ตอนที่ 43 ไล่พวกเขาไปให้หมด!

ข้าจับปีศาจสาวได้ตัวหนึ่ง 天上掉下个美娇娘

ฮัสกี้ส่งเสียงเห่าสนับสนุน

จ้าวจิ้งเทียนกับยายเฒ่าจ้าวรีบขยับมาขัดขวาง คนตระกูลจ้าวคนอื่นๆ ก็รีบช่วยกันขวางประตูห้องคลอดเอาไว้

กู้จิ้งคิดจะควักสเปรย์ออกมาจากกระเป๋าแต่ไม่ทันการเสียแล้ว เธอหันไปส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากเซียวเถี่ยเฟิง

“ไล่พวกเขาไปให้หมด! ให้ฉันเข้าไปเดี๋ยวนี้!”

แต่เซียวเถี่ยเฟิงกลับกุมมือเธอเอาไว้แล้วดึงให้ถอยกลับมา

เธอตาค้าง จากนั้นก็พยายามดิ้นรนพลางก่นด่าเซียวเถี่ยเฟิงด้วยความโมโหสุดขีด “นาย ทำไมถึงช่วยพวกเขา ไม่ช่วยฉัน!”

เซียวเถี่ยเฟิงไม่พูดอะไร เขาเพียงแค่ใช้แขนทั้งสองกอดกู้จิ้งเอาไว้แน่นพลางใช้ขากดหมาที่กำลังทำให้สถานการณ์วุ่นวายมากขึ้นเอาไว้

กู้จิ้งโกรธจนแทบเสียสติ “นายคิดจะเบิกตามองพวกเขาฆ่าคนคนหนึ่งอยู่เฉยๆ อย่างนั้นหรือ นายไม่เชื่อฉัน ไม่ช่วยฉัน! นายมีคุณสมบัติอะไรมาเป็นบรรพบุรุษของฉัน!”

เสียงกรีดร้องโหยหวนในห้องยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ผู้หญิงในห้องกำลังเจ็บปวด แต่เธอกลับรู้สึกเจ็บยิ่งกว่าผู้หญิงคนนั้นเสียอีก เจ็บจนหัวใจบีบตัวแน่น สองมือสั่นระริก เจ็บจนแทบจะทรงกายเอาไว้ไม่อยู่

ไม่ว่าคนคนนั้นเป็นใคร เธอก็ไม่อาจทนมองอีกฝ่ายจากไปด้วยวิธีที่โหดเหี้ยมเช่นนี้

นี่คือชีวิตคนหนึ่งชีวิต ไม่ใช่สัตว์เดรัจฉาน!

 

กู้จิ้งถูกเซียวเถี่ยเฟิงอุ้มออกมาจากบ้านตระกูลจ้าว

เธอพยายามเตะต่อยทุบถองเขาไม่หยุด

แต่เซียวเถี่ยเฟิงไม่ตอบโต้ ซ้ำยังไม่พูดอะไรสักคำ

หมาในหมู่บ้านกำลังเห่า เสียงร้องโหยหวนนั้นห่างออกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเงียบหายไปในที่สุด กู้จิ้งร้องไห้โฮ

“คนสารเลว ทำไมถึงไม่ยอมให้ฉันลอง?”

“บางทีฉันอาจจะช่วยเธอได้”

“ทำไมนายถึงเบิกตามองพวกเขาฆ่าคนอยู่เฉยๆ!”

“พวกเขากำลังฆ่าคน ฆ่าคน!”

คิดถึงตรงนี้ เธอก็ทั้งปวดใจทั้งอัดอั้นอย่างที่สุด สุดท้ายก็ร้องไห้โฮออกมาอีก “ฉันอยากจะให้พวกนายโดนระเบิดตายไปเสียให้หมด!”

คำพูดนี้ดังก้องไปทั่วหมู่บ้านเว่ยอวิ๋นแล้วสะท้อนไปเหนือหลังคาบ้านทุกหลังท่ามกลางความมืดมิด

เด็กที่กำลังร้องไห้ต่างพากันหยุดร้อง สามีภรรยาที่กำลังพร่ำพลอดต่างตัวแข็งอยู่กับที่ สตรีที่กำลังปะชุนเสื้อผ้าเผลอทำเข็มหลุดมือ ชายหนุ่มที่กำลังป้อนหญ้าให้วัวลืมสนิทว่าตัวเองกำลังทำอะไร

ทุกคนต่างพากันโผล่หน้าออกมาดูข้างนอก

ใครกันที่ร้องตะโกนแบบนี้?

ข่าวแพร่สะพัดไปทั่วหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว ที่แท้คนที่ตะโกนขึ้นมาคือเมียที่มีอาคมของเซียวเถี่ยเฟิง

ทุกคนต่างตกใจจนตัวสั่น เพราะไม่รู้ว่าเสียงที่ไม่ต่างอะไรจากเสียงปีศาจนั้นเป็นคำสาปหรืออาคมอะไรกันแน่?

แต่ยามนี้ สตรีเจ้าของเสียงกลับกำลังร้องไห้อยู่กับอกของเซียวเถี่ยเฟิง เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงเคียดแค้น “นายไม่ช่วยฉัน ทำไมถึงไม่ช่วยฉัน!”

เซียวเถี่ยเฟิงถอนใจเบาๆ พลางกระชับแขนกอดเธอแน่นขึ้น

“ข้าไม่ให้เจ้าลองก็เพราะเรื่องนี้มีความเสี่ยงมาก”

“ข้ามองออกว่าเจ้ามีความเชื่อมั่นที่จะช่วยพวกนางแม่ลูกให้ปลอดภัยน้อยมากๆ”

“หากเป็นเช่นนี้ ข้า…”

เซียวเถี่ยเฟิงยังพูดไม่ทันจบก็ต้องถอนใจออกมา “เจ้าเป็นเมียของข้า ข้าต้องปกป้องเจ้า เมียของจ้าวจิ้งเทียน ย่อมมีจ้าวจิ้งเทียนคอยดูแลเอง”

หากเขาใช้กำลังช่วยนางไล่คนพวกนั้นไปแล้วบุกเข้าไปลอง เกิดสองแม่ลูกนั่นเป็นอะไรไป คนตระกูลจ้าวย่อมเคียดแค้นมาก ถึงตอนนั้น ต่อให้เขาสามารถปกป้องนางได้ วันหน้าก็คงไม่มีโอกาสใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอีกแน่

ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้นางโชคดีช่วยแม่ลูกคู่นั้นเอาไว้ได้ คนตระกูลจ้าวก็อาจจะไม่ยอมรับหลานกับสะใภ้ที่ ‘ถูกคำสาปของปีศาจ’ ก็เป็นได้

เซียวเถี่ยเฟิงไม่ใช่คนใจร้ายใจดำ ทั้งยังไม่ใช่คนเห็นแก่ตัวที่ดีแต่คำนึงถึงเมียของตัวเองโดยไม่ใส่ใจชีวิตของผู้อื่น เพียงแต่เขาผ่านประสบการณ์ต่างๆ มามาก ดังนั้นจึงมักจะคิดมากกว่าผู้อื่น ปีศาจน้อยในอ้อมกอดของเขามีนิสัยวู่วาม รู้จักแต่จะพุ่งชนเพียงอย่างเดียว เขาต้องปกป้องนางเอาไว้ ไม่ให้ใครทำร้ายนางได้

กู้จิ้งได้ยินเช่นนี้ก็ถึงกับพูดไม่ออก

เธอเข้าใจความหมายของเซียวเถี่ยเฟิงแล้ว

เธอไม่มีความเชื่อมั่นว่าจะช่วยชีวิตแม่ลูกคู่นั้นเอาไว้ได้ หรือต่อให้ช่วยเอาไว้ได้ก็ไม่แน่ใจว่าเด็กทารกจะแข็งแรงสมบูรณ์ การคลอดที่ใช้เวลายาวนานเช่นนี้อาจทำให้รกฉีกขาดน้ำคร่ำติดเชื้อจนทำให้ทารกในครรภ์มีภาวะติดเชื้อ หรือไม่ทารกก็อาจจะขาดออกซิเจนนานจนสมองพิการ หากเคราะห์ร้ายยิ่งกว่านั้น เกิดภาวะน้ำคร่ำอุดหลอดเลือด ต่อให้อยู่ในยุคปัจจุบันก็ไม่มีหนทางรักษา…

เดิมการคลอดก็ไม่ต่างอะไรจากการไปเยือนประตูผี แม้กระทั่งในยุคปัจจุบันซึ่งการแพทย์มีความเจริญก้าวหน้า การคลอดก็เป็นเรื่องที่มีความเสี่ยงสูงมาก หมอในยุคปัจจุบันเองก็ใช่จะเชื่อมันว่าสามารถจัดการกับเหตุไม่คาดฝันต่างๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างการคลอดได้เสมอไป อย่าว่าแต่เป็นยุคโบราณล้าหลังซ้ำอยู่ในป่าในเขาเช่นนี้

เมื่อมีความเป็นไปได้มากมายหลายประการเช่นนี้ หากมีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ ประกอบกับเธอเองก็ดึงดันจะเข้าไปทั้งที่ผู้อื่นไม่ยินยอม สุดท้ายผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร แค่คิดดูก็รู้

แถมบ้านที่เกิดเรื่องยังดูเหมือนจะมีอิทธิพลในเขาเว่ยอวิ๋นไม่น้อยอีกด้วย

ถึงตอนนั้น เซียวเถี่ยเฟิงก็ใช่ว่าจะปกป้องเธอเอาไว้ได้

คิดได้เช่นนี้ เธอก็เอนกายซบอกเขานิ่งอย่างไร้เรี่ยวแรง

เธอวู่วามเกินไป

หากคิดจะช่วยคน เธอต้องทำให้ตัวเองได้รับความไว้วางใจจากผู้คนที่นี่ก่อน

หากไม่มีความไว้วางใจ จะทำอะไรก็ยากไปเสียทั้งนั้น

 

เขาเว่ยอวิ๋นมีฝนตกสามวันสามคืนติดต่อกัน ฝนที่ตกลงมาครั้งนี้รุนแรงกว่าครั้งก่อนๆ ซึ่งเพียงแค่ตกปรอยๆ เท่านั้น

ฝนในฤดูใบไม้ร่วงสาดซัดลงมาบนก้อนหินริมเขาเว่ยอวิ๋น ทำให้สัตว์เลี้ยงในหมู่บ้านพลัดตกลงไปหลายตัว

ฝนยังสาดซัดกำแพงบ้านในหมู่บ้านพังไปหลายหลัง

คนเฒ่าคนแก่หลายคนเริ่มจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์กัน พวกเขาบอกว่าเสียงที่ดังขึ้นในวันนั้น เป็นการร่ายคำสาปของปีศาจ

คนตระกูลจ้าวไม่ยอมให้ปีศาจร่ายอาคมช่วยชีวิตสะใภ้กับหลาน แถมยังขับไล่นางไป ปีศาจโกรธแค้นก็เลยร่ายคำสาปลงโทษผู้คนบนเขาเว่ยอวิ๋น

สุดท้ายสะใภ้กับหลานของตระกูลจ้าวก็ไม่อาจรักษาชีวิตเอาไว้ได้

สะใภ้ทนทรมานอยู่สองวัน สุดท้ายก็ตายเพราะเลือดไหลหมดตัว

ส่วนหลานคลอดออกมาก็ผ่ายผอมมาก ไม่กินไม่ดื่มอยู่สามวัน สุดท้ายก็ขาดใจ

ผู้คนในหมู่บ้านต่างบอกว่าคนตระกูลจ้าวหาเรื่องใส่ตัวเอง

แต่ทำไมคนทั้งหมู่บ้านต้องมาพลอยเดือดร้อนไปด้วย?

ไม่นานนัก คำวิพากษ์วิจารณ์ก็ขยายออกไปเป็นวงกว้าง ชาวบ้านต่างรู้สึกไม่พอใจคนตระกูลจ้าว เพียงแต่ไม่กล้าพูดออกมาเท่านั้น

ข่าวนี้แพร่กระจายออกไปเรื่อยๆ ไม่นานนักก็ไปถึงหมู่บ้านอื่น

จนกระทั่งวันหนึ่ง พ่อแม่ของผู้หญิงชื่ออวิ๋นเหนียงที่ตายไปก็มา

พวกเขามาเรียกร้องขอลูกสาวคืนจากตระกูลจ้าว

“คืนชีวิตลูกสาวข้ามา พวกตระกูลจ้าวกินคน! พวกตระกูลจ้าวใจดำอำมหิต! พวกเจ้าฆ่าลูกสาวข้าไปแล้วตั้งสองคน!”

