“งั้นก็ดี” ซย่าโหวซื่อถิงเลยเดินเข้าไปยังโถงศาล คนทั้งกลุ่มก็พากันเดินตามไปด้วย แล้วก็ได้ยินเสียงพูดกับเสียงเท้าดังขึ้นพร้อมกันจากคนด้านหน้า “ข้าต้องการฟังคดีทั่วไปที่เกิดขึ้นในเมืองเร็วๆ นี้ คดีตระกูลสวี่ ก็รวมอยู่ในนั้นด้วยเลยก็แล้วกัน เจ้าให้คนนำคำพยานมาให้ข้าดูหน่อย”
เมื่อสิ้นเสียง ทุกคนก็เดินตามจนมาถึงโถงศาล
เจ้ากรมเยี่ยเตรียมเก้าอี้ให้ฉินอ๋องแล้ว จากนั้นก็ส่งสายตาให้ถานหลังจงอันมีนัยว่าให้รีบไปจัดการเดี๋ยวนี้
ถานหลังจงฟังคำสั่งของฉินอ๋องแต่ก็ลังเลอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายสองมือประสานพลางเอ่ย “ฉินอ๋องเดินทางมายังกรมยุติธรรม ทำการตรวจสอบคดีในเมืองหลวงด้วยตัวเอง หาใช่ว่าจะทำไม่ได้ แต่ยังเป็นเกียรติของข้าน้อยด้วย เพียงแต่ว่า…”
เหล่าถานคนนี้นี่ คงต้องยกคำว่า’ยอม’ให้แล้วสินะ เขารู้ว่าลูกน้องของเขาคนนี้ดื้อดึงและซื่อตรง เป็นคนที่ปฏิบัติงานตามกฎหมาย แม้ฟ้าผ่าก็ไม่เคยหวั่น หากในวันปกติเขาจะไม่สนใจ แต่วันนี้เจ้ากรมแทบอยากจะกราบไหว้เพื่อให้เขาหยุด
ทำตามคำสั่งก็พอ นี่มองภาพไม่ออกเลยหรือยังไง
“เพียงแต่ว่าอะไร พูด” ซย่าโหวซื่อถิงเอ่ยอย่างไม่เจตนาโมโห
ถานหลังจงมองพระชายาเอกฉินที่เดินตามเข้ามาหนึ่งที กัดฟันแล้วเอ่ย “เพียงแต่ว่า นักโทษคดีตระกูลสวี่มีความสัมพันธ์ฉันท์ญาติกับพระชายาเอกฉิน ฉินอ๋องพึงจะหลีกเลี่ยง หากจะฟังคำตัดสินด้วย…เกรงว่าจะไม่เหมาะขอรับ เร็วๆ นี้กรมยุติธรรมรับแจ้งคดีไม่น้อย ได้โปรดท่านอ๋องเลือกคดีอื่นด้วยเถิดขอรับ!”
“เจ้า——บังอาจ!” เจ้ากรมเยี่ยกลัวตัวเองได้รับผลกระทบไปด้วย อดไม่ได้จึงลั่นออกไป “ตอนนี้ฉินอ๋องสำเร็จราชการแทนพระองค์ พระองค์เพียงแค่มาฟังสังเกตการณ์ เรื่องเล็กเท่านี้ เจ้าจะจู้จี้ทำให้ยุ่งยากทำไมกัน!”
“ก็เพราะฉินอ๋องกำลังสำเร็จราชการแทนพระองค์ ยิ่งควรเป็นแบบอย่างและตัวอย่างที่ดีทุกด้าน ปฏิบัติตนด้วยความเข้มงวด ห้ามให้ผู้อื่นจับผิดได้!” ถานหลังจงเตือนด้วยความหวังดี
สำเร็จราชการแทนพระองค์แล้วยังไงล่ะ แม้เป็นโอรสแห่งสวรรค์ ตราบใดที่ไม่ต้องการถูกเสนอชื่อให้เป็นทรราช มันไม่ง่ายเลยที่จะไม่ฟังหรือปฏิเสธโดยตรงต่อคำแนะนำจากข้าราชบริพาร
บรรยากาศภายในโถงศาลตึงเครียด ความเงียบที่เข้ามาแทนที่ทำให้แทบจะได้ยินถึงเสียงลมหายใจของทุกคน
เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ซย่าโหวซื่อถิงเอ่ยขึ้นช้าๆ “ถานหลังจงพูดมีเหตุผล ข้ามิอาจปฏิเสธ”
ถานหลังจงดีใจ “ฉินอ๋องน้อมรับคำแนะนำ มองเห็นอย่างทะลุปรุโปร่ง เป็นคนมีวิสัยทัศน์!”
