อัศวินที่คุกเข่าอยู่บนขาข้างหนึ่ง และถือหมวกเกราะไว้ในอ้อมแขนกล่าวประกาศทำสงครามกับสภาแห่งเวทมนตร์ เพียงเพราะเกรงว่าเขาคิดว่าอาณาจักรของพระเจ้าจะมีมลทิน ในขณะที่สภาสังฆนายกคนอื่นๆ ก็เริ่มทำมือไขว้กันเป็นรูปกางเขนบนหน้าอกของตน และตะโกนว่า “เราจะชำระล้างนักเวทผู้ชั่วร้ายเหล่านี้ด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ และบังคับให้พวกเขากลับตัวกลับใจในขณะที่คลานอยู่ใต้เท้าของพระเจ้า อาณาจักรของพระเจ้าจะต้องไม่ถูกมนุษย์ค้นพบ!”
สมเด็จพระสันตะปาปาที่ถือคทาทองคำขาวไว้ในมือ และสวมมงกุฎศักดิ์สิทธิ์อยู่บนศีรษะมีสีหน้าจริงจัง พระมหากษัตริย์อยู่บนหัวของเขา วารันไทน์ผู้นำของเหล่านักพรตสังเกตเห็นอาการของสมเด็จพระสันตะปาปาและก้าวไปข้างหน้า
“ด้วยความเคารพ อัศวินสโตนเป็นตัวแทนของผู้ศรัทธาของทุกคน ที่พวกเขาโกรธเป็นเพราะพระผู้เป็นเจ้าจะได้รับมลทิน โปรดอย่าวิตกกังวลกับพวกนอกรีตที่อยู่ทางเหนือ พวกเขาจะไม่ใช้โอกาสนี้โจมตีพวกเรา เว้นแต่ว่าพวกเขาจะไม่เชื่อในความจริงอีกต่อไป แต่อย่างไรก็ตามฐานที่มั่นของพวกเขาจะถูกทำลาย และกระหม่อมคิดว่าพวกเขาจะเข้าโจมตีสภาแห่งเวทมนตร์ด้วยหลังจากสถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก” วารันไทน์แนะนำ
วารันไทน์ เป็นชายที่มีผมสีทองตัดสั้น เขามีดวงตาสีฟ้าที่ดูกระฉับกระเฉงตลอดเวลาบนใบหน้าของเขา
ด้านหลังวารันไทน์ มีหัวหน้าบาทหลวงกว่าสิบคน สามคนเป็นสมาชิกของคณะไต่สวน อัศวินในตำนานรวมถึง สโตนด้วย พวกเขาพยายามโน้มน้าวสมเด็จพระสันตะปาปา “ด้วยความเคารพ ได้โปรดรับสั่งให้พวกกระหม่อมเริ่มต้นสงครามแห่งรุ่งอรุณครั้งที่สองด้วยเถิด พวกกระหม่อมจำเป็นต้องรวบรวมกองทัพเพื่อต่อกรกับสภาแห่งเวทมนตร์ แต่เหล่าขุนนางก็ยังต้องการเทือกเขาแห่งความมืดอยู่
สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่สอง ยกคทาศักดิ์สิทธิ์ขึ้นสู่อากาศเสียงของเขาลุ่มลึกจนฟังดูเหมือนกับว่าเสียงมาจากจากท้องฟ้า “ข้ายินดีที่พวกเจ้าเป็นผู้ศรัทธาของพระเจ้า และข้าแน่ใจว่าพระเจ้าจะต้องพอใจมาก แต่ข้ามีคำถามสำหรับพวกเจ้า เจ้าสูญเสียศรัทธาในพระเจ้าหรือไม่? เจ้าคิดว่าสภาแห่งเวทมนตร์จะสามารถค้นหาความลับของพระเจ้าได้หรือไม่? ปุถุชนคนธรรมดาไม่อาจสัมผัสอาณาจักรของพระเจ้าได้! เจ้าลืมสิ่งที่พระเจ้าบอกเราหรือไม่”
ราวกับเสื้อคลุมสีแดงของสมเด็จพระสันตะปาปากำลังเต้นรำอยู่ในสายลมที่อ่อนโยน ในขณะที่เขาถูกห้อมรอบไปด้วยออร่าอันศักดิ์สิทธิ์ที่มาพร้อมกับแสงศักดิ์สิทธิ์ รัศมีนั้นช่างแข็งแกร่งจนไม่อาจโต้แย้งได้
