดเมืองนอนไปง่ายๆ แม้ว่าเฉินซิ่วฟูจะไม่เลื่องชื่อเท่าท่านอาจารย์ชิงอวิ๋น แต่อย่างน้อยเขาก็มีบารมีเพียงพอในเมืองเปี้ยน แม้ว่าบางคนจะติฉินนินทาเรื่องที่เขายอมสวามิภักดิ์ต่อตำหนักติ้งอ๋อง แต่หลายคนก็ยังคงเลือกที่จะกลับไปที่เมืองเปี้ยน หลังจากได้ยินและเห็นประกาศที่เขียนโดยเขา
ประชาชนเหล่านี้ปลอบขวัญได้ง่ายนัก การกระทำของหลงหยางที่กำแพงเมืองในเมืองเปี้ยน ทำให้กองทัพตระกูลม่อมีเหตุผลเพียงพอ ที่จะอธิบายพฤติกรรมของม่อซิวเหยาก่อนหน้านี้ แม้ว่าพวกเขาจะเสียขวัญไปแล้วและยังคงกลัวกองทัพตระกูลม่อ แต่ท้ายที่สุดแล้ว…กองทัพตระกูลม่อก็ไม่ได้ฆ่าประชาชนคนธรรมดาเลยแม้แต่คนเดียวไม่ใช่หรือ หนึ่งในนั้น บางทีอาจจะเป็นเพราะชื่อเสียงอันดีงามของกองทัพตระกูลม่อในช่วงหลายชั่วอายุคนที่ผ่านมาที่มีบทบาทสำคัญต่อเรื่องนี้เช่นกัน
พวกเขาใช้เวลาสองวันในการจัดการกิจการสำคัญของเมืองเปี้ยน รวมถึงการจัดพิธีฝังศพของแม่ทัพหลงหยางและจูเยี่ยนอย่างยิ่งใหญ่ด้วยเกียรติของแม่ทัพ การที่เขาทำช่นนี้ยังทำให้ประชาชนของเมืองเปี้ยนที่เดิมทียังรู้สึกหวาดระแวง รู้สึกดีต่อกองทัพตระกูลม่อมากขึ้น หลังจากจัดการเรื่องเหล่านี้เสร็จสิ้น ก็ถึงเวลาที่กองทัพตระกูลม่อต้องออกเดินทางต่อไป แม้จะเชื่อว่าเมื่อมีหลี่ว์จิ้นเสียนคอยเฝ้ารักษาการณ์อยู่แล้ว เจิ้นหนานอ๋องจะไม่สามารถกลับมาช่วยเสริมกำลังได้ในเร็วๆ นี้ แต่คงเป็นการดีกว่าหากสงครามครั้งนี้จะเริ่มเร็วจบเร็ว ม่อซิวเหยาทิ้งกำลังทหารส่วนหน้อยกับคนที่คอยสั่งการชั่วคราวไว้ที่เมืองเปี้ยน เช้าตรู่วันที่สามพวกเขาก็ออกเดินทางกันอีกครั้ง อีกไม่กี่วัน ซีเป่ยย่อมส่งคนมารับช่วงต่อที่เมืองเปี้ยน พวกเขาไม่สามารถทิ้งกำลังทหารจำนวนมากไว้เพื่อรักษาการณ์ได้ เนื่องจากเดิมทีกองทัพตระกูลม่อก็มีกำลังทหารจำนวนไม่มากนักอยู่แล้ว
ทันทีที่ออกจากเมืองเปี้ยน ม่อซิวเหยาได้รับรายงานสงครามจากต้าฉู่ ทางตอนเหนือไม่พูดถึงด่านจื่อจิงที่เหลิ่งหวายกำลังพยายามต้านทานทัพใหญ่ทางชายแดนเหนือ ทัพเป่ยหรงที่อยู่ทางทิศเหนือสุดของต้าฉู่ในที่สุดก็ตีทะลุชายแดนต้าฉู่ได้สำเร็จ ทหารม้าจำนวนนับไม่ถ้วนที่กรีฑาทัพผ่านทุ่งหญ้ากรูกันเข้ามาภายในด่าน ระหว่างทางเผา เข่นฆ่าและปล้นสะดมผู้คนไปตลอดทาง ในเวลาเดียวกันชาวต้าฉู่จำนวนมากก็พากันหลั่งไหลเข้าสู่ซีเป่ย และในพื้นที่ด่านเฟยหงก็มักมีชาวเป่ยหรงปรากฏตัวอยู่เป็นระยะๆ แม้ว่าเขาจะไม่ได้ตั้งใจที่จะยั่วยุกองทัพตระกูลม่อในตอนนี้ แต่สวีชิงเฉินจำต้องป้องกันไว้ก่อน
