ไม่มีเวลาให้คิดมาก ลูเซียนทำการสร้างร่างจำแลงของตัวเองในทันทีและขยายโล่เพลิงอัคคีไปยังร่างจำแลงด้วยเช่นกัน อีกทั้งลูเซียนยังสวมแว่นตาข้างเดียวของเขาบนใบหน้าของร่างจำแลงด้วย
ลูเซียนร่ายเวทกระจกที่เป็นหนึ่งในเวทระดับสองที่เขาสร้างขึ้นมาภายในจิตใจของเขา ที่เหลือคือเวทจิตกล และเวทธนูกรด ของมาสเกลีน
ทันทีที่ร่างจำแลงของเขาปรากฏตัวขึ้น แสงสีเขียวก็พุ่งเข้าที่หน้าอกของร่างจำแลงและสลายไปทันที! แต่ลำแสงยังไม่หายไป แต่มันกลับสะท้อนไปมาอย่างรวดเร็วจนลูเซียนไม่มีทางที่จะหลบได้เพราะเวทมนตร์บทนี้ถูกร่ายโดยนักเวทระดับหก!
ลำแสงสีเขียวกระทบโล่เพลิงอัคคีตรงที่ป้องกันลูเซียน ทันใดนั้นเปลวเพลิงก็ลุกไหม้ และแตกเป็นอนุภาคสีแดงในอากาศ
ลำแสงสีเขียวนี้คือ ‘เวทแตกตัว’ ที่เป็นเวทระดับหก!
ลูเซียนโชคดีพอที่ร่างจำแลงและโล่เพลิงอัคคีช่วยถ่วงเวลาให้ได้พอประมาณ ดังนั้นเขาจึงสามารถใช้เชือกอัคคีจากกำไลได้ทันเวลา ไม่อย่างนั้นร่างกายของเขาก็คงจะระเบิดกลายเป็นอนุภาคแทน!
แม้แต่เสื้อคลุม ‘แปลงกาย’ ของลูเซียนก็ยังคงได้รับความเสียหาย แผ่นปะชุนซ่อมแซมลักษณะประหลาดปรากฏขึ้นบนเสื้อคลุมของเขา ราวกับว่าความเสียหายถูกลบไปด้วยยางลบที่มองไม่เห็น
ลูเซียนเหงื่อไหลแต่ตัวเย็นเฉียบ เขานึกภาพไม่ออกเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขา หากไม่มีการป้องกันของเวทมนตร์ทั้งสามและเสื้อคลุม
นอกจากนี้ ลูเซียนยังโชคดีที่ ‘เวทแตกตัว’ ของศัตรูไม่ได้ทรงพลังอย่างที่เขาคิดไว้ แต่โล่เพลิงอัคคีที่ก็เป็นเพียงแค่เวทระดับสอง และลูเซียนก็คิดว่าเสื้อคลุมของเขาจะถูกทำลายอย่างสมบูรณ์ หากลำแสงพุ่มมาหาเขาโดยตรง
ลูเซียนมีทักษะการต่อสู่มาโชกโชนในประสบการณ์ที่ผ่านมา ตอนนี้เขาจึงยังคงสงบจิตใจให้มั่นคงได้อยู่ และเริ่มเรียกใช้พลังจากเสื้อคลุมเวทมนตร์ที่เสียหายเพียงบางส่วน
ตอนนั้นเอง นักเวทศาสตร์มืดอัญเชิญมัมมี่ที่เต็มไปด้วยผ้าพันแผลสีดำและมีกลิ่นเหม็นลอยออกมา มัมมี่เหล่านี้ผุดขึ้นมาจากพื้นดินและเริ่มวิ่งไปที่ลูเซียนที่ยังคงมีอนุภาคจากเปลวไฟสีแดงรอบตัว
พวกมัมมี่เคลื่อนไหวเร็วมากเที่ยบเท่ากับระดับอัศวินตัวจริง ในบรรดามัมมี่ พวกมันมีภูมิต้านทานต่อเวทมนตร์ที่ต่ำกว่าระดับห้า และสามารถต้านทานการโจมตีทางกายภาพจากอัศวินหลวงและระดับที่ต่ำกว่าได้ นอกจากนี้ ยังมีพวกอสูรที่สามารถใช้เวทมนตร์ของนักเวทศาสตร์มืดได้ด้วย
หลังจากที่มัมมี่และอสูรทำลายโล่เพลิงอัคคีไปเรียบร้อยแล้ว แต่ลูเซียนก็หายตัวไปแล้วเช่นกัน!