พวกเขาไม่แน่ใจว่าพวกเขาควรตอบคำถามของสมเด็จพระสันตะปาปาอย่างไร และความโกรธของพวกเขามาจากไหน หรือพวกเขาโกรธเพียงเพราะพระเจ้าจะเป็นมลทิน แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าความกลัวกำลังแพร่ขยายภายในจิตใจของพวกเขา พวกเขากังวลว่าสภาแห่งเวทมนตร์จะสำรวจอาณาจักรของพระเจ้า พวกเขาต้องการหยุดแผนของสภา
“มันจะเป็นการโกหกถ้ากระหม่อมพูดว่ากระหม่อมไม่ผิด ความไม่รู้ของกระหม่อมทำให้กระหม่อมตาบอด พระเจ้าใจกว้างและยุติธรรมเสมอ กระหม่อมจะขอสารภาพบาปและหวังว่าพระเจ้าจะยกโทษให้” เหล่าสมาชิกสภาสังฆนายกเริ่มคิดได้หลังจากผ่านช่วงเวลาแห่งความเงียบงัน
เบเนดิกต์ที่สองที่รอให้พวกเขาคิดใหม่ พร้อมกล่าวว่า “สภาแห่งเวทมนตร์จะไม่สามารถสำรวจอาณาจักรของพระเจ้าได้ แต่เราก็ไม่สามารถให้อภัยในสิ่งที่พวกเขาทำได้เช่นกัน วารันไทน์ และวาฮารัลล์ พวกเจ้าพานักพรตและผู้พิทักษ์ราตรีไปช่วยฟีลิเบลที่โฮล์ม เราจะกำจัดพวกนักเวทและทำให้พวกเขาชดใช้สำหรับสิ่งที่พวกเขาทำ!”
“นอกจากนี้เจ้าต้องช่วยดรูอิดและเอลฟ์ที่อยู่ในป่าสตรู๊ปออกมาโดยการทำให้นักเวทคิดว่าเรากำลังจะโจมตีพวกเขา และเพื่อสามารถใช้เป็นข้ออ้างเพื่อเรียกดรูอิดที่ทำงานกับสภาแห่งเวทมนตร์กลับมา”
“ตามที่ท่านต้องการ” วารันไทน์ และวาฮารัลล์ โค้งคำนับพระสันตะปาปาในเวลาเดียวกัน
สมาชิกคนอื่นๆ ในสภาสังฆนายกคิดว่าคำสั่งของสมเด็จพระสันตะปาปามีเหตุผล แต่พวกเขาก็มีความรู้สึกแปลกๆ เกิดขึ้นในใจ เพราะเหตุการณ์นี้ควรจะนำไปสู่สงคราม และความสมดุลของดินแดนจะถูกทำลาย แต่สมเด็จพระสันตะปาปาเชื่อว่าพวกเขาควรมุ่งไปที่การลงโทษนักเวทที่ทำให้พระเจ้าเป็นมลทินมากกว่า
“มันเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาด พวกเราแข็งแกร่ง แต่ก็ถูกกดดันจากหลายๆ องค์กรและสถานการณ์อาจแย่ลงหากเราเริ่มต้นสงครามโดยไม่มีการเตรียมการที่เหมาะสม เราควรใจเย็นๆ และรอวันข้างหน้า” สมาชิกสภาสังฆนายกเปลี่ยนความคิดของพวกเขา จากนั้นก็ไขว้กางแขนบนหน้าออกและออกจากห้องไป
เบเนดิกต์ที่สองลดคทาของเขาลงและกลับไปที่ห้องอ่านหนังสือของเขาที่ซึ่งพระคาร์ดินัลกำลังรอเขาอยู่ พระคาร์ดินัลตั้งคำถามว่า “ด้วยความเคารพ หน่วยสืบราชการลับที่บาทหลวงฟีลิเบลส่งกลับมา กล่าวถึงข้อมูลของ ‘รางวัลมงกำแห่งโฮล์ม’ เรื่องความก้าวหน้าของการวิจัยเกี่ยวกับอาคมเทพของเหล่าดรูอิด”
“เรื่องนี้เอาไว้ในภายหลัง เราควรให้ความสำคัญกับการรับมือกับเหตุการณ์ในตอนนี้มากว่า” เบเนดิกต์ที่สองโบกมือของเขา ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้กังวลเกี่ยวกับสิ่งนี้สักเท่าไร ข่าวของหน่วยสืบราชการลับนั้นไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นต้องส่งไปสอบสวนทุกเรื่อง
