กู้จิ้งได้ยินเช่นนี้ก็ยิ่งตกใจกว่าเดิม เธอหันขวับไปมองเซียวเถี่ยเฟิง เมียของจ้าวจิ้งเทียนคลอดลูกแล้วเกี่ยวอะไรกับเซียวเถี่ยเฟิงด้วย?

เซียวเถี่ยเฟิงเหมือนจะอ่านความคิดของกู้จิ้งออก เขาถลึงตาใส่เธอครั้งหนึ่งก่อนจะหันไปพูดกับจ้าวจิ้งเทียน “ยินดีด้วย เจ้ากำลังจะได้เป็นพ่อคนแล้ว”

จ้าวจิ้งเทียนหอบหายใจหนัก “นาง…นางคลอดยาก เด็กอยู่ในท่านั่ง เกรง…เกรงว่าจะไม่ไหวแล้ว!”

กู้จิ้งได้ยินเช่นนี้ก็ยิ่งตกใจกว่าเดิม

เด็กอยู่ในท่านั่งก็หมายความว่าศีรษะอยู่ด้านบน ก้นอยู่ด้านล่าง เป็นท่าที่คลอดได้ยากมาก หากเป็นยุคปัจจุบันย่อมต้องผ่าท้องทำคลอด แต่อยู่ในสมัยโบราณเช่นนี้ นี่…

กู้จิ้งขมวดคิ้วพลางเอ่ยถาม “ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”

จ้าวจิ้งเทียนถอนใจด้วยความเจ็บปวด “หมอตำแยบอกว่าได้แต่ลองดู หากไม่ไหวจริงๆ เกรงว่า… เกรงว่า…”

เขาเงยหน้าขึ้นมองกู้จิ้งด้วยสายตาวิงวอน “เจ้ามีอาคมไม่ใช่หรือ? อาคมหรือเวทมนตร์น่ะ? เจ้าร่ายคำสาปเป็นใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นเจ้าช่วยเมียของข้าได้ไหม?”

 

เพราะเขาร้อนใจ ครั้งนี้ก็เลยพูดเร็วมาก กู้จิ้งฟังไม่ค่อยเข้าใจก็เลยหันไปมองเซียวเถี่ยเฟิงด้วยสายตางุนงง

เซียวเถี่ยเฟิงกุมมือเธอเอาไว้ “เด็กอยู่ในท่านั่ง เจ้าช่วยได้ไหม?”

กู้จิ้งคิดแล้วก็ส่ายหน้า แต่จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นพยักหน้า

“ลองดูได้ แต่ไม่แน่ใจนัก”

ในยุคสมัยที่การแพทย์ล้าหลังเช่นนี้ ยังไม่มีการทำคลอดด้วยการผ่าท้อง ในยามคับขันเช่นนี้ เธอก็ไม่อาจอาศัยเครื่องมือเล็กๆ น้อยๆ ที่มีอยู่ในกระเป๋าแสนรักมาทำการผ่าตัดใหญ่ ไม่พูดถึงเรื่องอื่น แค่พูดถึงเรื่องที่ไม่มียาชา ความเจ็บปวดที่ได้รับก็ทำให้ผู้หญิงคนนั้นขาดใจตายได้แล้ว

วิธีเดียวที่ทำได้ในตอนนี้คือหาทางทำให้เด็กพลิกหัวลงเท่านั้น

พูดง่ายๆ ก็คือ ล้วงมือเข้าไปพลิกตัวเด็ก หากทำได้สำเร็จก็จะคลอดออกมาได้

วิธีนี้เสี่ยงมาก ทั้งยังต้องอาศัยฝีมือ กู้จิ้งเคยฝึกงานอยู่ในห้องฉุกเฉินของแผนกสูติมาสามเดือน เคยเห็นหมอสูติที่มีประสบการณ์สูงใช้มือพลิกตัวเด็ก แต่เธอ…ไม่เคยลงมือทำด้วยตัวเองมาก่อน

“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ลองดู?”

“ก็…ก็ได้”

จ้าวจิ้งเทียนซึ่งยืนรออยู่ด้านข้างกำลังร้อนใจมาก ได้ยินทั้งสองยังค่อยๆ พูดค่อยๆ จากันก็ร้อนใจนัก “ไม่ว่าเจ้าจะใช้อาคมหรืออะไรก็ตาม ช่วยเมียของข้าด้วยเถอะ!”