นักเวทศาสตร์มืดที่ใส่หมวกคลุมและกำลังลอยอยู่กลางอากาศก็รู้สึกแปลกใจนิดหน่อย ในไม่ช้าเขาก็ใช้พลังวิญญาณจับสัมผัสและพึมพำกับตัวเองว่า “อืมม… โพรงใต้พื้นดิน…จำแลงกายเป็นหนู…”
เมื่อนักเวทศาสตร์มืดยกมือขึ้นพื้นดินก็เริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงจนเกิดแผ่นดินไหว
เวทมนตร์ระดับหก ‘ปฐพีสั่นสะเทือน’!
รถม้าที่ถูกทำลายไปครึ่งหนึ่งก็สั่นสะเทือนขึ้นๆ ลงๆ พร้อมกับพื้นดินและศพของคนขับรถม้าก็ถูกทำลายเป็นชิ้นๆ หลังจากนั้นก็มีร่างชายคนหนึ่งที่ถูกโยนลงไปบนรถม้าจากที่สูง และนอนนิ่งอยู่กับที่ราวกับว่าเขาตายไปแล้ว
ลูเซียนที่ตอนนี้เป็นหนูตาแดงก่ำก็รู้สึกได้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่เมื่อพื้นดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เขารู้ตัวว่าถ้าเขายังไม่ขึ้นไปข้างบน เขาอาจถูกฝังทั้งเป็น
ทันทีที่ลูเซียนถอนเวทมนตร์และกลับสู่ร่างมนุษย์ เขาก็พร้อมที่จะเรียกใช้แหวน ‘เวทธาตุ’ เพื่อพยายามเอาชีวิตรอดให้ได้
ลูเซียนไม่เคยคิดว่าตัวเขาจะรอดพ้นจากการโจมตีของนักเวทระดับสูง ดังนั้น สิ่งที่เขาทำได้คือการถ่วงเวลาเอาไว้ แล้วหวังว่านักเวทมนตร์ระดับสูงหรือผู้วิเศษจากกลุ่มเจตจำนงแห่งธาตุที่อยู่ใกล้เคียงจะสังเกตเห็นได้ว่าเกิดอะไรขึ้นและมาช่วยเขาที่นี่
แต่เมื่อเวลาผ่านไปลูเซียนก็ตระหนักว่า พวกจอมเวทอาจจะยุ่งกับการศึกษาพระจิตแห่งสรรพสิ่งมากกว่าที่จะมาสนใจเขา
เมื่อลูเซียนกลับขึ้นมาบนพื้น เขาก็จำได้ว่าคนที่ถูกโยนลงบนรถม้าและตอนนี้ก็นอนอยู่ข้างชิ้นส่วนที่เหลือของรถม้าก็คือเฟลิเปจากหัตถ์ไร้ชีวา! เขาถูกนักเวทศาสตร์มืดคนอื่นสังหารตาย!
ลูเซียนถึงกับตกตะลึง
ดวงตาของทราเควียร์ที่กำลังลอยอยู่ในอากาศเปล่งแสงสีแดงทะลุผ่านความมืดภายใต้หมวกของเขาออกมา เขาพร้อมที่จะร่ายเวท ‘เนตรมรณะ’ ที่เป็นเวทระดับใส่ลูเซียนตลอดเวลา!
ในขณะเดียวกันแสงสลัวๆ ก็พุ่งออกมาจากอกของเฟลิเป และมันทำให้มัมมี่สีดำและอสูรทั้งหมดภายในรัศมีห้าสิบเมตรตัวแข็งทันที จากนั้นพวกมันก็ระเบิดอย่างเงียบๆ ในคราวเดียว!
ก๊าซสีดำที่เกิดจากการระเบิดนั้นกลายเป็นดาบยาวที่เต็มไปด้วยดวงตาที่ชวนให้ขนลุก จากนั้นดาบก็ตวัดฟันไปที่ทราเควียร์อย่างรวดเร็ว
‘ดาบทมิฬ’ เป็นเวทระดับเจ็ดที่อยู่ในเครื่องรางบัลลังก์นิรันดรของเฟลิเป! เวทมนตร์นี้ไม่เพียงแต่ควบคุมการเคลื่อนไหวของคนตายเท่านั้น แต่ยังรวบรวมพลังแห่งความตายที่ซึ่งสามารถลดระดับพลังของผู้ที่ถูกเวทมนตร์โจมตีลงหนึ่งระดับ หากปราศจากพิธีกรรมพิเศษ ผู้ถูกโจมตีจะไม่สามารถกลับสู่ความปกติได้!