มารดาของหนิงอวิ๋นเหนียงร้องห่มร้องไห้ทวงถามความเป็นธรรมจากคนตระกูลจ้าว ทำให้ตระกูลจ้าวตกอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายทันที

 

ฝนตกครั้งนี้ยาวติดต่อกันถึงสามวัน สามวันมานี้กู้จิ้งไม่ค่อยได้ออกจากถ้ำไปไหน เธอเอาแต่นั่งซึมอยู่ในถ้ำ ฮัสกี้เองก็พลอยนั่งคอตกเป็นเพื่อน

เซียวเถี่ยเฟิงทำเสื้อกันฝนขึ้นตัวหนึ่ง ยามนี้ชายหนุ่มซึ่งสวมเสื้อกันฝนทำเองกำลังวุ่นวายอยู่กับการทำงานข้างนอก เขาต้องรีบขุดคูชักนำน้ำไปทางอื่นเพราะกลัวน้ำจะทะลักเข้ามาท่วมถ้ำ ต้องรีบทำรังให้หมาเพราะคร้านจะมาคอยระวังหมาในตอนกลางคืนระหว่างที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม ต้องทำรั้วให้แข็งแรงเพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ป่าเล็ดลอดเข้ามาโจมตี นอกจากนี้ เขายังต้องรีบหาเสบียงมาเก็บสะสมจะได้ไม่ต้องทนหิวในฤดูหนาว

เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ในตอนกลางวันทำงานอยู่ข้างนอก พอเหนื่อยก็ไปอาบน้ำล้างดินโคลนที่ลำธารด้านข้าง จากนั้นจึงกลับเข้ามากอดกู้จิ้งในถ้ำ

บางทีอาจเป็นเพราะท้องฟ้ามืดครึ้ม บางทีอาจเป็นเพราะได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจจากการตายของผู้หญิงคนนั้น หลายวันมานี้กู้จิ้งจึงเอาแต่นอนแผ่อยู่บนกองหญ้าแห้งอย่างเกียจคร้าน บางครั้งเมื่อเซียวเถี่ยเฟิงกลับเข้ามา ก็สามารถลงมือได้ทันทีโดยไม่ต้องบอกกล่าว

ทุกครั้งกู้จิ้งจะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เธอจะโอบลำคอและกอดเอวของเขาเอาไว้อย่างว่าง่าย ปากก็วิงวอนขอให้ท่านบรรพบุรุษไว้ชีวิตไม่ต่างจากแมวที่กำลังออดอ้อน

ไอชื้นจากหยาดฝนในฤดูใบไม้ร่วง อากาศบริสุทธิ์ในป่ารกร้าง พละกำลังของชายหนุ่ม รวมทั้งหยาดเหงื่อของบุรุษเพศที่เพิ่งทำงานเสร็จซึ่งมีฮอร์โมนกรุ่นกำจาย ไม่ต่างอะไรจากยาตามธรรมชาติซึ่งทำให้ผู้คนลุ่มหลงจนโงหัวไม่ขึ้น

ที่น่าสงสารที่สุดคือฮัสกี้ซึ่งถูกเซียวเถี่ยเฟิงไล่ออกไปนอกถ้ำ มันได้แต่วิ่งหางตกกลับไปเลียอุ้งเท้าอยู่ในรังของตัวเองอย่างน่าสงสาร

เวลาสามวันผ่านไปเหมือนอยู่ในความฝัน จนกระทั่งวันนี้ เซียวเถี่ยเฟิงทิ้งฮัสกี้ไว้ในถ้ำ ส่วนตัวเองออกไปล่าสัตว์ ก่อนจากไปเขากำชับว่า “อย่าวิ่งหนีไปซุกซนที่ไหน ฝนตกแบบนี้พื้นดินร่วน ระวังจะหกล้มได้”

กู้จิ้งแค่นเสียงฮึดฮัด แต่ปากก็รับคำอย่างใจลอย

เซียวเถี่ยเฟิงเห็นท่าทางเหมือนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวของเธอก็จนใจนัก แต่เขาก็ได้แต่ลูบผมเธอแล้วหันไปสั่งให้ฮัสกี้เฝ้าอยู่ตรงปากถ้ำ

ฝากความหวังไว้กับคนใจลอยอย่างเธอ ไม่สู้ฝากความหวังไว้กับหมาจะดีกว่า