เจ้าหมารีบส่งเสียงครางอีกหลายครั้งเหมือนจะสนับสนุนคำพูดของเธอ จากนั้นก็ตั้งหน้าตั้งตากระดิกหางใส่เซียวเถี่ยเฟิง

เซียวเถี่ยเฟิงขมวดคิ้วพลางมองปีศาจสาวของตัวเองด้วยสายตาจนใจ

เขารู้อยู่นานแล้วว่า แม้เธอจะเป็นปีศาจแต่ก็มีจิตใจดีงาม

ตอนแรกเธอเสี่ยงชีวิตช่วยผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์คนนั้นโดยไม่สนใจว่าตัวเองจะถูกทุบตี ต่อมาก็ช่วยทำแผลให้เด็กที่ได้รับบาดเจ็บ ตอนนี้ยังยืนกรานจะเก็บหมาตัวนี้กลับมา ทั้งที่มันเคยเกือบจะทำร้ายเธอ แต่เธอก็ไม่อาจแข็งใจทิ้งมันไว้ในป่าตามลำพัง

“กู้จิ้ง หมาตัวนี้ดุมาก จะทำร้ายเจ้า”

เขายังจำท่าทางดุร้ายของเจ้าหมาสีดำที่เกือบจะทำร้ายกู้จิ้งในคืนนั้นได้ดี บางทีหมากับงูอาจจะเป็นศัตรูกันตามธรรมชาติ เขาจะไม่ยอมให้เธอเสี่ยงอันตรายเช่นนี้เด็ดขาด

กู้จิ้งเองก็กำลังนึกถึงเหตุการณ์ในคืนนั้น เธอมองเจ้าหมาผู้น่าสงสารแล้วก็หันไปมองท่านบรรพบุรุษ สุดท้ายก็จำต้องเดินไปพูดกับเจ้าหมาว่า “แกเห็นแล้วนะ เป็นเขาไม่ต้องการแก ไม่ใช่ฉันไม่ต้องการ เอาล่ะ แกไปซะเถอะ อย่ามาทำท่าน่าสงสารให้ฉันดูอีกเลย เรื่องนี้ฉันไม่มีอำนาจตัดสินใจ”

ได้ยินเช่นนี้ เจ้าหมาก็ทำท่าเหมือนจะร้องไห้ มันมองกู้จิ้งด้วยท่าทางน่าสงสาร

กู้จิ้งเห็นเช่นนี้ก็กลุ้มใจนัก แต่คิดๆ ดูก็รู้สึกว่าท่านบรรพบุรุษพูดมีเหตุผล เธอก็ได้แต่แข็งใจแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น

คืนนั้น เซียวเถี่ยเฟิงจัดการเชือดปลาเหล่านั้น ควักเอาเครื่องในออก ล้างให้สะอาด จากนั้นก็ก่อไฟ เอาปลาเสียบกับแท่งเหล็กแล้วเริ่มย่าง กู้จิ้งย่อมไม่พลาดโอกาสที่จะเอา ‘เครื่องปรุงพิเศษ’ ออกมาโรยใส่ปลา

รอจนปลาสุก เธอก็พบว่าหนังสีน้ำตาลของมันถูกย่างจนกลายเป็นสีเหลืองทองกรอบ เผยให้เห็นเนื้อสีขาวนุ่มอมเหลืองด้านใน ยิ่งโรยผงยี่หร่าลงไปปรุงรสเล็กน้อยก็ทำให้ผู้คนถึงกับน้ำลายไหล

กู้จิ้งกับเซียวเถี่ยเฟิงหยิบปลาขึ้นมากินกันคนละตัวอย่างเอร็ดอร่อย กินไปๆ พอเงยหน้าขึ้นเห็นเศษปลาที่ติดอยู่ตรงมุมปากของอีกฝ่าย ทั้งสองต่างก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน

“ท่านบรรพบุรุษ ฉันจะเช็ดให้นะ” กู้จิ้งรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นลูกกระจ๊อกที่คอยปรนนิบัติบรรพบุรุษเสียแล้ว

“ไม่เคยเห็นปีศาจน้อยขี้ตะกละแบบเจ้ามาก่อน!” ท่านบรรพบุรุษเองก็ยิ้มพลางยกมือขึ้นเช็ดมุมปากให้เธอบ้าง