น่าแปลกที่เฟลิเปยังไม่ตาย เขาแสร้งทำเป็นว่าตายไปแล้ว จากนั้นเขาก็โจมตีศัตรูโดยไม่ทันคาดคิดในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด
หลังจากการต่อสู้อย่างดุเดือดกับเฟลิเปกลางอากาศทราเควียร์ได้ใช้เวทมนตร์ป้องกันทั้งหมดของเขาแล้ว และเฟลิเปยังใช้เวทที่ดูคล้ายดาบทมิฬก่อนหน้านี้อีกด้วย ดังนั้น ทราเควียร์จึงไม่ทันระวัง จนยากที่จะหลีกเลี่ยงการโจมตีได้
ดาบทมิฬสะกดพลังของทราเควียร์ไว้และทำให้เขากลายเป็นกลายเป็นนักเวทระดับห้า ดังนั้น เขาจึงไม่สามารถใช้ ‘เวทปฐพีสั่นสะเทือน’ ได้อีก
ลูเซียนรีบคว้าโอกาสนี้และเรียกใช้พลังของแหวนเวทธาตุ ทันทีที่แสงสว่างจ้าออกมาจากแหวน แสงทั้งหมดประกอบด้วยแสงสีดำ สีน้ำเงิน สีเขียว และสีทองปรากฏขึ้นในท้องฟ้าและเข้าหมุนวนล้อมรอบทราเควียร์ไว้ และจากนั้นมันก็กลืนกินและฉีกเขาออกจากกัน
เวทระดับเจ็ด ‘พายุหมุนพลังธาตุ’
ลูเซียนรู้สึกเจ็บปวดอย่างมากจากนิ้วที่แหวนสวมอยู่ และความเจ็บปวดนั้นแทบจะทำให้เขาเกือบหัวใจหยุดเต้น และพลังวิญญาณวิญญาณของเขาก็เหือดแห้งไปหมด เขารู้สึกอ่อนแรง และทรมานอย่างมากจนแทบจะทนไม่ไหว
นี่คือค่าใช้จ่ายที่เขาต้องจ่ายสำหรับการร่ายเวทระดับเจ็ด ในขณะที่ยังไม่ปลดผนึกออก
แม้ว่าทราเควียร์จะยังคงดิ้นรนเพื่อร่ายเวทป้องกันทั้งหมดที่เขามี แต่ร่างกายของเขาก็ถูกฉีกเป็นชิ้นๆ เช่นเดียวกับอุปกรณ์เวทมนตร์อยู่ ก็เพราะทุกอย่างล้วนประกอบด้วยธาตุ
ทั้ง ‘เวทพายุหมุนพลังธาตุ’ และ ‘เวทแยกสลาย’ (ขั้นสูง) สามารถทำลายอุปกรณ์เวทมนตร์ได้ แต่เฉพาะเวทแยกสลายเท่านั้นซึ่งเป็นเวทมนตร์ระดับเก้า จะสามารถทำลายอุปกรณ์เวทมนตร์ชั้นตำนาน และระดับพลังป้องกันของผู้ถูกโจมตีไม่มีผลต่อพลังของเวทมนตร์บทนี้ ดังนั้น จึงต้องใช้พลังวิญญาณของตัวเองและเวทมนตร์ระดับอาวุโสต่างๆ ในการรับมือเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดระหว่าง ‘เวทพายุหมุนพลังธาตุ’ และ ‘เวทแยกสลาย’ (ขั้นสูง) คือเวทมนตร์บทแรกจะเล่นงานทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ แต่เวทมนตร์บทที่สองจะเล่นงานอุปกรณ์เวทมนตร์และอุปกรณ์เวทเพิ่มพลังเท่านั้น
ถึงกระนั้นก่อนที่ทราเควียร์จะตาย เขาก็ตะโกนใส่เฟลิเปอย่างเดือดดาลว่า “เจ้า! เจ้าทรยศความเชื่อของตนเอง! เจ้าไม่อาจต่อต้านทฤษฎีพลังชีวิต! ไปลงนรก!!!”
ความเจ็บปวดแสนสาหัสทำให้ทราเควียร์บ้าคลั่งและก๊าซสีดำก็ออกมาจากร่างของเขา ทันทีที่ร่างกายและจิตใจของเขาถูกทำลายอย่างสมบูรณ์ จากนั้นก็เกิดการระเบิดอย่างรุนแรงโดยมีเป้าหมายอยู่ที่เฟลิเป!
‘เวทโจมตีลาตาย’ เป็นเวทระดับห้าที่เมื่อผู้ร่ายตาย ร่างของเขาหรือเธอจะระเบิดโจมตีเป้าหมายที่กำหนดไว้ก่อนตาย!
ทันทีที่เปลวไฟและคลื่นระเบิดรุนแรงกลืนกินเฟลิเป ลูเซียนที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็ถูกโยนลงไปที่พื้นจากพลังอันรุนแรงมหาศาล
เมื่อลมจากการระเบิดหายไป ลูเซียนก็ต้องใช้ความพยายามอย่างหนักเพื่อลุกขึ้น เขากำลังโศกเศร้าต่อการจากไปของกับเฟลิเป แต่ตอนนี้เขาเห็นร่างที่อยู่อีกด้านหนึ่งผ่านฝุ่นในอากาศกำลังส่ายโงนเงนและพยายามยืนขึ้น
“เจ้ายังไม่ตาย!” เกินกว่าที่ลูเซียนจะจินตนาการ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เขาอ่อนแอเกินกว่าที่จะต่อสู้กับเฟลิเป
เฟลิเปผู้ซึ่งมีเลือดไหลอาบทั่วร่าง และเสื้อคลุมยาวก็เต็มไปด้วยรอยขาดและคราบเลือด หายใจหอบและพูดกับลูเซียน “แม้ว่าเจ้าจะตาย… แต่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ศาสตราจารย์”
หลังจากเห็นการต่อสู้ของลูเซียนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา เฟลิเปก็ค่อนข้างแน่ใจว่าลูเซียนคือศาสตราจารย์ที่เขากำลังตามหาอยู่
ความจริงที่ว่าเขาหลงกลนักเวทระดับหนึ่งทำให้เฟลิเปโกรธจัด แต่เมื่อเขากำลังจะร่ายเวทเพื่อโจมตีลูเซียนเขาตระหนักว่าร่างกายของเขาอ่อนแอเกินกว่าที่จะทำอะไร หลังจากที่ใช้เครื่องรางไปแล้ว
“ข้าคิดว่าเจ้ากำลังจะตายแล้วเสียอีก” ลูเซียนไม่ยอมรับหรือปฏิเสธคำพูดของเฟลิเป ตอนนี้เขาได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มเจตจำนงแห่งธาตุ ดังนั้น เขาเลยไม่สนใจเลยว่าหัตถ์ไร้ชีวาจะรู้ตัวตนของเขาหรือไม่ ลูเซียนกล่าวต่อไปว่า “เจ้ากำลังสังเคราะห์องค์ประกอบชีวิตชีวิตอยู่หรือเปล่า? ทำไมผู้ชายคนนั้นถึงพยายามสังหารเจ้า? แล้ว… ท่านเพิ่งนำหายนะมาให้ข้า”
เฟลิเปกล่าวด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ย “เขามาจากหัตถ์ไร้ชีวา เขาไม่สามารถยอมรับความจริงที่ว่าทฤษฎีพลังชีวิตได้ถูกล้มล้างไปแล้ว เขาจึงพยายามสังหารข้า และเขาต้องการที่จะสังหารเจ้าด้วยเช่นกัน เพราะเขาต้องการให้คนอื่นคิดว่าพวกเราสังหารกันเอง อย่างไรก็ตาม เราทั้งคู่รู้ว่าเขาต้องการอะไร! และสิ่งที่ข้าจะบอกกับเจ้าก็คือ… ข้าได้สังเคราะห์กรดอะลิฟาติกสำเร็จแล้ว ดังนั้นข้าขอแนะนำให้เจ้าส่งบทความของเจ้าเกี่ยวกับการสังเคราะห์คาร์บาไมด์ด่วน เพื่อให้ได้รับคะแนนชื่อเสียงเป็นสองเท่า”
“ไม่น่าเชื่อ? จริงหรือนี่? ขอแสดงความยินดีกับเจ้าด้วยศิษย์รัก” ลูเซียนยิ้ม “เจ้าพิสูจน์ได้แล้วว่าข้าเป็นศาสตราจารย์จริงๆ”
เนื่องจากทั้งคู่อ่อนแอเกินกว่าจะต่อสู้กัน พวกเขาจึงต่อสู้โดยใช้คำพูด
“ถึงแม้ว่าเจ้าจะฉลาด แต่ถ้าเจ้าไม่อยู่ใกล้ข้า ก็คงไม่โชคดีแบบนี้ ถ้าทราเควียร์ไม่ได้รับบาดเจ็บจากเวทมนตร์ระดับสูงของข้า เขาก็คงจะสังหารเจ้าตายแล้ว!”
