เขาหันหลังกลับไปด้วยสีหน้าแดงก่ำ จากนั้นโน้มตัวลงและกัดฟันเอ่ยถาม “พระชายาเอกมีอะไรจะรับสั่งอีกหรือขอรับ”
หรือว่าจะให้เขากราบขออภัย เพราะเมื่อครู่นี้เขาเพิกเฉยต่อนางจริงๆ ใจหญิงนั้นแคบราวกับเข็ม มีแค้นต้องชำระ ตอนนี้ยิ่งมีฉินอ๋องอยู่ด้วย นางจะใช้โอกาสนี้ระบายความโกรธแน่ๆ
แสร้งเป็นคนอ่อนข้อต่อหน้าท่านอ๋องนั้นมิเป็นไร แต่ถ้าให้ร้องขอกับสตรีภาพจะให้เอาหน้าไปไว้ที่ไหน เดิมทีวันนี้ก็ขายหน้ามากพอแล้ว ถ้านางให้ก้มหัวยอมรับผิดอีก อย่างมากก็สละความเป็นข้าราชการกลับบ้านเกิด!
ถานหลังจงเงยหน้าก็พลันตะลึงตกใจ เมื่อนางเห็นว่าเขาน้อมทักทาย นางเองก็ได้ลุกขึ้นจากเก้าอี้และน้อมทักทายกลับ
“พระชายาเอก——” ถานหลังจงตกใจเป็นอย่างมาก เห็นนางยืนตัวตรง และพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ “เมื่อราชสำนักใหญ่ขึ้น ก็ย่อมไม่อาจเลี่ยงแมลงที่คอยกัดกินภายใน ที่ผ่านมามีบางเรื่องเกิดขึ้นจนทำให้ใต้เท้าขาดความเชื่อใจถึงขั้นหวาดระแวงในตัวข้า คนอื่นจะคิดเช่นไรข้าไม่สน แต่ข้าอยากบอกกับใต้เท้าวว่า สวีมู่เจินเป็นพี่ชายของข้า ท่านจะสอบสวนอย่างไรก็ให้เป็นไปตามสิ่งที่ควรจะเป็น มันเป็นสิ่งที่เขาต้องรับผิดชอบอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ แต่ถ้าหากมีเงื่อนงำภายในไม่ถึงขั้นต้องลงโทษประหารชีวิต ข้าก็จะร้องขอความเป็นธรรมให้กับเขา” พูดเสร็จ เขารับเอกสารจากมือของซือเหยาอันและกลับไปยังที่นั่ง จากนั้นก็เปิดอ่านทีละหน้า
ถานหลังจงไม่พูดไม่จาเกือบครึ่งค่อนวัน แล้วเขาก็เดินจากไปพร้อมกับสีหน้าแดงก่ำ “ข้าน้อยกระทำการมากเกินไปเอง จนเข้าใจพระชายาเอกผิด และเสียมารยาทต่อพระชายาเอก โชคดีที่พระชายาเอกไม่ลงโทษ อีกทั้งยังอธิบายให้กับข้าได้ฟัง!”
ชูซย่าเห็นตาแก่ดื้อดึงคนนี้เริ่มกลับใจก็รู้สึกสบายใจขึ้น เวลามีจำกัดมากขึ้นทุกที อวิ๋นหว่านชิ่นก็กำลังดูเอกสารไม่ว่างพูดด้วยอีก นางจึงพูดแทนเหนียงเหนียง “เอาล่ะ ใต้เท้าถานกลับไปก่อนเถิด!”