“แต่ว่า” น้ำเสียงแปรเปลี่ยนพลางโน้มไปด้านหน้าและจ้องถานหลังจงเอาไว้ “ข้าอยากถามเจ้าหน่อย เชื้อพระวงศ์ตระกูลซย่าโหวมีทั้งหมดเท่าไหร่”
ทุกคนในโถงศาลตกตะลึง
หลังจงก็ตกตะลึงอ้ำอึ้งไม่ต่าง จะให้นับตอนนี้เลยคงยาก แล้วชายหนุ่มตรงหน้าก็ปัดมือ “เอาล่ะ ข้าไม่ทำให้เจ้าลำบากใจอีก งั้นข้าย่อลงอีกนิด ยุคสมัยหนิงซีปัจจุบัน มีเชื้อพระวงศ์รวมแล้วทั้งหมดกี่คน”
แผ่นหลังของถานหลังจงเหงื่อไหลซิกๆ ราวกับกำลังเข้าร่วมการสอบ เขาตอบอ้ำอึ้งด้วยความยากลำบาก “ราชวงศ์เป็นดั่งสวนแห่งมังกรที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยลูกหลาน หากเป็นยุคปัจจุบัน เพียงแค่สายเลือดทางตรงในเมืองหลวงและที่กระจายทั่วทิศ เกรงว่าไม่ถึงหนึ่งพันอย่างน้อยก็มีแปดเก้าร้อยคนแล้วขอรับ”
“สายเลือดทางอ้อมของราชวงศ์ พระญาติที่เป็นทางตรงและทางอ้อม ญาติสนิททางตรงของพระญาติ หากนำมารวมกัน เกรงว่าจำนวนนี้คงยิ่งน่าตกใจ เจ้าว่าไหม” ซย่าโหวซื่อถิงเก็บอาการทั้งสีหน้าและเสียง
“ใช่แล้วขอรับ!” ถานหลังจงต่อคำอย่างรวดเร็ว “อย่าว่าแต่ให้ข้าน้อยคำนวณตอนนี้ ถึงจะเรียกฝ่ายทะเบียนของสำนักพระราชวังมาตรวจสอบ เกรงว่าก็ไม่สามารถคำนวณออกมาได้ภายในวันสองวัน! เพราะราชวงศ์นี้เป็นตระกูลแรกในแผ่นดินนี้!”