เซียวเถี่ยเฟิงเห็นกู้จิ้งยอมรับปากก็รีบหันไปพูดว่า “จิ้งเทียน ไป!”

คนสามคนกับหมาอีกหนึ่งตัวเดินไปตามทางลัดอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักก็ไปถึงบ้านตระกูลจ้าวที่หมู่บ้านเว่ยอวิ๋น

ตระกูลจ้าวนับเป็นตระกูลใหญ่ในหมู่บ้านเว่ยอวิ๋น บ้านของพวกเขามีสองตอน เรียกได้ว่าโอ่โถงมากสำหรับหมู่บ้านบนเขาเช่นนี้เลยทีเดียว

พอเข้าไปในบ้านก็ได้ยินเสียงผู้หญิงกรีดร้องดังมาจากเรือนทางตะวันออก

เพียงได้ยินเสียงนี้ กู้จิ้งก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีเรี่ยวแรงเหลืออยู่อีกแล้ว เธอรีบหันไปบอกเซียวเถี่ยเฟิงว่า “ไปเอาน้ำร้อนมา ฉันจะเข้าไปดู”

เซียวเถี่ยเฟิงหันไปบอกจ้าวจิ้งเทียน จ้าวจิ้งเทียนก็รีบออกไปทันที

แต่ในตอนนั้นเอง หญิงชราคนหนึ่งกลับวิ่งออกมาขวางพวกเขาเอาไว้

“ไม่ได้ ข้าไม่เห็นด้วย นางเป็นปีศาจมีอาคม หลานคนโตของตระกูลจ้าวเราจะให้ปีศาจมาทำคลอดได้อย่างไร!”

จ้าวจิ้งเทียนกระทืบเท้าด้วยความร้อนใจ “ท่านแม่ อวิ๋นเหนียงรอไม่ได้อีกแล้ว! ไม่ว่านางจะใช้อาคมหรืออะไรก็ตาม หากช่วยชีวิตอวิ๋นเหนียงกับเด็กได้ ทำไมเราต้องใส่ใจด้วย!”

คิดไม่ถึงว่ามารดาของจ้าวจิ้งเทียนจะกระแทกตัวลงนั่งขวางประตูเอาไว้ “ไม่ได้ ต่อให้เทวดาลงมาพูดเองข้าก็ไม่เห็นด้วย! หลานของตระกูลจ้าวเราจะให้ปีศาจทำคลอดไม่ได้เด็ดขาด!”

“ท่านแม่ แล้วถ้าเด็กเป็นอะไรไปจะทำยังไงกัน?”

คำพูดนี้ทำให้มารดาของจ้าวจิ้งเทียนตะลึงงันไป

ใช่ อวิ๋นเหนียงก็ช่างเถิด แต่ในท้องของนางคือหลานของตระกูลจ้าวนะ!

กู้จิ้งได้ยินเช่นนี้ก็ตั้งท่าจะก้าวเข้าไปในห้องคลอด นั่นคือหนึ่งชีวิต จะปล่อยให้ยายแก่โง่เขลามาตัดสินตามใจชอบได้อย่างไร

คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ จะมีเสียงตะโกนดังขึ้นอีก

“หลานของตระกูลจ้าวเรา ต่อให้ตายก็จะให้ปีศาจทำคลอดไม่ได้!”

ทุกคนหันไปมองก็พบว่า บริเวณใต้ชายคาเรือนตรงกลางมีชายชราคนหนึ่งยืนอยู่ ที่ด้านหลังของเขายังมีญาติๆ อยู่อีกหลายคน

กู้จิ้งจำได้ว่าเขาคือคนที่ขวางทางเซียวเถี่ยเฟิงเอาไว้ตอนที่เซียวเถี่ยเฟิงอุ้มเธอเข้ามาในหมู่บ้านครั้งแรก

ตาแก่น่าตาย หัวดื้อหัวรั้น เพื่อเรื่องไร้สาระบ้าๆ บอๆ แม้แต่ชีวิตของลูกสะใภ้ก็ไม่เอาอย่างนั้นรึ!