ถานหลังจงเห็นพระชายาเอกดูเอกสารอย่างตั้งอกตั้งใจก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ จึงได้ออกปากเตือนด้วยความหวังดี “อย่าหาว่าข้าน้อยพูดจาพร่อยๆ เลยนะขอรับ ท่านชายสวีถูกจับได้คาหนังคาเขา แล้วคดีนี้ก็ยังเกิดขึ้นในเวลาเช่นนี้ สมุหนายกอวี้มีคำสั่ง ช่วงไว้ทุกข์นี้ ทุกคดีที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงให้ดำเนินการจากสถานหนัก จำคุกตลอดชีวิตให้เปลี่ยนเป็นประหารชีวิตหลังฤดูใบไม้ร่วง ประหารชีวิตหลังฤดูใบไม้ร่วงให้เปลี่ยนเป็นประหารชีวิตทันที เกรงว่าท่านชายสวีคง…”
อวี้เหวินผิง สมุหนายกเป็นตัวแทนฮ่องเต้ย้ำคำสั่งมาถึงกรมยุติธรรม ก็ไม่แปลกเท่าไหร่ แต่ว่า…
อวิ๋นหว่านชิ่นเงยหน้าขึ้นถาม “คำสั่งนี้ได้รับตั้งแต่เมื่อไหร่”
ถานหลังจงรายงานกลับตามความจริง “หากพูดถึง หลังจากเรื่องของท่านชายสวีที่เกิดขึ้นในวันนี้ไม่นาน สมุหนายกก็ส่งคนมาถึงกรม และบอกกล่าวสิ่งนี้กับข้าน้อยขอรับ แถมยังย้ำอีกว่า ไม่แบ่งอำนาจและยศถาบรรดาศักดิ์ หากเป็นคดีโทษหนัก ต้องดำเนินคดีอย่างเข้มงวด หากหลักฐานทั้งคนทั้งสิ่งของอยู่ครบถ้วน ยิ่งห้ามให้คดีนั้นพ้นคืน หากตรวจสอบแล้วพบว่ามีการไว้หน้าผู้มีสถานะพิเศษ จะต้องรับโทษสถานหนักของกทางกรม เพราะข้าได้รับคำสั่งข้อนี้ เมื่อครู่นี้ข้าถึงได้ตัดสินกับรองเจ้ากรมหลี่ผู้พิพากษาคดีสูงสุดว่าให้ตัดสินในวันพรุ่งนี้ ข้าจึงไม่กล้าอิดออด และไม่กล้าให้นายท่านสวีกับพระชายาเอกเข้าพบ เพราะกลัวจะเกิดปัญหาอื่นขึ้นอีก”
อวิ๋นหว่านชิ่นมองหน้าคนที่นั่งอยู่ข้างบนหนึ่งที
ซย่าโหวซื่อถิงหรี่ตาลงคล้ายว่าคิดถึงอะไรบางอย่าง
ที่แท้เป็นคำสั่งของอวี้เหวินผิงนี่เองว่าให้ตัดสินคดีทันที หาใครไม่หา ดันมาเจอถานหลังจงผู้ที่ดื้อดึงเป็นที่หนึ่งแห่งกรมยุติธรรม เช่นนั้นเขาก็ต้องคิดว่าต้องดำเนินคดีนี้ให้เสร็จสิ้นเร็วที่สุด
ถานหลังจงเดินออกไป ซือเหยาอันเดินเข้าไปโน้มตัวลง “ท่านอ๋องสาม สมุนายกคิดใช้โอกาสนี้แก้แค้นนี่ขอรับ”
อวี้โหรวจวงต่างหากที่เป็นตัวเลือกแรกๆ สำหรับตำแหน่งพระชายาเอกที่ราชวงศ์ทรงเลือกไว้