ในเวลานี้ ราชสำนักของต้าฉู่ยังไม่แข็งแกร่งเสมือนแผ่นเหล็กดังเดิม และการต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์นั้นเลวร้ายยิ่งกว่าเมื่อก่อน ในฐานะผู้สำเร็จราชการอย่างม่อจิ่งหลี เขาไม่ได้อุทิศตัวให้กับสงคราม แต่เขากลับเตรียมอย่างลับๆ หากทัพศัตรูเข้าใกล้ฉู่จิงเมื่อใด ก็จะถอยกลับไปยึดครองเจียงหนานทันที
หลังจากอ่านจดหมายที่เพิ่งได้รับ ม่อซิวเหยาก็โยนมันลงบนโต๊ะด้วยใบหน้าที่ตึงเครียดและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ม่อจิ่งหลี เจ้าคนโง่!”
เยี่ยหลีที่นั่งอยู่ข้างๆ หยิบจดหมายขึ้นมาอ่านและยิ้มบางๆ “เป่ยหรง ซีหลิง เป่ยจิ้งล้วนกล้าหาญและเก่งในการทำสงคราม ทั้งสามกองทัพมีความสามารถเท่าเทียมกัน ไม่น่าแปลกใจเลยที่ม่อจิ่งหลีจะยอมโบกธงขาวก่อนที่จะพ่ายแพ้ เพราะเกรงว่าเหลิ่งเฮ่าอวี่จะรับมือไม่ไหว” ม่อซิวเหยาดึงเยี่ยหลีให้เขยิบมานั่งใกล้ตน ก้มหน้าดันศีรษะเข้ากับผมดำขลับของนาง ก่อนจะเอ่ย “เหลิ่งหวายต้านทานมาได้ถึงตอนนี้ ก็ถือว่าไม่เสียชื่อเสียงที่เขาสั่งสมมาครึ่งชีวิตแล้ว หากไม่มีเป่ยหรงและซีหลิงมารังควาน หากราชสำนักต้าฉู่พร้อมใจกันสนับสนุน จะชนะหรือแพ้ก็คงไม่อาจคาดเดาได้ แต่น่าเสียดาย…ที่โชคไม่ดีนัก นี่ไม่ใช่ความผิดของสงคราม”
“เหลยเจิ้นถิงจะไม่ถอนกำลังออกจากต้าฉู่จริงๆ หรือ” เยี่ยหลีมองจดหมายในมือ ก่อนจะขมวดคิ้วพลางถาม
ม่อซิวเหยาส่งเสียง หึ เบาๆ “มีกองกำลังของหลี่ว์ซ่งเสียนสี่แสนนายขวางอยู่ข้างหน้า แล้วยังมีกองกำลังของต้าฉู่อีกหลายแสนนายจับจ้องอยู่ข้างหลัง ทางตอนใต้ก็มีสายตาของหนานจ้าวจ้องเขมือบอยู่ จริงสิ…ยังมีมู่หรงเซิ่นที่ส่งทหารสองแสนนายไปทางทิศเหนือด้วย ต่อให้เหลยเจิ้นถิงอยากถอยก็ไม่อาจล่าถอยได้แล้ว หากเขากลับไปก็คงถูกหลี่ว์จิ้นเสียนขวางไว้จนทำให้มู่หรงเซิ่นตามมาทันจากด้านหลังและรวมตัวกับทหารต้าฉู่ ล้อมเข้าไว้ทั้งสามทิศ เทพแห่งสงครามซีหลิง…อาจจะพังทลายย่อยยับก็เป็นได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือแม้ว่าเขาจะฝ่าแนวป้องกันของหลี่ว์ซ่งเสียนที่ไล่ตามมา แต่เขาจะเหลือกำลังทหารสักกี่นายกัน หากถึงเวลาต้องเผชิญกับการโจมตีของหนานจ้าวกับบรรดาแคว้นเล็กๆ ทางตะวันตก ถึงเวลานั้น…เขาคงจะไม่เหลืออะไรเลย”
เยี่ยหลีขมวดคิ้ว ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถาม “เช่นนั้น เจ้าว่าเขาจะทำอย่างไร”
ม่อซิวเหยาคลึงคิ้ว ครุ่นคิดสักครู่แล้วเอ่ย “ถ้าถอยไม่ได้…ก็คงทำได้เพียงมุ่งหน้าต่อไปเท่านั้น ถ้าเขาสามารถยึดเจียงหนานได้ก่อนมู่หรงเซิ่นและม่อจิ่งหลี…เฮอะ เช่นนั้น ก็คงยุ่งยากแล้วละ” เยี่ยหลียังต้องยอมรับว่า หากเหลยเจิ้นถิงยึดครองเจียงหนานได้ คงจะยุ่งยากมากจริงๆ ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แค่เจียงหนานเป็นดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ซึ่งซีหลิงเทียบไม่ได้เลย เมื่อใดก็ตามที่เหลยเจิ้นถิงได้ครอบครองพื้นที่นั้น เขาเพียงต้องใช้เวลาในการบริหารแค่ไม่กี่ปี เหลยเจิ้นถิงก็จะกลายเป็นเจ้าเหนือหัวของเจียงหนาน จากนั้นเขาจะสลัดฐานะเจิ้นหนานอ๋องแห่งซีหลิงและความเกี่ยวพันทั้งหมดออก ทั้งยังจะมีพลังอำนาจที่แข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าตอนนี้อีกด้วย ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็ยากที่จะบอกว่าการทำสงครามของพวกเขาได้ครั้งนี้หรือว่ากำไรหรือขาดทุน
“ช่างเถิด ต่อให้ขาดทุนเป็นเท่าตัว คนที่ขาดทุนก็คือม่อจ่งหลีกับต้าฉู่ อย่างไรเสียพวกเราก็ต้องเก็บซีหลิงเข้ากระเป๋าให้ได้” ม่อซิเหยากล่าวด้วยเสียงทุ้ม ซีเป่ยไม่มีทางเลือกอื่น เมื่อพิจารณาจากชื่อเสียงแล้ว พวกเขาไม่สามารถสู้กับต้าฉู่ได้ ด้วยวิธีนี้พวกเขาเลือกได้เพียงซีหลิงเท่านั้น คงไม่อาจปล่อยให้กองทัพตะกูลม่อออกนอกด่านไปแย่งชิงดินแดนกับชาวเป่ยหรงเหมือนพวกชนเผ่าเร่ร่อนหรอกกระมัง
คิ้วได้รูปของเยี่ยหลีขมวดเป็นปม คิดเป็นเวลานาน ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “บางทีเราอาจจะกังวลจนเกินไป อย่างไรก็ดีต้าฉู่ยังมีกองกำลังอีกหลายล้านนาย ม่อจิ่งหลีไม่โง่พอที่จะปล่อยให้เหลยเจิ้นถิงยึดครองดินแดนของเขาไปได้โดยง่ายหรอก นอกจากนี้ ถ้าไม่ได้ผลจริงๆ เราอาจขอให้แม่ทัพหลี่ว์ช่วยพวกเขาอีกแรง หรือบางทีเราอาจกลับไปได้ทันกาล” พวกเขาไม่ได้วางแผนที่จะครอบครองดินแดนทั้งหมดของซีหลิง ไม่ว่าซีหลิงจะอ่อนแอแค่ไหน แต่ก็เป็นประเทศที่กว้างใหญ่ อยากครอบครองดินแดนทั้งหมด ต่อให้ราบรื่น เวลาแค่สองสามปียังเป็นไปไม่ได้เลย ตราบใดที่พวกเขาสามารถโจมตีเมืองหลวงของซีหลิงได้ในเวลาอันสั้น เรื่องอื่นๆ ในอนาคตก็ไม่ยากแล้ว
ม่อซิวเหยายิ้มก้มหน้า ก่อนจะจูบเยี่ยหลีที่หว่างคิ้วและพูดพลางยิ้ม “อาหลีพูดถูก ข้าคิดว่า…เหลิ่งหวายไม่อาจกู้สถานการณ์ได้แล้ว ปล่อยให้เหลิ่งเฮ่าอวี่กลับซีเป่ยเถิด” แน่นอนว่าต้องนำแม่ทัพชื่อดังกลับมาให้พวกเขาด้วย แม้ว่าเหลิ่งหวายจะอายุมากแล้ว แต่การนำทัพก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าจางฉี่หลันและหลี่ว์จิ้นเสียน กองทัพตระกูลม่อไม่ได้ทำสงครามมาหลายปี แทบไม่มีทหารผ่านศึกในกองทัพเลย และคนรุ่นใหม่ก็ไม่สามารถนำทัพได้ด้วยตัวคนเดียว นั่นเป็นเหตุผลที่ม่อซิวเหยาต้องนำกองทัพออกรบด้วยตนเองหลายครั้ง ส่วนวิธีที่จะทำให้เหลิ่งหวายเต็มใจที่จะทำงานให้กับกองทัพตระกูลม่อนั้น ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของเหลิ่งเฮ่าอวี่แล้ว
ม่อซิวเหยาไม่สนใจสิ่งเหล่านี้อีกแล้ว เขาวางรายงานสงครามไว้อีกด้านหนึ่ง โอบเยี่ยหลีไว้พลางศึกษาแผนที่ตรงหน้า ตั้งแต่มีเยี่ยหลีมาคอยฝึกฝนหน่วยกิเลน ม่อซิวเหยาต้องยอมรับว่า อย่างน้อยเขามีความก้าวหน้ามากในการสำรวจภูมิประเทศ ในอดีตแม้แต่หน่วยสอดแนมที่มีประสบการณ์มากที่สุดในกองทัพตระกูลม่อ ก็ไม่สามารถสำรวจและวาดแผนที่ที่สมบูรณ์โดยมีข้อผิดพลาดเพียงเล็กน้อยได้ กระทั่งสามารถสร้างสนามรบจำลองบนจานทรายได้อย่างสมบูรณ์เช่นนี้
“ตอนนี้เหลยเถิงเฟิงล่าถอยไปยังเมืองเฟิ่งพร้อมกับทหารที่พ่ายแพ้สามหมื่นนาย บวกกับกองทหารดั้งเดิมที่ประจำการณ์อยู่ในเมืองเฟิ่ง รวมกันแล้วมีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งแสนห้าหมื่นนาย ดูเหมือนว่าจะไม่ยากเท่าไร ปล่อยให้เฉินอวิ๋นเป็นผู้นำในการต่อสู้ครั้งนี้เถิด” ม่อซิวเหยาเอ่ยพลางชี้ไปที่ตำแหน่งบนแผนที่