สวี่มู่เจินได้ไตร่ตรองถึงข้อนี้เช่นกัน แต่ทว่าเรื่องนี้จะให้เลยเถิดไปถึงหลังจากช่วงไว้ทุกข์ได้อย่างไร นัยน์ตาหมองมนแต่ไร้ความรู้สึกผิดใดๆ หากให้เลือกอีกครั้งเขาก็จะทำเหมือนเดิม เขาเดินกลับไปนั่งบนเตียงหิน “ข้าก็แค่ลองดูเท่านั้น พรุ่งนี้เพียงแค่พิพากษา หาใช่การตัดสินทันทีไม่ จะกลัวอะไรกัน”
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่พูดและเตรียมตัวพาชูซย่าออกไป สวี่มู่เมินเห็นน้องสาวกำลังจะกลับก็เรียกไว้พลางถาม “อ้าว จะกลับกันแล้วหรือ ตอนเจ้าออกไปช่วยบอกคนเฝ้าห้องขังให้หยิบผ้ารองหรือเบาะนั่งที่สะอาดให้ข้าที ในนี้สกปรกมาก มีทั้งมดทั้งแมลง ข้าทนไม่ไหว——”
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่อยากสนใจจึงทำเหมือนฟังหูซ้ายทะลุหูขวาเดินตรงไป พอถึงหน้าประตู ชูซย่าเอ่ยถาม “จะไม่สนใจคุณชายและกลับกันเช่นนี้เลยหรือเจ้าคะ”
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่ตอบและเดินออกจากห้องขังตามการนำทางของเจ้าหน้าที่ เมื่อเดินจนถึงโถงศาล ถานหลังจงและคนอื่นๆ นั่งรออยู่ในนั้นด้วยสีหน้าที่ตื่นเต้นเพราะเฝ้ารอตนออกมา ข้างๆ พวกเขาเหมือนมีทหารเพิ่มขึ้นหลายนาย ดูจากการแต่งกายคล้ายว่าเป็นนายทหารในกรมยุติธรรม คงมาเพราะกลัวว่าตนจะกระทำการช่วยนักโทษหรือใช้อำนาจบุคคลบีบบังคับผู้อื่นสินะ
ถานหลังจงถึงกับถอนหายใจเฮือกหนึ่งเมื่อเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นเดินออกมาสักที จึงลุกขึ้นยืนและส่งแขกอย่างไม่มีความเกรงใจ “ในเมื่อพระชายาเอกได้พบคนแล้ว ได้พูดด้วยแล้ว ก็ควรกลับได้แล้วกระมัง”
อวิ๋นหว่านชิ่นแหงนหน้ามองสีของท้องฟ้าพลางเอ่ย “อีกไม่เกินสองชั่วยามฟ้าก็สว่างแล้ว ข้ารอฟังคำตัดสินตรงนี้แหละ จะได้ไม่ต้องวิ่งไปวิ่งมาจนพลาดฟังคำตัดสิน ก็ดีเหมือนกัน แล้วระหว่างนี้ข้าขอให้ถานหลังจงช่วยส่งคนมาเล่าที่ไปที่มาบนเรือสำราญว่านชุนให้ข้าฟังที”
ถานหลังจงรู้สึกกลัดกลุ้ม นี่กลัวว่ากรมยุติธรรมจะทำสิ่งใดจนสวี่มู่เจินถึงแก่ชีวิต ถึงกับต้องคอยจับตามองเช่นนี้เรอะ!
เมื่อตอนแสดงหยกปี้อ้านขึ้นมา อยากจะขัดขวางแต่ก็ทำมิได้ แต่ตอนนี้อยากให้นางออกไปกลับมีความกล้าเต็มเปี่ยม ถานหลังจงขึ้นเสียงอย่างไม่ไว้หน้า “ไม่ได้! โถงศาลเป็นสถานที่ที่เข้มงวด หาได้เคยให้ผู้ใดอยู่รอฟังคำตัดสินไม่ แล้วที่ตรงนี้ พวกข้าก็มิอาจปรนนิบัติพระชายาเอกได้ด้วย หากพระชายาเอกยืนหยัดว่าจะไม่กลับ ก็อย่าหาว่าข้าน้อยไม่ไว้หน้าละกันนะขอรับ! ข้าเองก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายเช่นกัน!”
ชูซย่าหยิบเก้าอี้ด้านข้างขึ้นมาตามสัญญาณที่ได้รับจากอวิ๋นหว่านชิ่น “ไม่ให้อยู่รอที่โถงศาล งั้นพวกข้ารอที่ลานกว้างด้านนอกก็แล้วกัน ขอเพียงยืมเก้าอี้สักหนึ่งตัว แบบนี้คงไม่ขัดขวางการปฏิบัติงานของใต้เท้าถานกระมัง”
ถานหลังจงโกรธฮึดฮัด พอมองไปด้านนอกก็พบว่า แม้เริ่มเข้าฤดูใบไม้ผลิ แต่ตอนกลางคืนลมพัดหนาวเหน็บ อย่าว่าแต่ผู้หญิง แม้แต่พวกเขาที่อยู่เวรดึก บางครั้งก็ยังไม่กล้ายืนด้านนอกทั้งคืน
ชาติกำเนิดสูงส่ง ก็ไม่รู้ไปพกความเด็ดขาดนี่มาจากไหน ไม่มีการกลัวความลำบากเลยสักนิด
เขาส่งสายตาให้เจ้าหน้าที่ที่มีกำลังเข้าไปแย่งเก้าอี้จากมือของชูซย่าพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าขอโทษด้วยนะ ทรัพย์สินของกรม ไม่อาจให้ยืมได้!”