พอสิ้นเสียง ถานหลังจงนิ่ง คล้ายว่าเริ่มเข้าใจในความหมายของฉินอ๋อง
แล้วก็เป็นเช่นนั้น ซย่าโหวซื่อถิงใช้น้ำเสียงเข้ม “ราชวงศ์นี้เป็นตระกูลแรกในแผ่นดิน ถานหลังจงพูดได้ดีมาก อุดมไปด้วยเหล่าเชื้อพระวงศ์ ทั้งในเมืองหลวงและทั่วทิศก็มีแต่เชื้อพระวงศ์แห่งราชวงศ์ซย่าโหว ในเมืองหลวงยิ่งอุดมสมบูรณ์ มีทั้งความแน่นแฟ้นและอยู่กันอย่างแผ่กระจาย แทบจะไม่มีคนที่ไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ หากมีความสัมพันธ์แม้เพียงน้อยนิดกับเชื้อพระวงศ์ ข้าจับต้องสัมผัสไม่ได้ มันก็สบายดีนะ ทั้งยังคงหลีกเลี่ยงเรื่องราวต่างๆ ได้อีกไม่รู้ตั้งเท่าไหร่! สิ่งที่เจ้ากำลังทำอยู่ เจ้ากำลังเกลี่ยกล่อมให้ข้ารับเงินโดยเปล่าและอยู่กับความสุขสบายดีกว่าใช่หรือไม่”
ทุกคนนิ่งเงียบไม่ออกเสียง รวมถึงบรรยากาศภายในเองก็เงียบสงบไร้ความเคลื่อนไหว
ถานหลังจงเงียบกริบดุจจั๊กจั่นในยามหน้าหนาว ได้ยินเพียงเสียงของคนตรงหน้ายังคงพูดต่อ “ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง กฎสำคัญข้อแรกของกฎหมายแห่งต้าซวนอันก่อตั้งขึ้นโดยบรรพบุรุษคืออะไร”
“คำสั่งสำคัญดุจสมบัติ บ้านเมืองมาก่อนญาติสนิท กฎหมายสำคัญดุจพลเมือง อำนาจสูงกว่ายศถาบรรดาศักดิ์ขอรับ” ถานหลังจงตอบชัดถ้อยชัดคำ
“ท่องจำสิ่งเหล่านี้ได้แม่นยำ ไม่เลวเลยนี่” ซย่าโหวซื่อถิงยิ้มเย็นชาแต่แล้วน้ำเสียงพลันเปลี่ยนเป็นเข้มขรึมอย่างกะทะหันพร้อมตบโต๊ะดังปึก “เสียดายที่เก่งแต่ท่องจำ หากแต่นำไปใช้ไม่เป็น ถ้าเช่นนั้นแล้วราชสำนักจะมีเจ้าไว้เพื่อการใด!”
ภายในห้องเต็มไปด้วยความโกลาหล ไม่มีใครกล้าออกเสียง
ถานหลังจงทั้งรู้สึกหวาดกลัวและโมโหอย่างไม่พอใจ เขาคุกเข่าลงตุบ “ข้าน้อยไม่เข้าใจความหมายของฉินอ๋อง! ข้าน้อยทำงานในกรมยุติธรรมมายี่สิบปี ไม่เคยฉวยโอกาสและยิ่งไม่เคยกลัวอำนาจ ไม่เคยรับสินบนจากใคร ข้าปฏิบัติทุกอย่างตามพระคำสั่งของฝ่าบาท! ปัจจุบันเป็นช่วงไว้ทุกข์ของบ้านเมือง ข้านอบรับคำสั่งให้ดำเนินการทุกอย่างอย่างเข้มงวด ข้าทำผิดตรงไหนขอรับ?!”
“สาระสำคัญสี่ข้อ เจ้าละเลยแล้วสองข้อ บ้านเมืองมาก่อนญาติสนิท แต่เจ้ากลับหวาดระแวงกลัวแต่ผู้อื่นจะใช้อำนาจในเรื่องส่วนตัว มองเห็นแต่ความมืดไม่มองความสว่าง อำนาจสูงกว่ายศถาบรรดาศักดิ์ อำนาจเป็นตัวแทนของกฎหมาย ยศถาบรรดาศักดิ์เป็นดั่งคำสั่งของเบื้องต้น ส่วนเจ้าทำตามแต่คำสั่ง ปฏิบัติทุกอย่างตามกฎช่วงไว้ทุกข์ ดำเนินการกฎหมายโดยเลือกลงโทษสถานหนักมาก่อนเป็นอันดับแรก แต่กลับไม่สนว่าอาจตัดสินคดีผิด นี่เจ้ากำลังทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความตั้งใจแรกของบรรพบุรุษ! หากบริหารประเทศโดยไร้กฎหมาย บ้านเมืองจะวุ่นวาย ให้กฎหมายดำรงอยู่โดยไม่เปลี่ยนแปลงคือการไม่ละเมิด หากละเมิดจะไม่สามารถปกครองบ้านเมืองได้ นี่คือความตั้งใจของบรรพบุรุษ ส่วนเจ้า สนใจเพียงตรอกซอยเดียวไม่สนใจสิ่งอื่นใดอีก!”
