เยี่ยหลีพยักหน้าเห็นด้วย คิดแล้วคิดอีกก่อนจะเอ่ย “อย่างไรก็ตาม เมืองเฟิ่งแตกต่างจากเมืองเปี้ยน เมืองเฟิ่งตั้งอยู่บริเวณแกนกลางทางแยกของทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออกและทิศตะวันตกของซีหลิง ควรระวังเรื่องที่อาจมีกองกำลังเสริมมาจากทั่วทุกสารทิศ หากถูกพวกเขาตีวงล้อมไว้ เฉินอวิ๋นอาจรับมือไม่ได้” ม่อซิวเหยาครุ่นคิด ก่อนจะเอียงศีรษะพลางเอ่ย “ไม่ควรมีกองกำลังเสริมมากนัก หนานจ้าวส่งกำลังทหารออกไปแล้ว หลังจากข่าวการเสียชีวิตของหลงหยางแพร่ออกไป แคว้นต่างๆ ทางตะวันตกก็พร้อมที่จะเคลื่อนกำลังตลอดเวลา ต่อให้อยากจะส่งกำลังเสริมเพียงใด กลัวก็แต่จะไร้ไพร่พลแล้ว นอกจากนี้…ข้าไม่คิดว่าฮ่องเต้แห่งซีหลิงต้องการให้เหลยเถิงเฟิงมีชีวิตอยู่…”
“ฮ่องเต้แห่งซีหลิงหรือ” เกิดแสงสว่างวาบภายในหัวของเยี่ยหลี ก่อนจะเอ่ย “เหลยเจิ้นถิงกำลังนำทัพออกไปที่อื่น ตอนนี้เหลยเถิงเฟิงก็มาติดอยู่ในเมืองเฟิ่งอีก เป็นโอกาสดีของฮ่องเต้แห่งซีหลิงจริงๆ…” แม้ว่าฮ่องเต้แห่งซีหลิงจะอ่อนแอและไร้ความสามารถ ทว่าฮ่องเต้ที่อ่อนแอและไร้ความสามารถเช่นนี้ กลับอยู่ในอำนาจมานานกว่ายี่สิบปีโดยไม่ถูกเหลยเจิ้นถิงแย่งบัลลังก์ไปได้ ก็น่าจะมีความสามารถอะไรบางอย่าง วันนี้แม้สถานการณ์จะไม่เป็นผลดีต่อซีหลิงอย่างมาก แต่หากฮ่องเต้แห่งซีหลิงต้องการกำจัดจวนเจิ้นหนานอ๋องก็เป็นถือว่าเป็นโอกาสที่ดีที่สุดแล้ว
“เจ้าส่งคนไปหาฮ่องเต้แห่งซีหลิงแล้วหรือ” เยี่ยหลีเงยหน้าถามเสียงเบา
ม่อซิวเหยายิ้มบางๆ “คุณชายสวีสี่” ในบรรดาคุณชายทั้งห้าแห่งตระกูลสวี นอกจากสวีชิงเฉินผู้เป็นอัจฉริยะแห่งสวรรค์ สวีชิงปั๋ว ลูกชายคนที่สี่แห่งตระกูลสวี ก็เป็นผู้ที่มีลูกล้อลูกชนแพรวพราว เหมาะสมที่สุดในการเป็นผู้เจรจา และที่สำคัญที่สุดคือ คนส่วนใหญ่รวมทั้งเหลยเจิ้นถิง คิดว่าลูกชายคนที่สี่แห่งตระกูลสวียังคงทำการเพาะปลูกอยู่ซีเป่ย พวกเขาจะคาดคิดได้อย่างไรว่าสวีชิงปั๋วแอบไปที่เมืองหลวงของซีหลิง และได้ตัดทางถอยของเหลยเถิงเฟิงแล้ว
“เป็นเช่นนี้จะอันตรายเกินไปหรือเปล่า” เยี่ยหลีขมวดคิ้วและเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วง สิ่งที่พวกเขาพูดนั้นขึ้นอยู่กับว่าฮ่องเต้แห่งซีหลิงเต็มใจที่จะทำลายจวนเจิ้นหนานอ๋องโดยไม่คำนึงถึงทุกสิ่งแล้วจริงๆ หรือไม่ หากฮ่องเต้แห่งซีหลิงมีเหตุผลหรือไม่เต็มใจที่จะทำ เช่นนั้นสวีชิงปั๋วก็คงตกอยู่ในอันตรายแล้ว