ตอนนั้นเขาปฏิบัติการสานสัมพันธ์ของอวี้เหวินผิง แล้วยังเลือกอวิ๋นหว่านชิ่นขึ้นมานั่งตำแหน่งพระชายาเอกแทนลูกสาวของเขา อวี้เหวินผิงจะไม่มีความแค้นกับเขาสองคนได้อย่างไรกัน
ซย่าโหวซื่อถิงไม่แปลกใจและไม่พูดอะไร เขามองคนด้านล่างและเห็นว่านางกำลังดูเอกสารอย่างตั้งใจโดยไม่ปล่อยให้เวลาสียเปล่าแม้วินาทีเดียว จากนั้นก็เรียกให้ผู้ติดตามนำเอกสารราชการและเอกสารถังเป้า[1]ที่อยู่ในถุงออกออกมาอ่าน
ภายในห้องศาล เทียนแท่งยาวส่องไฟอยู่อย่างนั้น คนหนึ่งอยู่ด้านบน คนหนึ่งอยู่ด้านล่าง ต่างคนต่างทำงานในส่วนของตัวเอง เวลาผ่านไปเรื่อยๆ
ในยามรุ่งสาง เป็นชั่วโมงที่มืดมิดที่สุดของเวลาตอนกลางคืน เมื่อแสงเทียนในห้องโถงดับ ทุกอย่างก็มืดลง
ซือเหยาอันกับชูซย่าเห็นดังนั้น ก็ทำการพักบนที่นอนเรียบๆ ตรงด้านข้าง สองคนนี้ยังหนุ่มยังสาว จึงหลับสนิททันทีที่นอนลงไป
เขาเงยหน้าขึ้นเห็นนางฟุบอยู่กับกองเอกสารและหลับไปแล้ว
เขาลงจากขั้นบันไดและนำเสื้อคลุมห่มนางเอาไว้ เหมือนนางจะขยับตัวเบาๆ เขาใช้โอกาสที่ห้องมืดสนิท โน้มตัวลงที่ข้างหูพลางเอ่ยอย่างแผ่วเบาว่า “วางใจเถิด ข้าไม่ยอมให้พี่ชายของเจ้าเป็นอะไรไปแน่”
คืนนั้นนางได้บอกกล่าวความในใจ มันทำให้เขาเข้าใจแล้วว่า ญาติสนิทฝั่งแม่ที่นางรู้สึกสนิทที่สุด ก็คือแม่ที่ได้ล่วงลับไปแล้ว ส่วนสวีมู่เจินเป็นลูกชายของท่านอา ดังนั้นต่อให้ต้องตายนางก็จะปกป้องให้ถึงที่สุด
กำลังยืดตัวตรง เขากลับรู้สึกว่ามือของนางได้คว้าเขาเอาไว้ พร้อมกับกล่าว “สถานะของท่านอ๋องงุ่มง่ามเกินไป วันตัดสินของพรุ่งนี้ ขอแค่ท่านอยู่ข้างๆ ข้าก็เพียงพอแล้ว อย่างได้กังวลเรื่องอื่นอีกเลยนะเจ้าคะ”
เขาขมวดคิ้ว “ข้ารู้ว่าต้อง——”
“ไม่ยื่นมือเข้ามา หากท่านอ๋องสามจะช่วยท่านพี่ข้าพูดสิ่งใดละก็ ไม่แน่อาจเกิดผลในทางกลับกันได้” นางย้ำอีกครั้ง “ท่านอ๋องสามช่วยข้าถึงแค่นี้ ก็เพียงพอแล้วเจ้าค่ะ”
ภายใต้ความมืดมิด เขาสามารถมองเห็นนัยน์ตาแวววับคู่นั้นได้ เป็นแววตาแห่งความเด็ดขาดที่แปลก ช่วย?