“นายเคยเห็นปีศาจน้อยมากี่ตัวหรือ?” กู้จิ้งเลิกคิ้ว

“แค่เจ้าตัวเดียวเท่านั้น” เซียวเถี่ยเฟิงมองผิวซึ่งงดงามราวหยกกับรอยยิ้มซึ่งงดงามราวบุปผาของกู้จิ้งแล้วก็ก้มลงจุมพิตมุมปากของเธอเบาๆ “แค่ตัวเดียวก็เกือบตายแล้ว ยังจะกล้ามองตัวที่สองอีกหรือ”

“หึๆ” กู้จิ้งนึกถึงผลท้ออ่อนนุ่มกับส่วนเว้าส่วนโค้งละลานตาแล้วก็จงใจทำปากเชิด “ไม่เสียทีที่เป็นท่านบรรพบุรุษ รู้จักปากหวาน พูดจาเอาอกเอาใจผู้อื่นด้วย”

เซียวเถี่ยเฟิงฟังแล้วอดยิ้มไม่ได้ “เจ้าอย่าเอาแต่เรียกท่านบรรพบุรุษสิ ใครไม่รู้จะคิดว่าข้าตายไปนานแล้ว”

กู้จิ้งแอบคิดในใจว่าก็ใช่น่ะสิ ในสมัยคุณยายของฉัน นายตายไปตั้งนานแล้วจริงๆ

แต่เธอไม่กล้ากล่าวคำพูดนี้ออกมา ดังนั้นจึงได้แต่ยิ้มแล้วเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่น “กินปลาหมดแล้ว ตอนนี้ฉันอยากจะกินโจ๊ก!”

คิดไม่ถึงว่าผู้ชายหยาบกร้านอย่างท่านบรรพบุรุษจะทำอาหารเก่งไม่น้อย โดยเฉพาะโจ๊กที่เคี่ยว ขนมเปี๊ยะไข่ที่ทอด อร่อยกว่าที่คุณยายทำเสียอีก ยิ่งกู้จิ้งใช้ ‘อาคม’ เสกเครื่องปรุงพิเศษของ ‘โลกปีศาจ’ ออกมา โจ๊กก็ไม่ต่างอะไรจากเสือติดปีก

ยกตัวอย่างเช่นตอนนี้ ท่านบรรพบุรุษเคี่ยวน้ำแกงไก่ป่ากับมันฝรั่ง น้ำแกงเป็นสีขาวน้ำนม ด้านในมีเนื้อไก่สดใหม่กับมันฝรั่งหอมกรุ่น ได้กินน้ำแกงซึ่งหลอมรวมยุคอดีตกับยุคปัจจุบันเข้าไว้ด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบเช่นนี้ลงไปสักชาม กู้จิ้งก็รู้สึกว่าชีวิตเยี่ยงเทพยดาก็คงไม่ต่างไปจากนี้

ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากรับประทานอาหารเลิศรสแล้ว ยังมีท่านบรรพบุรุษหุ่นล่ำบึ้กคอยปรนนิบัติอีกด้วย!

เพิ่งดื่มน้ำแกงเสร็จ ท่านบรรพบุรุษก็ส่งฮ่วยซัวย่างมาให้อีก ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านบรรพบุรุษของเธอไปหาน้ำผึ้งป่ามาจากไหน พอเอาฮ่วยซัวจิ้มลงไป มันก็กลายเป็นของหวานหลังอาหารชั้นดี ยังมีอะไรอร่อยยิ่งกว่านี้อีกไหม?

กู้จิ้งเลียริมฝีปากก่อนจะอ้าปากแล้วแลบลิ้นให้ท่านบรรพบุรุษดูด้วยท่าทางออดอ้อน “เอาอีก”

เซียวเถี่ยเฟิงมองเธอยิ้มๆ ด้วยสายตาจนใจ จากนั้นก็ป้อนฮ่วยซัวอีกชิ้นให้เธอถึงปาก “นี่มันปีศาจจอมตะกละเสียที่ไหน เป็นแมวจอมตะกละชัดๆ!”

กู้จิ้งกะพริบตาใส่เขา “แมวจอมตะกละชอบกินฮ่วยซัวที่ท่านบรรพบุรุษทำให้”

เซียวเถี่ยเฟิงมองดูแววตาสุกใสเปล่งประกายระยิบระยับน่าหลงใหลของเธอ ส่วนคำพูดที่พูดออกมา ฮ่วยซัวอะไรนั่น ทำไมยิ่งคิดก็ยิ่งคิดลึกนะ

เขากระตือรือร้นขึ้นมาทันที ชายหนุ่มเอื้อมมือไปกอดเอวเธอเอาไว้ “ปีศาจน้อย เจ้าจะอาบน้ำก่อนหรือจะเข้าถ้ำก่อน?”

กินอาหารเลิศรสเสร็จ กู้จิ้งก็อยากลิ้มลองท่านบรรพบุรุษ พอได้ยินเช่นนี้ก็รีบเอื้อมมือไปกอดเอวสอบแข็งแรง ส่วนอีกมือโอบรอบคอของเขาเอาไว้ “ตามใจนายสิ”

เซียวเถี่ยเฟิงหัวเราะเสียงเบาพลางก้มลงกระซิบตรงข้างหู “คืนนี้ไม่เข้าไปในถ้ำ อยู่ข้างนอก ดีหรือไม่?”

ตอนแรกกู้จิ้งยังงุนงงอยู่บ้าง อยู่ข้างนอก? เขาคิดจะเล่นอะไรกันแน่? ชั่ววินาทีต่อมาถึงได้เข้าใจ เขาบอกว่าไม่เข้าไปในถ้ำ แต่จะทำอยู่ที่ลานด้านนอกงั้นรึ!

“อืม ด้านนอกแสงจันทร์สว่าง มองเห็นได้ชัด ข้าชอบมองเจ้า”

เขาชอบออกแรงไปพลางมองดูร่างขาวผ่องของปีศาจสาวไปพลาง ยิ่งชอบมองหยาดเหงื่อของตัวเองหยดลงบนผิวขาวสะอาดของนาง

“ฉันก็ชอบ” เธอกอดคอเขาเอาไว้พลางกล่าวเสียงออดอ้อน “นายชอบที่ไหน ฉันก็ชอบที่นั่น”

บรรพบุรุษของเธอ แค่มองปราดเดียวก็ทำให้ผู้คนไม่อาจละสายตา แม้กระทั่งเรี่ยวแรงจะเดินก็ยังไม่มี

“ยัยปีศาจ!” เขามองหญิงสาวในอ้อมแขน ใจอดคิดไม่ได้ว่าแววตาของนางช่างน่าหลงใหลจนทำให้เขารู้สึกคันยุบยิบอยู่ในอก ระหว่างที่คิดเขาก็อุ้มเธอเดินตรงไปที่ต้นไม้ด้านข้าง ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นมีลำต้นลาดเอียง เขาสามารถให้เธอเอนกายลงบนนั้นได้พอดี

เปลือกไม้หยาบกระด้างเสียดสีกับผิวนุ่มเนียน หยาดเหงื่อสาดกระเซ็น ผมดำปลิวสยาย กู้จิ้งส่งเสียงร้องอย่างไม่คิดชีวิต

ในยามที่ศึกรักกำลังดำเนินไปอย่างดุเดือดที่สุดนั้นเอง เสียงร้องอิ๋งๆ น่าสงสารก็ดังขึ้น

ความเร่าร้อนทั้งหมดจับตัวเป็นน้ำแข็ง เธอมองฉัน ฉันมองเธอ สุดท้ายสายตาของทั้งคู่ก็หันไปจับจ้องที่จุดเดียวกัน

หมาท่าทางน่าสงสารตัวหนึ่งกำลังมองพวกเขาสองคนด้วยดวงตาคลอน้ำตา

นี่…

คำคำหนึ่งปรากฏขึ้นในสมองของกู้จิ้ง เจ้าหมาบ้า!

 

เรื่องดีถูกขัดจังหวะ ทั้งสองจึงย้ายสมรภูมิกลับเข้าไปในถ้ำแล้วเปิดศึกต่อ

หลังจากศึกรักอันแสนดุเดือดสิ้นสุดลง กู้จิ้งสูดหายใจลึกเพื่อควบคุมลมหายใจให้เป็นปกติ จากนั้นก็หันไปสั่งบรรพบุรุษของตัวเองว่า “นายไปดูหมาตัวนั้นหน่อยสิ”

เห็นท่านบรรพบุรุษหยิบกางเกงขึ้นมาสวมแล้วเดินออกไปด้านนอก กู้จิ้งก็คว้าผ้าห่มมากอดไว้แล้วพูดต่อ “ให้มันอยู่เถอะ ฉันว่ามันน่าสงสารมากเลย แถมจะว่าไป เราเองก็ขาดหมาเฝ้าบ้านด้วย”