“นี่เจ้า——” ชูซย่ายังไม่เคยพบใครที่พูดด้วยยากขนาดนี้มาก่อน แทบจะกระอักเลือดแล้วจริงๆ แต่แล้วอวิ๋นหว่านชิ่นกลับดึงเสื้อเบาๆ และเดินไปลานกว้างพร้อมปริปากพูดว่า “ไม่เป็นไร พวกเรายืนอยู่ด้านนอกก็ได้”
ถานหลังจงลั่นให้หยุด “ท้ายที่สุดแล้วพระชายาเอกก็มิวางใจในกรมยุติธรรมสินะขอรับ พวกข้ามีเจ้าหน้าที่ตั้งกี่คน ยังมิสู้สตรีภาพยังท่านเชียวรึ”
สตรีภาพโต้กลับ “ปัจจุบันเป็นช่วงแห่งความเข้มงวด เพื่อทำตามคำบัญชาและเอาใจผู้ที่อยู่เบื้องบน คดีมากมายเลือกการลงโทษสถานหนักไว้ก่อนใคร พวกท่านไม่ฟังแม้คำพยานใดๆ นี่ข้าเพียงร้องขอพูดคุยกับนักโทษไม่กี่คำ เพื่อให้รับรู้ถึงที่ไปที่มาของเรื่องราว ซึ่งถือว่ามีความสมเหตุสมผลไม่มากเกินไป แต่ค่ำคืนนี้ข้ากลับถูกท่านขัดขวางครั้งแล้วครั้งเล่า มันจึงทำให้ข้าเริ่มไม่วางใจ!”
มีคนมากมายกำลังมองดู ถานหลังจงต้องการสยบความคิดคนเหล่านั้นที่อาจคิดว่าตนกลัวอำนาจ จึงลั่น “ทหาร!”
“ขอรับ!” ทหารสองนายน้อมรับคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ให้นำตัวอวิ๋นหว่านชิ่นกับชูซย่าออกไป
บ่าวรับใช้จวนอ๋องกับคนขับรถม้ายังคงยืนรออยู่ด้านนอก จึงไม่มีใครมาช่วยได้ ชูซย่ากลัวจะเกิดสิ่งใดขึ้นกับเหนียงเหนียงจึงบังไว้ “ห้ามหยาบคาย——”
นายทหารจับแขนชูซย่าออก นายทหารอีกหนึ่งนายก็เดินอ้อมมาทางด้านหลังอีกคน แม้สถานะของหญิงสาวตรงหน้านี้กับสายตาที่มีความน่าเกรงขาม แต่ก็มิอาจละเว้นได้ “ขอประทานอภัยพระชายาเอก!”
ในตอนนั้น มีแสงไฟส่องสว่างมาจากที่ไม่ไกลพร้อมกับเสียงเท้ากระทบพื้น
คนรับใช้และผู้ติดตามถือโคมไฟส่องแสงสว่างให้กับผู้ชายวัยห้าหกสิบ ซึ่งผู้นั้นก็คือท่านเจ้ากรมเยี่ยแห่งกรมยุติธรรมที่ถูกคนปลุกขึ้นมาจากเตียงนอนในเวลากลางดึก ฝีเท้าย่ำลงพื้นด้วยความรีบร้อนกึกกัก แอบมองเห็นสถานการณ์ในโถงศาลลางๆ จากนั้นก็ลั่นเสียงออกมาในขณะที่ตัวคนนั้นยังอยู่ห่างจากตรงนั้นพอสมควร “หยุดเดี๋ยวนี้! ข้าสั่งให้หยุด!”
ถานหลังจงกับพวกทหารพากันตระหนกตกใจเดินเข้าไปโน้มตัวทักทายเมื่อเห็นว่าเรื่องนี้ไปถึงท่านเจ้ากรมเยี่ย “ดึกๆ ป่านนี้ เจ้ากรมมาได้อย่างไรขอรับ”
เจ้ากรมเยี่ยเห็นพระชายาเอกในฉินอ๋องกับสาวรับใช้มิเป็นอันใดก็รู้สึกโล่งอกไปที จากนั้นสูดลมหายใจเข้าลึกพร้อมเปลี่ยนสีหน้า เดินเข้าไปเขกหัวพร้อมกับตำหนิต่อว่าถานหลังจง “กล้าหยาบคายกับพระชายาเอก! ชักดาบสู้ซึ่งหน้า ขัดขวางทุกสิ่ง แม้แต่เก้าอี้ก็ไม่ให้พระยาชา! พวกเราเป็นดั่งพ่อแม่ที่ให้ความคุ้มครองลูกบ้าน ถึงจะเป็นชาวบ้านทั่วไปก็มิควรปฏิบัติเช่นนี้! เจ้าจะรับโทษยังไง!”