ยังคงเหมือนเรื่องของท่านพ่อของนางเมื่อครั้งก่อน ที่เห็นเขาเหมือนเป็นดั่งคนนอก
ไม่รู้ว่าทำไมกัน เขารู้สึกระหว่างเขากับนาง เมื่อใดที่พบเจอปัญหา กลับรู้สึกมีเส้นบางๆ กั้นอยู่——นางดูตั้งใจหลีกเลี่ยงและดูไม่อยากได้ความหวังดีจากเขาสักเท่าไหร่
“ช่วยเจ้า” เขาไม่รู้ว่าจะแก้ไขความเป็นนางนี้อย่างไร “ไม่ควรทำหรือ”
นางเข้าใจความหมายของเขาดี หรือว่าเพราะความคิดลึกๆ ข้างในรู้อยู่แล้วว่าสักวันหนึ่งเขาอาจกลายเป็นโอรสแห่งสวรรค์ จึงต้องพยายามรักษาระยะห่างนี้ไว้ก่อน
เหมือนกับข้าราชการกับเบื้องบน บุตรกับบิดา นักเรียนกับอาจารย์ แม้ความสัมพันธ์จะใกล้ชิดแค่ไหน ก็ต้องมีความกลัวเกรง ทำตามอำเภอใจมากไปก็ใช่ว่าจะดี
ยิ่งเขาใกล้ถึงจุดสูงสุดในอำนาจ ความรู้สึกของนางก็ยิ่งชัดเจน
เขาเห็นนางไม่พูดไม่จา เดินเข้าไปคว้าตรงเอวของนางและเอามากอดไว้ในอ้อมกอดโดยไม่สนใจว่าที่นี่คือโถงศาลอันเข้มงวด จากนั้นก็เอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำที่ปนไปด้วยความร้ายกาจ “เพราะยังไม่ได้เข้าห้องหออย่างสมบูรณ์รึยังไง เจ้าถึงเกรงอกเกรงใจข้าเรื่อยมา”
กำลังพูดอยู่ จู่ๆ ตรงประตูก็มีความเคลื่อนไหว เป็นเสียงตีเกราะเคาะไม้บอกเวลาของเจ้าหน้าเวรดึก นางจึงเก็บมือเข้ามาอย่างรวดเร็ว
เขาเองก็ปล่อยนางชั่วคราว
ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นฝั่งทิศตะวันออก แสงสีแดงส่องสว่างทะลุก้อนเมฆ ด้านนอกมีเสียงเท้ากระทบพื้นของเจ้าหน้าที่ดังขึ้น เจ้ากรมได้สั่งให้สาวใช้ตักน้ำร้อนใส่กะละมังและยกเข้ามายังด้านใน เพื่อให้เขาสองคนชำละล้างสักหน่อย
เมื่อถึงยามเหมา รองเจ้ากรมหลี่ผู้พิพากษาคดีสูงสุดแห่งกรมยุติธรรมได้เดินเข้ามาทักทายฉินอ๋อง จากนั้นก็ขึ้นไปนั่งบนตำแหน่ง เคาะไม้หนึ่งที “นำตัวนักโทษเข้ามา!”
อวิ๋นหว่านชิ่นนั่งอยู่ด้านล่างของโถงศาล พลางเห็นเจ้าหน้าที่กำลังนำตัวสวีมู่เจินเข้ามา
สวีมู่เจินเห็นน้องสาวและฉินอ๋องอยู่ด้วยทั้งคู่ก็ตะลึงตกใจแต่ไม่แปลกใจ ในตอนนั้นผู้ช่วยรองเจ้ากรมนายหนึ่งได้อ่านเนื้อความคดีหนึ่งรอบ และได้เชิญข้าหลวงแห่งสำนักยุติธรรมผู้พิสูจน์ศพกับพยานมาด้วย จากนั้นเขาก็รายงานสถานการณ์
พยานที่นำพามาด้วยคืออวี๋กงกับหญิงโสเภณีของเรือนสำราญว่านชุน พวกเขาได้ทำการเล่าเรื่องราวของเมื่อวานหนึ่งรอบ เนื้อเรื่องเริ่มตั้งแต่สวีมู่เจินเหมาห้องส่วนตัว ใช้เวลาส่วนตัวกับแม่เล้าในห้อง จนถึงช่วงที่ทุกคนพุ่งเข้าไปพบกับศพของแม่เล้าหลังจากที่ได้ยินเสียงกรี๊ด
จากนั้น เจ้าหน้าที่ก็นำถาดไม้มาเก็บหลักฐานออกไป ซึ่งก็คือมีดปลอกผลไม้ที่แทงจนแม่เล้าตายอยู่ภายในห้องส่วนตัวห้องนั้น
………………………………………………………………………………….
[1] ถังเป้า หมายถึง คล้ายหนังสือพิมพ์ในยุคปัจจุบัน