ม่อซิวเหยากุมมือขาวนวลของเยี่ยหลีไว้ ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงอันนุ่มนวล “ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าให้คนไปคุ้มกันเขาอย่างลับๆ แล้ว จะไม่มีปัญหาใดแน่นอน”
เยี่ยหลีรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่เขามีความมั่นใจเช่นนี้ “ใครกัน”
“หลิงเถี่ยหานกับหน่วยกิเลน” ม่อซิวเหยาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้ฮ่องเต้แห่งซีหลิงจะเปลี่ยนใจและกักขังสวีชิงปั๋วไว้จริงๆ พระองค์ก็ไม่มีวันกล้าที่จะฆ่าเขาในสถานการณ์เช่นนี้อยู่แล้ว อย่างมากก็แค่นำตัวเขามาต่อรองข้อเสนอกับเรา และข้าจะพยายามหาวิธีช่วยเขากลับมาได้อย่างแน่นอน อาหลี ข้าบอกแล้วว่า ตราบใดที่เป็นคนที่เจ้าให้ความสำคัญ ข้าจะปกป้องพวกเขาอย่างดี ไม่ให้เสี่ยงอันตราย”
เมื่อได้ยินดังนั้น หัวใจของเยี่ยหลีพลันอ่อนยวบ ก่อนจะอิงแอบเข้าหาอ้อมแขนของม่อซิวเหยา ถึงขนาดให้หลิงเถี่ยหานไปปกป้องสวีชิงปั๋วได้ เป็นไปไม่ได้ที่ม่อซิวเหยาจะไม่ได้แลกมาด้วยอะไรเลย เพียงแต่จากจุดนี้ก็ทำให้เห็นได้ว่าเขามีความตั้งใจจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น สวีชิงปั๋วเป็นชายหนุ่มบรรลุนิติภาวะแล้ว ย่อมมีความทะเยอทะยานและจุดมุ่งหมายของตัวเอง เยี่ยหลีไม่สามารถห้ามปรามเขาไปเสียทุกเรื่องเพื่อความปลอดภัยของเขาได้ ถ้าตัวเขาเองไม่ยินดีที่จะไป ม่อซิวเหยาก็ไม่อาจบังคับเขาได้ เพียงแต่สิ่งที่ทำให้นางไม่สบอารมณ์ก็คือ นางไม่รู้เรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย
“ท่านอ๋องสายตาช่างกว้างไกล…ขนาดทำอย่างเงียบๆ ยังเตรียมการไว้มากมายเพียงนี้แล้ว” เยี่ยหลีอิงอยู่กับแผ่นอกของม่อซิวเหยา พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม หลังจากเป็นสามีภรรยากันมานานหลายปี เพียงแค่ฟังเสียงของนาง ม่อซิวเหยาก็รู้แล้วว่านางกำลังอารมณ์ไม่ดี เขาโอบกอดเยี่ยหลีไว้ในอ้อมแขนและหัวเราะออกมาเสียงแผ่ว ก่อนจะเอ่ย “อาหลีไม่ได้ไม่ชอบสิ่งเหล่านี้หรือ ตราบใดที่อาหลีไม่ชอบ ก็ยกให้ข้าจัดการทั้งหมดไม่ดีหรือ อีกทั้ง นี่เป็นเรื่องที่ตัดสินใจมาตั้งแต่ก่อนออกศึกแล้ว หากอาหลีรู้ตั้งแต่ตอนนั้น อาหลีจะไม่ลำบากใจตอนที่อยู่ต่อหน้าสวีฮูหยินหรือ”
“ท่านอ๋องมีจิตใจเมตตาเสียจริง ข้าควรขอบคุณหรือไม่นะเจ้าคะ” เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นอมยิ้มมองเขา
ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วพลางยิ้ม ก่อนจะเอ่ย “ข้าย่อมเป็นสามีที่มีจิตใจเมตตาอยู่แล้ว อาหลีเคยพบคนที่ดีกว่าข้าไหมเล่า”
เยี่ยหลีกรอกตาใส่เขาไปหนึ่งทีอย่างไม่สบอารมณ์ “คนดีหรือ บนโลกนี้ยังมีใครที่ใจดำกว่าท่านอ๋องอีกหรือ ข้ายังต้องคอยระวังตัวเลย กลัวว่าวันใดจะถูกท่านอ๋องหลอกเข้า”
ม่อซิวเหยาหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะเอ่ย “สามีใจดำเช่นนี้ แต่ภรรยากลับมองออกทั้งหมด แสดงว่าเจ้าก็ไม่ได้ขาวสะอาดขนาดนั้นเช่นกันสินะ เราสองคนไม่ได้เป็นคู่สร้างคู่สมกันพอดีหรอกหรือ ข้าไม่มีทางหลอกอาหลีหรอก”
เฟิ่งจือเหยาที่ยืนอยู่นอกประตู มีสีหน้ายุ่งยากและตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเข้าไปดีหรือไม่ ไม่รู้ว่าท่านอ๋องกำลังบอกความในใจอะไรกับพระชายาอยู่ คู่สร้างคู่สมอะไรนั่น…ท่านอ๋อง ท่านนี่ช่างหน้าหนาเสียจริงนะ!
“เฟิ่งซาน มีอะไรหรือ เหตุใดถึงไม่เข้าไปเล่า” จางฉี่หลันที่ตามมาข้างหลัง ขมวดคิ้วมองเฟิ่งซานที่อยู่ตรงประตู
เฟิงจือหยากระแอมเบาๆ เขาเหลือบมองจางฉี่หลันอย่างไม่สบอารมณ์ทีหนึ่งและพูดเสียงดัง “ท่านอ๋อง ข้ามีธุระอยากจะขอพบท่าน” ถูกถลึงตาใส่อย่างไร้เหตุผล จางฉี่หลันจึงลูบจมูกอย่างไม่มีสาเหตุ เขาพูดอะไรผิดไปอย่างนั้นหรือ
“เข้ามา” ภายในกระโจมขนาดใหญ่ ม่อซิวเหยาเอ่ยเสียงแผ่ว
เมื่อเข้าไปในกระโจมใหญ่แล้วเห็นสีหน้าอันสงบของท่านอ๋องและพระชายามองมาที่เขา อยู่ๆ เฟิ่งจือเหยาก็รู้สึกว่า ความรู้สึกกระอักกระอ่วนของตนเมื่อครู่ มาตอนนี้กลับไม่กระอักและไม่กระอ่วนแล้ว ช่างไม่สุขุมเอาเสียเลย เฟิ่งจือเหยานึกรังเกียจตัวเองในใจ เยี่ยหลียิ้มกว้างมองเขา พลางเอ่ย “เฟิ่งซาน แม่ทัพจาง มีธุระอะไรหรือ”
จางฉี่หลันมองเฟิ่งจือเหยาด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะรายงานเสียงดัง “เรียนพระชายา เราอยู่ห่างจากเมืองเฟิ่งไม่ถึงยี่สิบลี้แล้ว ข้าจึงมาขอคำสั่งให้นำทัพไปโจมตีพ่ะย่ะค่ะ” เยี่ยหลียิ้มเอ่ย “ท่านแม่ทัพมาได้เวลาพอดี ข้าเพิ่งตกลงกับท่านอ๋องไปเมื่อครู่ ทัพหน้ายังคงให้เฉินอวิ๋นนำทัพต่อไปเถิด พวกเขายังเด็ก ไม่มีประสบการณ์มากมาย เรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ไม่ต้องให้ถึงมือท่านแม่ทัพมาจัดการด้วยตนเองหรอก” จางฉี่หลันเป็นคนใจกว้างและไม่มีความคิดที่จะแก่งแย่งคุณงามความดีกับใคร เมื่อได้ยินเยี่ยหลีพูดดังนั้น จึงรู้สึกว่ามีเหตุผล ก่อนจะพยักหน้าพลางเอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าน้อยย่อมน้อมรับคำบัญชา”