ท่านบรรพบุรุษพยักหน้าก่อนจะก้าวออกไป

ไม่นานนักด้านนอกก็มีเสียงร้องอิ๋งๆ ของเจ้าหมาดำดังขึ้น ดูท่ามันจะตื่นเต้นดีใจมาก

กู้จิ้งออกไปก็เห็นหมาตัวนั้นกำลังเดินวนไปวนมาอยู่รอบกายเซียวเถี่ยเฟิงพลางกระดิกหางไม่หยุด ท่าทางเหมือนอยากจะกระโดดไปเกาะขาเขาให้รู้แล้วรู้รอด เธอจัดการรัดสายรัดเอวให้แน่นพลางยิ้มกว้าง

“เจ้าหมานี่เห็นนายเหมือนกับเห็นปู่ไม่มีผิด!”

กล่าวจบก็รู้สึกไม่ถูกต้องนัก เธอเห็นเซียวเถี่ยเฟิงก็เหมือนเห็นบรรพบุรุษเช่นกัน คำพูดประโยคนี้ฟังอย่างไรก็เหมือนด่าพวกเขาสองคนไปพร้อมๆ กัน

โชคดีที่เซียวเถี่ยเฟิงฟังไม่เข้าใจ เขาป้อนอาหารให้หมาพลางหันมากล่าวว่า “กู้จิ้ง ตั้งชื่อให้เจ้าหมานี่สิ”

“หา… ฉันตั้ง?” กู้จิ้งขยับเข้าไปจ้องหน้ามันบ้าง

“ใช่ เจ้าตั้งชื่อให้ บางทีมันอาจจะเห็นเจ้าเป็นนาย ต่อไปจะได้ไม่กล้าทำอะไรเจ้าอีก” เซียวเถี่ยเฟิงยังติดใจเรื่องที่มันโจมตีกู้จิ้งอยู่

กู้จิ้งไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน แต่เธอก็ยกมือขึ้นลูบคางพลางมองมันด้วยสายตาครุ่นคิด

“หมาดำลายขาว ตั้งชื่อว่าฮัสกี้ก็แล้วกัน”

“ฮัสกี้?” เซียวเถี่ยเฟิงกล่าวทวนด้วยน้ำเสียงงุนงง เขาเคยได้ยินแต่หมาชื่อวั่งไฉชื่อต้าหวง หมาชื่อฮัสกี้? ฮัสกี้คืออะไร?

“โอ๊ย… ก็เป็นหมาพันธุ์หนึ่งที่บ้านเกิดของฉัน ดูเจ้าหมานี่สิ ท่าทางซื่อบื้อ ดูยังไงก็ฮัสกี้! เรียกฮัสกี้ก็แล้วกัน”

“ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นก็เรียกฮัสกี้เถอะ” เซียวเถี่ยเฟิงยอมตามใจ เพราะคิดว่าฮัสกี้เป็นคำเรียกอย่างหนึ่งในโลกปีศาจ

ตั้งชื่อเสร็จ กู้จิ้งนั่งเล่นกับหมา ส่วนเซียวเถี่ยเฟิงรีบไปหาหญ้ากับไม้มาทำบ้านให้ฮัสกี้

ในตอนนั้นเอง จู่ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นห่างไปไม่ไกลนัก จากนั้นก็มีคนร้องตะโกนว่า “เถี่ยเฟิง เถี่ยเฟิง พวกเจ้าอยู่ที่ไหน?”

เซียวเถี่ยเฟิงส่งเสียงตอบรับ ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงคนคนนั้นวิ่งตรงมาทางด้านนี้

“เป็นจิ้งเทียน” เขาบอกกู้จิ้ง

กู้จิ้งฟังแล้วตกใจมาก เธอเงยหน้าขึ้นมองฟ้า มืดค่ำป่านนี้ จ้าวจิ้งเทียนมาที่บ้านของพวกเธอทำไม?

ระหว่างที่เธอกำลังสงสัย จ้าวจิ้งเทียนก็แหวกต้นไม้เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า

เขามองเซียวเถี่ยเฟิงกับกู้จิ้งก่อนจะถอนใจโล่งอก “เถี่ยเฟิง เมียข้ากำลังจะคลอด!”