เขาเดือดดาลมากขนาดนั้น คงจะเผ่นไปแล้วแน่ๆ……
แต่ใครจะคิดว่าตอนที่เธอเดินออกจากร้านมา จะเห็นภาพออกัสยืนพิงด้านข้างรถสูบบุหรี่อยู่ เขามีออร่าและสง่างามกว่าใคร
แววตาเป็นประกายสดใส ริมฝีปากเตรียมขยับจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่เขากลับมองมาที่เธอ หลังจากนั้นเปิดประตูแล้วเดินขึ้นไปนั่งบนรถ
เชอร์รีนกลืนคำพูดที่ติดอยู่ที่ริมฝีปากลงไป จากนั้นเดินเข้าไปนั่งที่ตำแหน่งด้านข้างคนขับ
สตาร์ทรถ เหยียบครัช เหยียบคันเร่ง แล้วเลี้ยวซ้ายด้วยวงโค้งสวยงาม รถมุ่งหน้าเข้าสู่ถนนที่เต็มไปด้วยผู้คน
ชัดเจนว่าเขายังคงโกรธอยู่ รูปกรามได้รูปของเขาขบแน่นจนกลายเป็นเส้นตรง ไม่มีคำพูดหลุดออกจากปากเขาสักคำเดียว เขาเพียงขับรถมุ่งหน้าไปเรื่อยๆ
บรรยากาศเต็มไปด้วยความอึดอัด เชอร์รีนจึงตัดสินใจเปล่งเสียงเพื่อทำลายความเงียบ “กลางวันกินไรดี”
“……” สิ่งที่ตอบกลับมามีแต่ความเงียบงัน เขาทำเหมือนไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งสิ้น
“หรือว่าจะไปที่บริษัทดีคะ” เธอยังคงพยายามถามต่อ
“……” ลูกกระเดือกของเขาเคลื่อนขึ้นลง แต่ยังคงไม่ได้เปล่งเสียงอะไรออกมา
ผู้ชายคนนี้อารมณ์ร้อนเอาเรื่อง เชอร์รีนจึงไม่อยากพูดอะไรอีก เมื่อคืนวานเธอไม่ได้นอนทั้งคืน ตอนนี้จึงเริ่มรู้สึกง่วง
เมื่อจัดที่นั่งเรียบร้อยแล้ว เธอเอนตัวพิงเก้าอี้แล้วหลับตาลง จากนั้นจึงงัวเงียแล้วหลับไปทันที
เมื่อเสียงข้างกายเงียบไป ออกัสแอบหันไปมองจึงเห็นว่าเธอหลับสนิทไปเรียบร้อยแล้ว อารมณ์เดือดดาลของเขาจึงพลุ่งพล่านขึ้นมาอีก
เขารอให้เธอขอโทษและพูดดีๆ กับเขา แต่เธอกล้าดียังไงถึงหลับไปต่อหน้าต่อตาเขาแบบนี้
แม้ว่าอารมณ์ของเขาจะเดือดปุดๆ แต่ออกัสไม่ได้ปลุกเธอ และตั้งใจลดความเร็วของรถลง พร้อมขับไปด้านหน้าอย่างนิ่มนวล
เมื่อเชอร์รีนตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงแล้ว เธอพยุงตัวเองขึ้นมาลุกขึ้นนั่งบนเตียง
เธอยังหลับไม่เต็มอิ่มเลย เธออยากลืมตาแต่ตากลับลืมไม่ขึ้นราวกับมีกาวทาอยู่ที่เปลือกตาของเธอ ทำให้การลืมตาเป็นเรื่องที่ยากเหลือเกิน
นั่งงัวเงียอยู่อย่างนั้นพักใหญ่ กว่าเธอจะตะเกียกตะกายฝืนตัวเองลงจากเตียงแล้วเดินไปยังประตูห้องอาบน้ำ เธอผลักประตูเปิดออกจึงเห็นคุณชายออกัสใส่เสื้อคลุมอาบน้ำปรากฏอยู่ตรงหน้าเธอ
แต่เขากลับทำเหมือนเธอไม่มีตัวตน เพียงเดินดุ่มๆ ผ่านหน้าเธอไปเท่านั้น
ยังไม่หายโกรธนี่นา ดวงตาของเชอร์รีนกระตุก เธอมองตามหลังเขาครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องอาบน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตา เธอจึงรู้สึกสดชื่นขึ้นมามากทีเดียว
เมื่อมองดูนาฬิกาถึงได้รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสองแล้ว วันนี้วันอาทิตย์เธอจึงไม่ต้องไปโรงเรียน
ตอนนี้เธอเริ่มหิวแล้ว เมื่อเดินออกจากห้องน้ำก็ตรงไปยังห้องครัว ข้าวที่หุงเอาไว้เมื่อวานบ่ายยังเหลืออยู่มากทีเดียวจึงไม่ต้องหุงใหม่ และเธอตั้งใจว่าจะเอามันไปทำข้าวผัดไข่
วัตถุดิบที่อยู่ในตู้เย็นเพิ่งซื้อมาเมื่อวาน ดังนั้นของจึงยังสดใหม่ เธอจึงหยิบไข่มาสองสามใบแล้วเริ่มลงมือทำข้าวผัด ไม่นานนักก็ทำเสร็จ จากนั้นตักแบ่งออกเป็นสองจานแล้ววางทิ้งไว้บนโต๊ะ
หลังจากนั้นเธอเดินกลับมาที่ห้องทำงาน แล้วยกมือขึ้นเคาะบานประตูสองสามครั้ง
ไม่มีเสียงตอบรับออกมาจากด้านใน เธอขมวดคิ้วขึ้นแล้วผลักประตูเดินเข้าไปด้านใน เขากำลังนั่งอ่านเอกสารอยู่บนโต๊ะ แน่นอนว่าเขาได้ยินเสียงฝีเท้า แต่ไม่ยอมหันมามองเชอร์รีนเลยสักนิด
“ถึงเวลากินข้าวแล้ว” เธอเอามือเคาะโต๊ะก๊อกๆ เพื่อดึงดูดความสนใจของเขา
แต่เสียงที่ดังสะท้อนกลับมาคือเสียงถอนใจ มือเรียวยาวของเขายังคงถือปากกาและเซ็นเอกสารต่อไปอย่างคล่องแคล่ว
เชอร์รีนไม่รู้สึกโกรธเพียงอมยิ้มเจื่อนๆ แล้วเอ่ยปากว่า “ฉันจะนับถึงสาม ถ้าคุณชายออกัสไม่พูดอะไร ฉันจะถือว่าคุณชายออกัสไม่หิว หนึ่ง สอง สาม สงสัยจะไม่หิวจริงๆ อย่างนั้นไม่รบกวนเวลาคุณออกัสเซ็นงานแล้วนะคะ ขอตัวไปกินก่อน”
พอพูดจบเธอก็เดินยิ้มออกจากห้องไป และปิดประตูให้เขาอย่างนุ่มนวล
ใบหน้าของออกัสไม่เคยหมองคล้ำแบบนี้มาก่อน มือของเขาที่ถือปากกาอยู่กรีดกระดาษจนไฟแทบจะลุกออกมา
เห็นๆ อยู่ว่าเขาโกรธ เธอไม่คิดจะพูดจาดีๆ กันสักคำเลยหรือไง
และในตอนนั้นเองเสียงดังครืดดังออกมาจากท้องของเขา แน่นอนว่าเขาเองก็หิว แต่ตอนนี้เขาไม่มีทางยอมเดินออกไปแบบนี้เด็ดขาด!
เขาเลยนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวด หัวใจของเขาเดือดปุดๆ
และเมื่อนึกถึงภาพตอนที่เธอเดินออกไปด้วยรอยยิ้มบางๆ เช่นนั้น ออกัสก็ยิ่งโมโห ร่างสูงโปร่งของเขาลุกพรวดขึ้นมาแล้วเดินออกจากห้องไปอย่างยอมจำนน
เขายอมรับว่าการทำสงครามเย็นแบบนี้ เขาไม่ใช่คู่แข่งของเธออย่างสิ้นเชิง……
บนโต๊ะอาหารเย็น เชอร์รีนกำลังนั่งกินข้าวอยู่ตามลำพัง เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าก็เงยหน้าขึ้น จึงเห็นร่างกายบึกบึนของเขานั่งลงบนเก้าอี้อย่างไม่รู้สึกรู้สาแล้วหยิบตะเกียบขึ้นมาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แกล้งคีบอาหารส่งเสียงดังปึ้งปั้ง
ริมฝีปากของเชอร์รีนหยักยิ้มขึ้นมาอย่างขบขัน จากนั้นจึงเอ่ยปากว่า “ฉันเคยบอกคุณแล้วนะ”
ออกัสชะงักไปเล็กน้อยแล้วเงยหน้าขึ้น เขาหันไปหรี่ตาจ้องมองเธอ เธอจึงสะท้อนอยู่ในดวงตาของเขา “ตอนไหน”
“วันที่คุณกลับมาจากปักกิ่งมาถึงที่อำเภอซีซ่าวันที่สอง” เธอดื่มน้ำอุ่นแล้วกล่าวเรียบๆ ต่อไปว่า “ฉันโทรหาคุณแล้วเล่าให้คุณฟังอย่างลังเล คุณบอกว่าต่อไปไม่ต้องโทรมาหาคุณอีก แล้ววางสายไปเลย……”
ดวงตาน่ามองของเขาชะงัก ตาตี่ๆ ของเขาหรี่ลง ในความทรงจำของเขาปรากฏภาพเหตุการณ์นั้นผุดขึ้นมาอย่างแจ่มชัด
ฉันไม่มีเวลาคอยฟังรายงานว่าเธอมีชีวิตอยู่ดีรึเปล่าหรอกนะ อีกอย่างไม่ต้องโทรมาหาฉันอีก
ปากของเขาเม้มแน่น เขายังนึกถึงน้ำเสียงของตัวเองในตอนนั้นที่แสดงอาการรำคาญออกมา เธอก็คงมีศักดิ์ศรีของเธอ คำพูดแบบนั้นคงทำให้เธอเสียใจแน่ๆ เธอเลยไม่ได้โทรมาหาเขาอีก
“ทำไมไม่ไปกดเงินจากแบงก์เองล่ะ” น้ำเสียงของเขาอ่อนลง ในใจของเขาเกิดความรู้สึกบางอย่างที่บอกไม่ถูก เขาโมโหตัวเอง เขาคิดไม่ถึงเลยว่าสาเหตุของเรื่องนี้จะเกิดจากตัวเขาเอง
“ฉันไม่รู้รหัสไงเลยโทรไปหาคุณ……” เสียงของเธอเรียบเฉย ราวกับลืมเรื่องนั้นไปสนิทแล้ว
“ขอโทษนะ……” เขากลืนน้ำลายก่อนจะเอ่ยออกมา “เรื่องนี้ฉันไม่คิดให้ดีเอง”
“ไม่เป็นไร……” เชอร์รีนเลิกคิ้ว “คุณออกัสหายโกรธแล้วใช่ไหมคะ คราวนี้คนที่ควรโกรธควรเป็นฉันได้แล้วใช่ไหมคะ”
ริมฝีปากของเขาเริ่มโค้งขึ้น เขาจ้องไปที่เธอด้วยสายตาอ่อนโยน “คุณหญิงเชอร์รีนโกรธได้เต็มที่เลย ผมยอมให้คุณหญิงเชอร์รีนตีได้เต็มที่ เชิญคุณหญิงเชอร์รีนระบายใส่ผมได้เลย……”
“กินข้าวลงไปเถอะ” เธอเลิกคิ้ว ถ้าเขาเป็นตุ๊กตาเธอคงจะตีเขาอย่างเอ็นดูสักทีสองที แต่โตขนาดนี้แล้ว เธอไม่มีอารมณ์จะตีเขาหรอก
“รหัสคือ 001225……” เขาเอ่ยเสียงเบา “ต่อไปถ้าต้องการใช้เงินอีก ก็ไปกดเองได้เลย ไม่ต้องบอกฉันก็ได้ ไม่ต้องห่วง เธอทำให้ฉันล้มละลายไม่ได้หรอก……”
ตอนแรกเชอร์รีนยังแอบอมยิ้มอยู่ แต่เมื่อเธออ่านทวนเลขนั้นอีกครั้ง มือเท้าของเธอพลันหนาวสะท้าน
รหัส 001225 1225 เป็นวันเกิดของหยาดฝนไม่ใช่หรือ