ม่อซิวเหยาเอ่ย “บริเวณโดยรอบของเมืองเฟิ่งมีภูมิประเทศซับซ้อน พวกเฉินอวิ๋นยังเด็ก เจ้าคอยสังเกตเรื่องเหล่านี้อยู่ข้างหลังก็แล้วกัน กันไม่ให้ถูกซุ่มโจมตี เดี๋ยวจะได้ไม่คุ้มเสีย”
จางฉี่หลันพยักหน้า และเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านอ๋องวางใจได้ ข้าจะระวังเป็นอย่างดี” ม่อซิวเหยาพยักหน้าแล้วมองเฟิ่งจือเหยาที่อยู่อีกด้านหนึ่ง จางฉี่หลันมาที่นี่เพื่อขอออกศึก แล้วเฟิ่งจือเหยาเล่า มาที่นี่เพราะเหตุใด
เฟิ่งจือเหยาก็มาขอออกศึกเช่นกัน เพียงแต่เมื่อครู่ถูกคำพูดของม่อซิวเหยา ทำให้มึนงง สมองเลยช้าไปเล็กน้อย จางฉี่หลันเลยได้ชิงพูดก่อน ตอนนี้ม่อซิวเหยาปฏิเสธคำขอของจางฉี่หลันไปแล้ว เขาก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก เพื่อหลีกเลี่ยงการคิดบัญชีในภายหลังของม่อซิวเหยา เขาจึงรีบตามติดจางฉี่หลันออกไป
ณ พรมแดนระหว่างต้าฉู่และซีหลิง กองทัพทั้งสองกำลังเผชิญหน้ากัน หลายร้อยปีที่ผ่านมา มีการเผชิญหน้าระหว่างกองทัพทั้งสองตรงบริเวณชายแดนระหว่างทั้งสองแคว้นไม่น้อย อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้ค่อนข้างแตกต่างไปจากที่ผ่านมา กองทัพตระกูลม่อที่ก่อนหน้านี้ควรจะปกป้องต้าฉู่กลับยืนอยู่ที่ชายแดนซีหลิง ทว่ากองทัพซีหลิงซึ่งครั้งหนึ่งเคยถมึงทึงต่อต้าฉู่กลับยืนอยู่บนดินแดนของต้าฉู่ และต้องการที่จะทำลายการป้องกันของกองทัพตระกูลม่อ เพื่อแย่งชิงพื้นที่ให้กลับไปเป็นของซีหลิง เพียงแต่ทั้งกองทัพตระกูลม่อและหลี่ว์จิ้นเสียนต่างไม่ใช่คนจิตใจดีงาม แม้ว่าเจิ้นหนานอ๋องแห่งซีหลิงจะมีชื่อเสียงไปทั่วใต้หล้า แต่ก็ไม่สามารถฝ่าด่านกองกำลังสี่แสนนายไปได้ในชั่วข้ามคืน ยิ่งไปกว่านั้น หลี่ว์จิ้นเสียนยังแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เขาไม่ต้องการทำลายล้างศัตรู เขาต้องการเพียงป้องกันเท่านั้น นี่ก็ใกล้จะเกือบครึ่งเดือนแล้ว กองทัพซีหลิงยังไม่สามารถทำให้กองทัพตระกูลม่อล่าถอยออกจากแนวป้องกันไปได้แม้แต่ลี้เดียว ส่วนกองกำลังสองแสนนายของมู่หรงเซิ่นกลับเคลื่อนตัวจากทางใต้มุ่งหน้าขึ้นมาทางเหนือและเขยิบใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว