1/5

 

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.425 – ฉินเฟิงหลบหนี

 

“หวังว่านี่จะเพียงพอ ให้ช่วยย้ำเตือนว่าอย่าริอาจมาเหยียบย่ำสิ่งของๆฉัน!”

 

ฉินเฟิงหัวเราะเย็นชา ก่อนหายวับไปอย่างสิ้นเชิง

 

กวงเว่ยพยายามไล่ตาม แต่ถึงพลังสมาธิของเขาจะน่าหวาดกลัวขนาดไหน มันก็ยังมีขีดจำกัด!

 

เพราะสุดท้าย เขามิได้มีศักยภาพระดับ SS เหมือนฉินเฟิง ขีดจำกัดพิสัยในการรับรู้จึงกว้างแค่ 3,000 เมตรเท่านั้น

 

ซึ่งระยะของมัน ด้อยกว่าฉินเฟิงในตอนนี้!

 

ดังนั้น แค่ฉินเฟิงกับไป๋หลีเทเลพอร์ตง่ายๆโดยอาศัยอบิลิตี้มิติ ก็หลุดพ้นจากระยะการรับรู้ของกวงเว่ย

 

อย่างไรก็ตาม กวงเว่ยแน่นอนย่อมยังมีวิธีอื่นอยู่ นั่นคือหาตำแหน่งศัตรูผ่านอุปกรณ์สื่อสาร

 

เพราะอย่างไรเสีย นั่นคือสิ่งถูกวางขายโดยพันธมิตรมนุษย์ เป็นสิ่งที่ฉินเฟิงสวมใส่

 

แต่ฉินเฟิงมีหรือจะมาพลาดพลั้งกับเรื่องไร้สาระเช่นนี้ เขาถอดอุปกรณ์สื่อสารของตนเองกับไป๋หลี และยัดมันลงในอุปกรณ์รูนมิติตั้งนานแล้ว

 

วิธีนั้นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้  ต่อให้กวงเว่ยเป็นผู้ใช้พลังเลเวล B ก็ยังไร้หนทาง กล่าวได้ว่าในส่วนของการไล่ล่าผู้หลบหนี เขายังถือว่าด้อยกว่าหลี่จื่อซาน

 

นี่เองคือเหตุผลหลักที่หลี่จื่อซานถูกเรียกตัวมาที่นี่! เพราะเธอคือผู้ใช้อบิลิตี้ธาตุลมที่ครอบครองความสามารถในการเพิ่มความเร็วได้!

 

แต่ตอนนี้น่ะหรือ?

 

เล่ยหยิงถูกฉินเฟิงตัดแขนอีกครั้ง อาการบาดเจ็บที่แขนครั้งก่อน เขาใช้ยาครอบจักรวาลมากมายมารักษา สุดท้ายหายดี แต่ตอนนี้กลับถูกตัดออกไป

 

ขนาดเล่ยหยิงในเวลานี้ยังแทบเป็นง่อย ร้องโวยวายไม่อาจทำอะไรได้ ฉะนั้นหลี่จื่อซานที่ถูกตัดขาทั้งสองข้างคงไม่ต้องกล่าวถึง!

 

“ไม่คิดเลย ว่าฉินเฟิงจะโหดเหี้ยมถึงขนาดนี้”

 

เห็นฉากอันเด็ดขาดตรงหน้า กวงเว่ยแม้เป็นผู้ใช้อบิลิตี้น้ำแข็ง แต่ขณะนี้ กระทั่งตนยังรู้สึกเย็นสันหลังวาบ

 

เมื่อไม่อาจใช้ตัวช่วยใดๆ กวงเว่ยตัดสินใจออกล่าด้วยตัวเองเป็นระยะทางไกลกว่า 20 ลี้ แต่ร่องรอยของฉินเฟิงกลับหายไปกลางทางซะดื้อๆ เลยต้องจำใจกัดฟันกลับมายังสถานชุมชนหลงฉวนที่ 3 แบบมือเปล่า

 

เล่ยหยิงเดินกุมแขนเข้ามาและเอ่ยถามอย่างร้อนรน “ท่านนายพลกวง สำเร็จแล้วหรือ?”

 

ไม่อยากพูดถึงเรื่องใด ก็มักมีเหตุให้ต้องพูดถึงมัน!

 

ใบหน้าของกวงเว่ยแปรเปลี่ยนเป็นฟ้าอมม่วง

 

“ไอ้พวกขยะ!”

 

ทิ้งท้ายเพียงสั้นๆ กวงเว่ยก็หมุนกายเดินจากไป

 

เล่ยหยิงพอได้ยินคำนี้ ก็ตระหนักได้ทันที ว่าฉินเฟิงยังไม่ตาย!

 

มันสามารถหลบหนีไปได้อย่างงั้นหรอ?

 

ในใจของเล่ยหยิง ย้อนนึกไปถึงคำพูดของฉินเฟิง

 

‘สิ่งของใดๆของบิดา ไม่ว่าใครถ้ากล้าแตะต้อง ฉันจะทำให้มันไม่มีวันได้เห็นเดือนเห็นตะวันในวันพรุ่งอีกเลย!’

 

สิ่งของๆฉินเฟิง มันมีอะไรบ้างน่ะหรือ?

 

ที่แน่ๆก็สถานชุมชนเฟิงหลี , ปราการชาตง , กองทหารรับจ้างเฟิงหลี …

 

และอาจรวมไปถึงตำแหน่งผู้การรัฐเขตสี่เมืองทะเลเหนืออีกด้วย

 

ช่วงเวลานี้ เล่ยหยิงรู้สึกราวกับเหนือศีรษะตน มีใบมีดแหลมลอยล่องอยู่ตลอดเวลา –เป็นใบมีดกษัตริย์ครามของฉินเฟิง!

 

ยังไงก็ตาม จะให้เขายอมแพ้ตำแหน่งผู้การรัฐไปง่ายๆแบบนี้หรือ?

 

ปัจจุบัน เล่ยหยิงไม่ต่างจากหมาป่าที่มีชิ้นเนื้อวางอยู่ตรงหน้า ทว่าหากละโมบยืดคอออกไปงับ ก็อาจถูกสะบั้นศีรษะลงในทันที

 

ห้วงอารมณ์ที่ทำให้ผู้คนรู้สึกเจ็บปวดและอึดอัดเช่นนี้ มันยากเกินจะทนไหว

 

และตอนนี้ปัญหาไม่ได้มีแค่ประเด็นสี่เมืองทะเลเหนือเท่านั้น!

 

มันยังภัยคุกคามร้ายแรงอย่างการล้างแค้นของฉินเฟิงอีก!

 

อีกฝ่ายถูกทำลายชื่อเสียงจนป่นปี้ เล่ยหยิงไม่อาจวางใจได้เลย ว่าฉินเฟิงจะไม่วกกลับมาฆ่าเขา

 

“ตั้งรางวัลนำจับ ใครก็ตามที่สังหารฉินเฟิง จะได้รับเงินรางวัล 1 แสนล้าน!”

 

เล่ยหยิงตัดสินใจเด็ดเดี่ยว เขาเข้าไปในเครือข่ายนักสู้ และเผยแพร่ข้อความออกไป

 

และในค่ำคืนเดียวกัน เล่ยหยิงเลือกเข้าไปมุดหัว อาศัยอยู่ในตึกรับรองผู้ใช้พลัง เพื่อป้องกันในกรณีที่ว่าฉินเฟิงจะลอบเข้ามากลางดึก และสังหารเขา

 

 

ทางด้านฉินเฟิง เดิมทีเขาก็ตั้งใจจะกลับไปลอบสังหารอยู่หรอก แต่เมื่อหลบหนีลึกเข้าไปในเทือกเขาหลงฉวน แม้จะอยู่ในระยะไกล ไกลมากๆ แต่เจ้าตัวก็ยังสามารถมองเห็นถึงบางสิ่งที่น่าพรั่นพรึ่ง!

 

“นั่นมันอะไร ..”

 

รูม่านตาของฉินเฟิงหดวูบทันใด

 

แม้ปากจะเอ่ยถาม แต่ที่จริงเขาเห็นได้อย่างชัดเจน แค่ไม่อยากยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นก็เท่านั้นเอง

 

“นั่นช่องว่างมิติ!” สีหน้าของไป๋หลีเริ่มกลายเป็นหนักอึ้ง

 

ช่องว่างมิติขนาดใหญ่ เมื่อปรากฏขึ้นในช่วงกลางวันแสกๆ ลักษณะของมันเลยสามารถเห็นอย่างชัดเจน

 

ต่อมา มุมเหลี่ยมแหลมก็เริ่มผลุบออกมาจากมัน

 

และนี่คือรูปทรงเดียวกับเมืองลอยฟ้าที่เคยล่มสลายลงก่อนหน้านี้!

 

บางที อาจเป็นเพราะโศกนาฏกรรมในครั้งก่อน ทำให้คราวนี้ เมืองลอยฟ้าจึงฝ่ามิติเข้ามาแบบกระจายตัว เพียงเหลือบมอง จะพบกับเครื่องจักรลอยฟ้าขนาดใหญ่ โผล่ออกมาเต็มท้องฟ้า เมื่อสามารถฝ่ามิติมาได้โดยสมบูรณ์ แต่ละชิ้นถึงค่อยประกบกัน ก่อรูปเป็นเมืองลอยฟ้าฉบับสมบูรณ์

 

สีหน้าของฉินเฟิงกลายเป็นซีดเผือด

 

อย่างไรก็ตาม เขาไม่อาจใช้งานอุปกรณ์สื่อสาร ดังนั้นไม่สามารถแจ้งเตือนพันธมิตรมนุษย์ได้

 

แต่ว่า … หากกองทัพกริมมหาศาลขนาดนี้บุกเข้ามา มันจะไม่เกิดโศกนาฏกรรมเหมือนในชีวิตก่อนหน้าซ้ำสองหรือ?

 

แต่จู่ๆฉินเฟิงก็ทำเสียงฮึฮะขึ้นทันใด

 

“สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม อยากจะรู้จริงๆ ว่าคราวนี้กวงเว่ยจะรอดชีวิตไปได้รึเปล่า”

 

“จะไม่ทำอะไรหน่อยหรอ?” ไป๋หลีเอ่ยถาม

 

หลังจากใช้ชีวิตอย่างเต็มอิ่มมานานกว่า 1 ปี ไป๋หลีได้เรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับมนุษย์มามากมาย แม้ปกติแล้วที่เธอทำจะมีแค่ดื่ม กิน และเลือกซื้อเสื้อผ้าสวยๆ แต่หากเป็นช่วงเวลาสำคัญ ไม่มีใครน่าเชื่อถือได้เท่ากับตัวเธอ

 

และตอนนี้ เธอตระหนักดีว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

 

“แล้วเธอคิดว่ายังไง?”

 

ดวงตาของไป๋หลีวาววับ “ไม่ดีกว่า ปล่อยให้ธรรมชาติเป็นตัวคัดสรรเอง”

 

ฉินเฟิงมองไปยังยานมิติที่น่าพรั่นพรึงจากระยะไกล เปิดปากเอ่ย “เธอพูดถูก ทำไมฉันต้องไปสนใจพวกเขาด้วย!”

 

ใช่แล้วล่ะ บางคน โชคชะตาของพวกเขาสมควรเป็นไปตามกรรม

 

ขณะเดียวกัน สมาชิกกองทหารรับจ้างเฟิงหลี แทบจะกลายเป็นบ้าอยู่แล้ว

 

ฉินเฟิงสูญเสียการติดต่อ ทั้งยังถูกออกหมายจับ เมื่อข่าวแพร่ออกมา ทุกคนกลายเป็นแตกตื่น

 

เพราะพวกเขา พึ่งพาฉินเฟิงมากเกินไป

 

ทั้งความมั่งคั่ง , สถานะ เป็นฉินเฟิงมอบให้พวกเขา แต่พวกเขาไม่อยากจะเชื่อเลย ว่าทั้งหมดจะล่มสลายลง!

 

ในเวลาเดียวกัน ฉินเฟิงฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้พอดี พลังสมาธิเข้าไปค้นในส่วนลึกของพื้นที่มิติ และนำอุปกรณ์สื่อสารอีกชิ้นหนึ่งออกมา

 

มันคืออุปกรณ์สื่อสารที่เขาเคยใช้ในฐานะ ‘บลัดฮันเตอร์’

 

เดิมฉินเฟิงคิดว่าเขาคงไม่ได้ใช้มันอีกแล้ว แต่ไม่นึกเลย ว่าเวลานี้มันกลับมีประโยชน์ขึ้นมา

 

ฉินเฟิงคลิกลงบนอุปกรณ์สื่อสาร ภายในมีเพียงหมายเลขติดต่อของโจวฮ่าว

 

เป็นเบอร์เดียวที่ถูกเพิ่มเข้ามาช่วงสุสานเทพสงคราม

 

“ติ๊ด! ติ๊ด! ติ๊ด!”

 

เขาโทรหาโจวฮ่าว แต่ยังไม่ทันถึงหนึ่งวินาที ปลายสายก็กดรับ

 

“ฉินเฟิง เกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ๆนายถึงถูกออกหมายจับ?” โจวฮ่าวถามทันที

 

“เรื่องค่อนข้างซับซ้อน ถ้าให้อธิบายมันคงยุ่งยาก ดังนั้นตอนนี้ ฉันฝากนายติดต่อกองทหารรับจ้างเฟิงหลีให้หน่อย บอกพวกเขาให้เร่งถอนตัวจากสถานชุมชนที่ 3 และกลับไปยังเมืองหลงฉวนทันที”

 

“โอเค ฉันจะรีบโทรบอกพวกเขา” โจวฮ่าวพยักหน้ารับ

 

ฉินเฟิงวางสาย และติดต่อหาซูซิงฝูต่อทันที

 

เนื่องจากซูซิงฝูเป็นนักธุรกิจ ดังนั้นแม้จะมีเบอร์แปลกๆโทรเข้ามา เขาก็ยินดีรับ เวลานี้เป็นช่วงบ่ายคล้อย เดิมซูซิงฝูกำลังนั่งอ่านรายงานของปราการชาตงด้วยความพอใจ เพราะจากในตอนแรกที่นี่เป็นเพียงเมืองแนวหน้าน่าเวทนา แต่ปัจจุบันกลับทะยานขึ้นมาอยู่ในสภาพนี้ได้ ซูซิงฝูรู้สึกว่าอนาคตของมันช่างไร้ที่สิ้นสุด!

 

แน่นอน เครดิตในเรื่องนี้ต้องยกให้ฉินเฟิง หากไม่มีอีกฝ่าย ปราการชาตงคงไม่ได้ดิบได้ดีอย่างทุกวันนี้

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อทราบข่าวบนอุปกรณ์สาร ซูซิงฝูแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง!

 

โชคยังดี เมื่อมีเบอร์แปลกๆโทรเข้ามา ด้วยสัญชาตญาณของซูซิงฝู เขาคาดว่านี่น่าจะเป็นการติดต่อจากฉินเฟิง

 

“ลูกพี่ใช่ไหม? ทำไมจู่ๆคุณถึงเปลี่ยนหมายเลขสื่อสารล่ะ” ซูซิงฝูเอ่ยถาม แต่อันที่จริงเขาพอจะทราบเหตุผลอยู่แล้ว

 

“ไว้คุยกันในสุสานเทพสงคราม อ้อ ก่อนมาอย่าลืมซื้ออุปกรณ์สื่อสารสำหรับผู้หญิงมาด้วย และไม่ต้องรับรองผู้ใช้งาน ผมจะเอาไว้ให้ไป๋หลี ส่วนเวลาประชุมคือ 18.00 น.”

 

ซูซิงฝูพยักหน้าทันที “ตกลง ฉันเข้าใจแล้ว”

 

แม้ฉินเฟิงจะไม่อธิบายอะไรเลย แต่ซูซิงฝูรู้สึกว่า ขอแค่ฉินเฟิงยังมีชีวิตอยู่ ทุกอย่างย่อมไม่มีปัญหา!

 

สมาชิกทหารรับจ้างเฟิงหลีก็ได้รับข้อความเช่นกัน แม้ตอนนี้พวกเขาจะโกรธมาก แต่ก็รู้ตัวดี ว่าไม่สามารถตั้งคำถามได้ หากคิดเผชิญหน้ากับกวงเว่ย พวกเขาไม่มีกำลังมากพอ

 

“นี่มันเป็นความขัดแย้งภายในชัดๆ พวกเขากำลังกดดันหัวหน้า!” สีหน้าของเฉินเซี่ยงหม่นทะมึน

 

เจิ้งเฉียนเองก็โกรธเช่นกัน แต่ไม่อาจทำอะไรได้ นอกจากเชื่อฟังคำสั่งฉินเฟิง ถอนกำลังออกจากสถานชุมชน เดินทางสู่เมืองหลงฉวน