สมเด็จพระสันตะปาปาปิดประตูหลังจากที่พระคาร์ดินัลจากไป แล้วมองไปที่ภาพของพระสันตะปาปาองค์ก่อนหน้าด้วยสีหน้าอันว่างเปล่า
ชื่อของเหล่าพระสันตะปาปาองค์ก่อน และระยะเวลาที่พวกเขาอาศัยอยู่ในโลกนี้ก่อนที่จะกลับคืนสู่อ้อมแขนของพระเจ้าถูกเขียนไว้ใต้รูปภาพเหล่านั้น
…
“ชาร์ลส์ ที่หนึ่ง ปีนักบุญที่ 350 – 572”
“อัลฟอนโซที่หนึ่ง ปีนักบุญที่ 387 – 633”
“ชาร์ลส์ ที่สอง ปีนักบุญที่ 408 – 686”
“เบเนดิกต์ ที่หนึ่ง ปีนักบุญที่ 474 – 745”
“เกรกอรี ที่สอง ปีนักบุญที่ 548 – 796”
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเบเนดิกต์ที่สอง และเขาก็พึมพำด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “มนุษย์จะหาทางไปสู่ความลับของพระเจ้าได้อย่างไร”
…
เช้าวันเสาร์
ในคฤหาสน์ข้างเมืองซาริวา ที่เฟลิเปกำลังทำการทดลองเวทมนตร์ด้วยสีหน้าท่าทางที่จริงจัง แม้ว่าในสัปดาห์นี้เขาจะไปที่ห้องปฏิบัติการเพียงสองครั้งเท่านั้น และไม่ได้อยู่ที่นั่นในตอนกลางคืน แต่ทักษะการวิเคราะห์ที่เหลือเชื่อของเขาก็ยังหยุดยั้งการหลอกลวงของดรูอิดได้ ดังนั้นดรูอิดจึงต้องเปลี่ยนข้อมูลที่เฟลิเปได้รับ แต่อย่างไรก็ตามเฟลิเปไม่ได้กังวลเกี่ยวกับความก้าวหน้าของการทดลองเลย เพราะเขามุ่งเน้นไปที่การสร้างสิ่งมีชีวิตจากสิ่งที่ไม่มีชีวิต
เฟลิเปเห็นผลึกไม่มีสีก่อตัวขึ้นในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิต่ำ ขณะที่แสงปรากฎขึ้นในวงแหวนสุดท้ายของการเล่นแร่แปรธาตุ
เขาพยายามสงบสติอารมณ์ และเริ่มเพิ่มความร้อนกับผลึกโปร่งแสง ผลึกละลายและกลายเป็นของเหลวอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้วงแหวนเวทยังตรวจพบก๊าซที่มีกลิ่นบางอย่างด้วย
เฟลิเปถอยหลังไปหนึ่งก้าวและร่ายเวทที่เกี่ยวกับการระบุผล ของเหลวนี้เป็นกรดไขมันที่เขาต้องการ และเป็นสารที่สามารถพบได้ในร่างกายของสิ่งมีชีวิตเท่านั้น
“ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสนับสนุนทฤษฎีพลังของมนุษย์อีกต่อไป” เฟลิเปบังคับให้รอยยิ้มปรากฏบนหน้าซีดเซียวของเขา “ข้าสงสัยว่าจะมีคนเก่าๆ กี่คนในองค์กรที่ยอมรับว่าพวกเขาคิดผิด พวกเขาจะต้องยอมรับการค้นพบใหม่นี้ ไม่อย่างั้นพวกเขาก็จำเป็นต้องนิยามความหมายของสิ่งมีชีวิตอีกครั้ง ข้าคิดว่าข้าควรจะเผยแพร่ผลงาน เพื่อให้นักเวทศาสตร์มืดคนอื่นๆ ยอมรับการเปลี่ยนแปลงได้ง่ายขึ้น”