กู้จิ้งโกรธคนประเภทนี้มากที่สุด เมื่อก่อนตอนที่ฝึกงานอยู่ในแผนกสูติ เธอก็เคยเจอคนที่เห็นแต่เด็กอยู่ในสายตาโดยไม่สนใจแม่สักนิดเช่นนี้มาก่อน ตอนนั้นเธอโมโหมากจนอยากจะตบหน้าคนคนนั้นแรงๆ เลยทีเดียว

เสียงหวีดร้องโหยหวนของผู้หญิงดังออกมาจากในห้องอีก ทำให้ทุกคนอดอกสั่นขวัญแขวนไม่ได้

ฮัสกี้ได้ยินเสียงร้องไห้โหยหวนเช่นนี้ก็รู้สึกไม่สบายใจนัก มันส่งเสียงเห่าเบาๆ สองสามครั้งพลางขยับเข้าไปใกล้กู้จิ้งมากขึ้น

กู้จิ้งเห็นคนกลุ่มนี้ไม่สนใจชีวิตของผู้หญิงในห้องก็โมโหนัก เธอมองชายชราด้วยสายตาเย็นชา “ความหมายของลุงคือไม่อยากจะให้เด็กมีชีวิตอยู่สินะ? หรือลุงคิดจะฆ่าลูกสะใภ้กับหลานด้วยมือของตัวเอง? สองชีวิตในห้องนี้ต้องตายเพราะอคติที่ลุงมีต่อฉันอย่างนั้นหรือ?”

ชายชรามองกู้จิ้งด้วยสายตาเหยียดหยามพลางแค่นเสียงเย็น “ปีศาจอย่างเจ้า พูดอะไรไปก็ไร้ประโยชน์ทั้งนั้น!”

กู้จิ้งไม่อยากจะเชื่อ ยังมีคนเลือดเย็นโง่เขลาที่เห็นชีวิตคนเป็นผักปลาเช่นนี้ด้วยหรือ

คิดไม่ถึงว่าชายชราจะกล่าวอีกว่า “จิ้งเทียน ไล่ปีศาจตนนี้ออกไปจากบ้านของเราซะ! อย่าให้นางมาทำร้ายหลานของข้า!”

คราวนี้กู้จิ้งโมโหสุดขีด เธอเองก็รู้ว่าไม่มีความหวังแล้ว ดังนั้นจึงชี้หน้าชายชราแล้วก่นด่าเสียงดัง “ลุงน่ะสิปีศาจ บ้านลุงเป็นปีศาจกันหมด! ลุงเห็นชีวิตคนเป็นผักปลา ไร้มนุษยธรรม ทำไมบรรพบุรุษตระกูลจ้าวของลุงถึงไม่ใช้เวลาสิบนาทีนั่นมาเดินเล่นแทนที่จะให้กำเนิดตาแก่งี่เง่าหัวแข็งหัวโบราณ ให้ความสำคัญกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิงแบบลุงนะ!”

คำก่นด่าที่พรั่งพรูออกมาจากปากของเธอย่อมไม่มีใครฟังเข้าใจ

จ้าวฝูชางเคยได้ยินเรื่องของปีศาจสาวตนนี้มาก่อน ได้ยินเธอพูดเช่นนี้สีหน้าก็เปลี่ยนไป “นาง…นางกำลังพูดอะไร?”

ยายเฒ่าจ้าวเองก็หน้าซีดขาว ตามองกู้จิ้งด้วยความหวาดกลัว “คงไม่ใช่…คงไม่ใช่กำลังร่ายคำสาปหรอกนะ?”

จ้าวฝูชางซึ่งเมื่อครู่ยังวางอำนาจได้ยินเช่นนี้สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที เขามองกู้จิ้งด้วยสายตาหวาดระแวงพลางยกมือสั่นระริกขึ้นชี้ไปที่เธอ “จิ้งเทียน ทำไมเจ้าถึงพานางปีศาจนี่มาที่บ้าน เร็ว รีบไล่ออกไปเร็ว!”

เซียวเถี่ยเฟิงขยับมายืนขวางหน้ากู้จิ้งเอาไว้พลางหันไปมองจ้าวจิ้งเทียน เห็นอีกฝ่ายกำลังมีสีหน้าลำบากใจเอามากๆ

“จิ้งเทียน เจ้าจะให้นางช่วยหรือไม่ให้ช่วยกันแน่?”