ถานหลังจงอธิบายโดยไม่สนใจความเจ็บปวด “ก็คนที่พระชายาเอกจะพบคือนักโทษประหารชีวิตนี่ขอรับ——”
“ข้าพูดเรื่องนี้ เจ้าพูดกับข้าเรื่องนั้น ข้าพูดว่าเจ้าปฏิบัติตัวหยาบคายกับพระชายาเอก เจ้ามิต้องพูดกับข้าว่านักโทษประหารชีวิตหรือไม่ประหารชีวิต!” เจ้ากรมเยี่ยเขกหัวอีกครั้งเพื่อยับยั้งการกระทำของลูกน้อง นี่มันกำลังราดน้ำมันใส่กองไฟ มีลูกน้องซื่อไม่รู้จักกาลเทศะ ช่างเป็นเรื่องที่เป็นภัยต่อตัวเองจริงๆ “ขอประทานอภัยเดี๋ยวนี้! แค่เจ้ากล้ากระทำสิ่งใดต่อพระชายาเอก ก็เป็นเรื่องที่ไร้ซึ่งคุณธรรมและจริยกธรรมแล้ว!”
ถานหลังจงยังดึงดันเถียงไม่หยุด “กลางดึกเช่นนี้ พระชายาเอกมาขอพบนักโทษประหารชีวิต อีกทั้งยังขออยู่ต่อจนถึงวันตัดสิน นี่เป็นเรื่องที่หามีเหตุผลไม่นะขอรับ! ข้าน้อยไม่ได้รับแจ้งใดๆ ก็ต้องไม่อนุญาตแน่ แต่พระชายาเอกดึงดันจะอยู่ต่อ อย่าหาว่าใช้วิธีการที่หยาบคาย ตามกฎหมาย ถึงจะต้องประหารผู้ก่อกวนโถงศาลทันทีก็ถือว่าปฏิบัติตามกฎหมายขอรับ!”
เจ้ากรมเยี่ยได้ยินถึงกับเหงื่อไหลท่วมหลัง พูดพล่ามอะไรของเจ้า ยังคิดจะประหารพระชายาเอกงั้นเรอะ แผ่นหลังเย็นวูบวาบเพราะตนกำลังจะตายเพราะปากของลูกน้อง กำลังจะเข้าไปหยุดแต่แล้วก็มีเสียงของคนๆ หนึ่งดังขึ้น
“แล้วถ้าเป็นข้าที่ขอรอฟังคำตัดสินล่ะ” น้ำเสียงดังขึ้นจากด้านหลังของเจ้ากรมเยี่ย ซึ่งหามีความโมโหไม่ แต่กลับมีความเข้มขรึมชนิดที่ว่าไม่พอใจอย่างชัดเจน
เจ้ากรมเยี่ยสั่งให้ทุกคนขยับเพื่อเปิดทางให้กับผู้ชายที่มาพร้อมกับผู้ติดตาม
ฝูงชนขยับออกเป็นสองฝั่ง ใบหน้าของชายหนุ่มเริ่มชัดเจนขึ้นภายใต้แสงสว่าง สวมใส่เสื้อคลุมผ้าไหมสีเข้ม ลายปักมังกรที่หน้าอกนั้นดูสง่างามเป็นพิเศษภายใต้แสงจันทร์ที่ดูหนาวเหน็บ เข็มขัดหยกสีเหลืองขมิ้นยังรัดอยู่รอบเอว ดูแล้วคงรีบมาที่กรมจนไม่มีเวลาเปลี่ยนชุดลำลอง
“ท่านอ๋องสาม” ชูซย่าตั้งตกใจและดีใจ เรียกขานไปหนึ่งทีพลางคิดในใจ เรื่องนี้คงจัดการได้ง่ายขึ้น
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่ได้ดีใจเหมือนชูซย่านัก เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นไฟในดวงตาของเขากำลังลุกไม้ มันดูร้อนจนนางกลัว
เพราะหนึ่ง นางมาที่นี่โดยไม่บอกให้เขารู้ สอง เรื่องฝั่งท่านแม่เพิ่งจบ ก็ก่อเรื่องใหม่อีก
โชคดีที่สายตาคู่นั้นเพียงแค่กวาดสายตาไปรอบๆ และไม่ได้หยุดอยู่ตรงไหนนานเป็นพิเศษ
ถานหลังจงคิดไม่ถึงว่าฉินอ๋องจะมาพร้อมกับผู้บังคับบัญชา เขาและทหารยามดึกทุกคนถวายความเคารพทันทีที่ได้ยินเสียง เมื่อยืนตัวตรง สายตาของชายหนุ่มตรงหน้าก็จ้องเขาเขม่นโดยยังคงรอคำตอบจากเขาอยู่ เขาจึงตอบ “หากว่าฉินอ๋องอยากฟังคำตัดสิน ขอเพียงแจ้งความจำนงอันมีเหตุผล ย่อมได้อยู่แล้วขอรับ…”