ถานหลังจงเหงื่อไหลพรากๆ จากนั้นตัวก็โค้งงอพร้อมเอ่ย “ฉินอ๋องพูดถูกขอรับ…”
อวิ๋นหว่านชิ่นจำได้ว่าชาติก่อน เมื่อตอนเขาดำรงตำแหน่ง เขาเป็นคนที่เข้มงวดในกฎหมายมาก ไม่ชอบสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และด้วยความที่เขาเป็นแบบนี้ เรื่องที่ฟ้องไปถึงเบื้องบนตอนก่อนสิ้นชีพถึงได้ประสบความสำเร็จ นั่นก็เพราะเขาปกครองด้วยความเข้มงวดมาก ไม่สนใจแม้น้ำใจของมนุษย์ แต่ก็คิดไม่ถึงว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นคนปรับตัวได้ง่ายกว่าคนทั่วไปเสียอีก
เจ้ากรมเยี่ยเข้าใจก่อนใคร “เหล่าถาน! จะช้าอยู่ไย รีบไปเอาเอกสารออกมาสิ!”
ถานหลังจงได้สติก็ลุกขึ้นพรวดราวกับกำลังถูกดูดออกไปหมด เขาเดินออกไปท่าทางโซซัดโซเซพร้อมกับลูกน้องอีกหลายคน
เจ้ากรมเยี่ยเห็นถานหลังจงออกไปแล้วจึงเอ่ย “ในเมื่อฉินอ๋องจะอยู่รอฟังคำตัดสินที่นี่ งั้นเดี๋ยวข้าไปจัดห้องไว้ให้สองห้อง วันรุ่งเช้า ทั้งสองท่านจะได้ตรงมาฟังคำตัดสินได้เลย”
“ไม่จำเป็น หากเจ้ากรมเยี่ยอนุญาต ข้าขอเพียงทิ้งห้องศาลนี้ไว้ให้ข้าก็เพียงพอแล้ว” ซย่าโหวซื่อถิงตอบพลางมองอวิ๋นหว่านชิ่นหนึ่งที “อ้อ แล้วก็ ถ้าเป็นไปได้ ขอยืมเก้าอี้สักหนึ่งตัวจะได้หรือไม่ ทรัพย์สินของทางการ ข้าไม่กล้าใช้โดยพลการ”
เจ้ากรมเยี่ยเหงื่อไหลท่วมหัว กลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ฉินอ๋องอย่าได้ใส่ใจเลยขอรับ เหล่าถานเป็นลาดื้อตัวหนึ่งจนละเลยต่อพระชายาเอก เก้าอี้ของทางกรม ทั้งท่านอ๋องและพระชายาเอกจะเอาไปก็ยังได้เลยขอรับ” จากนั้นก็สั่งให้คนไปนำเบาะรองนั่งมาสองอัน และสั่งให้ทุกคนออกไปรวมถึงตัวเขาด้วย
เจ้าหน้าที่โถงศาลออกไปหมดแล้ว ในห้องเหลือเพียงซือเหยาอันกับทหารผู้ติดตามหลายคนของจวนอ๋อง
อวิ๋นหว่านชิ่นเพิ่งนั่งลง ถานหลังจงก็หอบเอกสารเดินกลับเข้ามา จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่กล้าเงยหน้า พอวางเอกสารเสร็จก็ขอลาทันที “นี่ขอรับฉินอ๋อง ข้าน้อยขอตัว”
กำลังจะออกไปแล้วเสียงของหญิงสาวก็พลันดังขึ้น “ใต้เท้าถาน”
ถานหลังจงรู้สึกตระหนกตกใจกับการต่อว่าของฉินอ๋องเมื่อครู่ และยังทำให้เสียศักดิ์ศรีต่อหน้าเพื่อนร่วมงานและผู้ใต้บังคับบัญชา นี่ยังไม่พออีกหรือ ยังจะแก้แค้นหรืออย่างไร