เฟลิเปพิสูจน์ว่าทฤษฎีที่เขาสนับสนุนมานานกว่าสามสิบปีนั้นผิด และอารมณ์ของเขาก็ผสมปนเปเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่หยุด เขามีทั้งความสุข สับสน เศร้า และตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน ศาสตราจารย์ประสบความสำเร็จในการสังเคราะห์ยูเรีย และมันก็เป็นเรื่องที่เปิดหูเปิดตาเขาไม่น้อย ยูเรียที่สังเคราะห์ขึ้นได้เปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับทฤษฎีของเขา และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้เขาตัดสินใจทำการทดลองด้วยตัวเอง
ชายคนหนึ่งที่สวมเสื้อคลุมยาว กำลังเคาะประตูห้องปฏิบัติการเบาๆ
“ใคร?” เฟลิเปสะดุ้งจากเสียงที่เกิดขึ้น และเขาก็ถามกลับไป
เสียงแหบลึกดังมาจากอีกด้านหนึ่งของประตู “ข้าคือทราเควียร์”
“ทราเควียร์ ? ทำไมถึงมาเช้าขนาดนี้” เฟลิเปตอบกลับและเปิดผนึกวงเวทที่ปิดประตูอยู่
ทราเควียร์เป็นนักเวทศาสตร์มืดระดับหกจากหัตถ์ไร้ชีวา แต่เขามีระดับอาร์คานาแค่สามเท่านั้น เพราะเขาใช้เวลานานในการพยายามที่จะมุ่งหน้าสู่ระดับเจ็ด เขาถูกส่งมาที่นี่เพื่อช่วยเฟลิเปจัดการกับดรูอิด
ทันใดนั้นเฟลิเปก็ตระหนักถึงบางสิ่งเมื่อเขาเปิดประตู เขารู้สึกได้ว่ามีบางอย่างที่น่ากลัวกำลังเกิดขึ้นกับเขา
“แหวะ!”
หนวดยั้วเยี้ยลักษณะคล้ายหมวดหมึกยักษีดำที่เกิดขึ้นจากพลังแห่งความตายปรากฏขึ้นในห้องปฏิบัติการ จิตวิญญาณของนักเวทจะเสียหายถ้าหายไปแตะต้องมัน
นอกจากนี้มัมมี่ที่ถูกคลุมด้วยผ้าลินินสีดำปรากฏขึ้นท่ามกลางรยางค์สีดำและเริ่มพุ่งเข้าหาเฟลิเป
…
ภายในโรงแรมดราก้อนรูท ลูเซียนกำลังอ่านรายงานของกำหนดการ คำถามที่เหล่าจอมเวทพบเมื่อพยายามลดความซับซ้อนของขั้นตอนที่ระบุไว้บนกระดาษ พวกเขาอธิบายถึงปัญหาที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ซึ้งมันทำให้พวกเขาทดลองต่อไปไม่ได้ หลังจากที่พวกเขาเผยแพร่ผลการวิจัยพวกเขาจะได้รับคะแนนอาร์คานาตราบเท่าที่รายงานยังอยู่ที่นี่
“ธาตุสามารถพบได้ในอุจจาระและปุ๋ยที่เกษตรกรใช้ แต่ผลลัพธ์ที่ได้ไม่ดีพอ เราจะต้องเก็บอุจจาระจำนวนมากหากเราต้องการให้เพียงพอเพื่อสร้างธาตุ อีกอย่างสัตว์ยังกินอาหารมากมายอีกด้วย …”
“การทดลองก่อนหน้านี้พิสูจน์ให้เห็นว่าพืชต้องการน้ำและแสงแดดเพื่อการเติบโต ด้วยการวิเคราะห์จากอาคมเทพ แล้วเรายังพบว่าพวกเรายังต้องดูดซับธาตุจากดินด้วย แต่ผงแร่ที่กระจายอยู่บนพื้นดินนั้นไม่มีประสิทธิภาพซักเท่าไร”
…
หลังจากที่อาคมเทพวิเคราะห์โครงสร้างเสร็จแล้ว นักเวทก็เริ่มทำการทดลองต่อไปด้วยความช่วยเหลือของดรูอิด แต่อย่างไรก็ตามผงแร่ของธาตุที่สามารถผลิตได้มากมายนั้นกลับไร้ประโยชน์ และพวกเขาตัดสินใจที่จะทดลองผลิตภัณฑ์การเล่นแร่แปรธาตุที่มีองค์ประกอบเหล่านี้
“อาคมเทพและความช่วยเหลือจากดรูอิด ฉันคิดว่าจอมเวทจะได้พบกับผลิตภัณฑ์จากการเล่นแร่แปรธาตุที่พวกเขาต้องการไม่ช้าก็เร็ว” ลูเซียนวางรายงานลงและสวมเสื้อคลุม เขาต้องกลับไปที่อัลลิน และสอนนักเวทฝึกหัดหลังอาหารเช้า