แม้ว่าเฟลิเปจะพูดเช่นนั้น แต่จริงๆ แล้วเขาก็ให้ความสนใจอย่างมากกับผู้ชายคนนี้ที่หลอกลวงเขาสำเร็จ ในขณะที่เขาเป็นนักเวทระดับหนึ่ง
ลูเซียนยักไหล่ “ท่านเฟลิเป เจ้าเป็นจอมเวทระดับสี่ใช่ไหม ในอนาคตเมื่อข้าอายุเท่าเจ้า ข้าก็คงอยู่ในระดับที่สูงกว่าเจ้า เจ้ารู้ไหมข้าไม่สนใจการตีพิมพ์บทความในการสังเคราะห์องค์ประกอบชีวิต เพราะเพียงแค่เรื่องตารางธาตุอย่างเดียว ก็สามารถทำข้ามีคะแนนชื่อเสียงอาร์คานามากมายในแต่ละปี…”
“ใช่… เมื่อเจ้าไปถึงตำแหน่งระดับสูง ความก้าวหน้าของเจ้าก็จะช้าลง” เฟลิเปโต้กลับ “และข้าก็ไม่คิดว่ากลุ่มเจตจำนงแห่งธาตุจะให้คุณค่ากับเจ้ามากขนาดนั้น เท่าที่ข้ารู้มาเจ้าไม่ได้เป็นลูกศิษย์ของนักเวทระดับสูงหรือผู้วิเศษคนใดเลย”
ลูเซียนเหลือบมองจุดที่ทราเควียร์เพิ่งจะระเบิดไป “แต่อย่างน้อยก็ดีกว่ากลุ่มที่สมาชิกสังหารกันเอง อย่างไรเสียข้าคิดว่าการทดลองผลิตส่วนผสมของท่านเป็นความลับไม่ใช่หรือ”
หน้าซีดเซียวของเฟลิเปดูเคร่งเครียดขึ้น เขาพึมพำออกมา “นอกจากธานาทอสและเทพอสูรจอมเวทก็มีเพียงสามคนเท่านั้นรวมถึงโรเจริโอด้วยที่รู้เรื่องการทดลองของข้า ไม่มีทางที่ข้อมูลจะรั่วไหล… ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่?”
“อืม… ข้าไม่แน่ใจ มันไม่ใช่เรื่องของข้า” ลูเซียนอยากหัวเราะเยาะเฟลิเป แต่เขาก็เจ็บเกินกว่าจะฝืนหัวเราะออกมา
เฟลิเปรู้สึกว่าร่างกายของเขาหรือพูดว่าร่างกายที่เขาใช้อยู่ตอนนี้ใกล้จะพังทลายลง เขาคิดสักครู่หนึ่งแล้วจึงพูดกับลูเซียนว่า “ข้าจะไม่บอกเรื่องนี้กับธานาทอส… ศาสตราจารย์เราคงต้องร่วมมือกันสักครั้ง”
“เพื่ออะไร?” ลูเซียนถาม
“ข้าต้องการที่จะแก้แค้นให้กับทุกอย่างที่ตาแก่พวกนั้นนั่นทำกับข้าในหัตถ์ไร้ชีวา” เฟลิเปตอบอย่างรวดเร็ว แน่นอนถึง แม้ว่าเฟลิเปจะมีความภาคภูมิเพียงไหน เขาทนกับการดูถูกไม่ได้เช่นกัน
“แล้วข้าจะได้อะไร” ลูเซียนยิ้มเล็กน้อยแม้ว่าจะเจ็บปวด
………………………