“ข้า… ข้า… ข้า…” จ้าวจิ้งเทียนกัดฟัน สุดท้ายก็ทรุดลงคุกเข่าตรงหน้าจ้าวฝูชาง “ท่านพ่อ ให้นางลองดูเถิด ข้าเคยเห็นนางใช้เข็มเย็บผ้าช่วยเด็กที่ได้รับบาดเจ็บมาก่อน!”

“เข็มเย็บผ้า?” จ้าวฝูชางฟังแล้วยิ่งหวาดผวา “หลานของตระกูลจ้าวเราจะให้นางใช้เข็มเย็บผ้ามาทำคลอดงั้นรึ!”

จ้าวจิ้งเทียนกล่าวด้วยน้ำเสียงจนใจ “ท่านพ่อ หากไม่ลองดู หลานของตระกูลจ้าวเราคงจะคลอดออกมาไม่ได้แน่!”

ใครจะรู้ว่าเพิ่งสิ้นเสียงของเขา หมอตำแยก็วิ่งออกมาด้วยสีหน้าลนลาน สองมือเปียกชุ่มไปด้วยเลือด “ท่านจ้าว ต้องตัดสินใจแล้ว จะช่วยผู้ใหญ่หรือช่วยเด็ก อย่างน้อยก็ต้องบอกให้ข้ารู้บ้าง!”

“ช่วยทั้งสองคน!”

“ช่วยเด็ก!”

คนที่บอกให้ช่วยผู้ใหญ่ด้วยคือกู้จิ้ง ส่วนคนที่บอกให้ช่วยแต่เด็กคือยายเฒ่าจ้าว

หมอตำแยได้คำตอบแล้วก็รีบปิดประตูกลับเข้าไปในห้อง พริบตาต่อมา เสียงกรีดร้องปานจะขาดใจของผู้หญิงก็ดังขึ้นอีก “ช่วยด้วย ช่วยด้วย… ข้ากำลังจะตาย อ๊า…”

ที่นอกห้อง กู้จิ้งซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าประตูกับยายเฒ่าจ้าวซึ่งนั่งอยู่ตรงหน้าประตูกำลังถลึงตาใส่กัน

ฮัสกี้วิ่งไปหยุดอยู่ตรงข้างกายกู้จิ้งพลางโก่งตัวร้องฮึ่มๆ ข่มขู่ยายเฒ่าจ้าว

ยายเฒ่าจ้าวกำลังคิดว่าดวงตาของผู้หญิงคนนี้เหมือนจะมองทะลุจิตใจของผู้คนได้ จู่ๆ มีหมาตัวหนึ่งโผล่เข้ามาสอดแทรก นางก็หวีดร้องออกมาด้วยความตกใจพลางลนลานกล่าวว่า “จิ้งเทียน ยังไม่รีบไล่นางปีศาจกับหมาตัวนี้ออกไปอีก!”

บิดามารดาต่างก็ร้องเร่ง ส่วนภรรยากำลังร้องไห้คร่ำครวญอย่างสิ้นหวัง จ้าวจิ้งเทียนจำต้องแข็งใจลุกขึ้นแล้วหันมามองกู้จิ้งด้วยสายตาจนใจ

กู้จิ้งอ่านความหมายของเขาออก เธอกล่าวช้าๆ ทีละคำๆ ด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น “จ้าวจิ้งเทียน ให้ฉันเข้าไป บางทีฉันอาจจะช่วยเมียของคุณได้ ให้ฉันลองพลิกตัวเด็กดู ถ้าทำสำเร็จ เธอก็จะรอดชีวิต”

หากไม่ลอง ผู้หญิงคนนั้นต้องตายแน่ๆ

ร่างของจ้าวจิ้งเทียนเซวูบ ตามองกู้จิ้งด้วยสายตาลังเล

เสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นกว่าทุกครั้ง กู้จิ้งพอจะคาดเดาได้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นข้างใน

ช่วยเด็กไม่ช่วยผู้ใหญ่ ความโหดร้ายซึ่งสามารถเรียกได้ว่าไร้ความเป็นคนนั้น คนทั่วไปไม่อาจจินตนาการได้เลย

“บัดซบ! ถอยไป ให้ฉันเข้าไป!” กู้จิ้งตั้งท่าจะบุกเข้าไป เพราะเธอไม่อาจเบิกตามองดูหนึ่งชีวิตซึ่งอยู่ห่างไปเพียงกำแพงกั้นจากไปต่อหน้าต่อตาแบบนี้