ลูเซียนเห็นไอริสทีน และอาร์เซเลียนกำลังเดินมาหาเขาด้วยรอยยิ้มขณะที่เขาเปิดประตู
“อีวานส์ เราต้องขออภัยที่เราไม่สามารถช่วยเจ้าในการทดลองได้อีกต่อไป ท่านผู้เฒ่าสั่งให้เรากลับไปที่ป่าทันทีเพื่อช่วยป้องกันการโจมตีจากศาสนาจักร” อาร์เซเลียนโค้งคำนับลูเซียนอย่างสง่างามในขณะที่เขารู้ถึงเบื้องหลังของการโจมตีแล้ว
ลูเซียนรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องฉุกเฉิน เพราะดรูอิดทั้งสองดูไม่รีบร้อน เขาจึงยิ้มและตอบว่า “ไม่เป็นไร หม่อมฉันพบผลลัพธ์แล้วหลังจากตรวจสอบข้อมูลการทดลอง”
“อะไรนะ?” ไอริสทีน และอาร์เซเลียนรู้สึกประหลาดใจมาก เพราะพวกเขาเป็นผู้เปลี่ยนแปลงข้อมูลนั้นเอง
ลูเซียนยังคงมีรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา “ด้วยความช่วยเหลือของสารที่ละลายในน้ำ และอาคมเทพที่ช่วยให้พืชเจริญเติบโต หม่อมฉันเปรียบเทียบผลลัพธ์กับทีมวิจัยอื่นๆ และกำจัดข้อมูลที่ไม่สมเหตุสมผลออกไป”
จากผลการวิเคราะห์ทำให้ลูเซียนค้นพบได้อย่างง่ายดายว่ามีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลโดยใครบางคน
“อืม…” ดรูอิดทั้งสองดูผิดหวังเล็กน้อย
ลูเซียนนำวิทยานิพนธ์เมื่อไม่นานมานี้เรียกว่า ‘บทสรุปของการเปรียบเทียบข้อมูลที่ได้จากข้าวโอ๊ตที่ใส่ปุ๋ยจากกรดซัลฟิวริกที่ผสมกับแร่ฟอสเฟต’ ออกมาและกล่าวว่า “หม่อมฉันต้องส่งรายงานให้จอมเวทระดับสูงนอกคฤหาสน์ เจ้าชาย อาร์เซเลียน และเจ้าหญิงไอริสทีน พวกท่านต้องการไปด้วยกันไหม?”
“พวกเราจะไป” ไอริสทีนดูเหนื่อยล้า นางต้องทำลายวิทยานิพนธ์ทิ้ง แต่นางก็กลัวลูเซียน ยิ่งไปกว่านั้น ไทเรลและยูรีนก็ปรากฏตัวขึ้นที่อีกด้านหนึ่งของห้องโถงแล้ว
…
รถม้ากำลังแล่นอย่างช้าๆ ไปบนถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อทางนอกเมือง ตอนนี้เป็นฤดูหนาวดังนั้นแม้ว่าจะมีแสงจากดวงอาทิตย์แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้บริเวณนั้นสว่างขึ้นเท่าไร
ทันใดนั้นลูเซียนสัมผัสได้ถึงความร้อนที่ออกมาจากมงกุฎสุริยันบนหน้าอกของเขา และดาวแห่งโชคชะตาก็เตือนเขาถึงการโจมตี
ลูเซียนไม่มีเวลาให้คิดมากนัก เขากระโดดออกจากรถม้า และเปิดใช้โล่เพลิงอัคคีที่อยู่ในแหวน
เงาดำที่ถูกปกคลุมไปด้วยก๊าซที่เน่าเสียปรากฏขึ้นมาจากท้องฟ้า และกระแทกเข้ากับรถม้าของลูเซียนอย่างแรง โครงเหล็กของรถม้าและแผ่นไม้เริ่มเน่าสลายอย่างรวดเร็ว
“อะไรกัน? ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะหลบได้” เสียงที่แหบลึกดังก้องมาจากบนท้องฟ้า
………………………