หลิ่วอี้ฮวนฮึดฮัดออกไป คนอื่นก็เริ่มนั่งไม่ติดอยู่บ้าง ฉู่อิ่งหงยิ้มกล่าวว่า “เอาละ ท่านหลิ่วเป็นคนตรงไปตรงมา แต่เขาว่ามาก็มีเหตุผล หมิ่นเหยียน อย่างไรควรคิดระวังตัวไว้บ้าง เจ้าต้องใส่ใจสักหน่อย ข้าไปละ เจ้าดูแลหลิงหลงให้ดี”
จงหมิ่นเหยียนพยักหน้ารับคำ ส่งนางกับถิงหนูออกไป เสวียนจีกำลังจะออกไป แขนเสื้อก็ถูกหลิงหลงดึงไว้ นางรู้ได้ทันที รีบนั่งลงขอบเตียง กุมมือนางไว้ กล่าวอ่อนโยนว่า “มีอะไรบอกข้า?”
หลิงหลงเม้มปากเป็นนานไม่กล่าวอันใด เมื่อครู่เพราะนางดีใจหน้าแดง ตอนนี้ดูแล้วซีดขาวอยู่บ้าง แววตาลึกล้ำมองไม่เห็นก้นบึ้ง เสวียนจีเริ่มตกใจ กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “หลิงหลง?”
นางกะพริบตาปริบก่อนจะเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “เจ้าว่า…อูถงตายแล้วจริงหรือ”
วาจาเสวียนจีสะอึกไปครู่หนึ่ง นึกถึงว่านางเคยถูกอูถงจับไปขังไว้ นางโง่จริง แม้ว่าหลิงหลงไม่พูด แต่ดูสภาพอูถงก่อนตายแล้ว กอปรกับท่าทางวุ่นวายใจยามนี้ของหลิงหลง นางก็พลันเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างพวกเขาทั้งสองคน
“เขา…ตายอย่างไร” หลิงหลงถามน้ำเสียงเบามาก
เสวียนจีถอนหายใจ ค่อยๆ เล่าเรื่องตอนนั้นให้นางฟังอย่างไม่ขาดแม้แต่น้อย แต่บางทีนางควรแต่งเรื่องลวงบ้าง บอกนางว่าอูถงถูกตนฟันตาย ไม่เล่าสภาพบ้าคลั่งเสียสติสุดท้ายของเขาออกมา แต่ไม่รู้เหตุใด นางถึงกับเล่าทั้งหมดอย่างไม่ปิดบังออกไปเช่นนี้ได้
หลิงหลงสีหน้าซีดขาว ฟังว่าสุดท้ายอูถงคว้าข้อมือเสวียนจีเรียกแต่ชื่อหลิงหลง ริมฝีปากนางก็พึมพำอะไรออกมา เสวียนจีเห็นสภาพนางผิดปกติ ก็หยุดเล่า หลิงหลงอึ้งอยู่นานก่อนจะกล่าวเบาๆ ว่า “อืม…ตายเช่นนี้ ก็ดี ตายได้ดี…”
เสวียนจีไม่กล่าวอันใด นี่เป็นเรื่องของหลิงหลงกับเขา นางไม่อาจข้องเกี่ยว
หลิงหลงค่อยๆ ยกมือขึ้นกุมหน้าอก หน้าอกตรงนั้นเต้นรุนแรงอย่างที่สุด นางถึงกับไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วยามนี้นางเองดีใจที่สุดหรือว่าตกใจที่สุด หรืออาจมีดีใจผสมกับความเศร้าใจที่แม้แต่นางเองก็ไม่อยากจะยอมรับ ทุกสิ่งผสมผสานกับอารมณ์ที่รู้สึกว่าทำอะไรไม่ได้
อารมณ์อันสับสนเช่นนี้ นางไม่รู้ว่าควรจัดการความคิดเช่นไร ความรู้สึกลุกโชนรุนแรงทั้งหมดในชีวิตนางแบ่งไปอยู่ที่คนสองคน คนหนึ่งคือจงหมิ่นเหยียนที่รักอย่างที่สุด อีกคนก็คืออูถงที่เกลียดอย่างที่สุด ตอนนี้หายไปหนึ่ง นางรู้สึกถึงความว่างเปล่าที่บอกไม่ถูก
“เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม” เสวียนจีก้มหน้ามองนาง นางส่ายหน้า เป็นนานกว่าสีหน้าจะสงบนิ่งลงได้ในที่สุด กล่าวเบาๆ ว่า “ไม่เป็นไร เพียงแต่อยู่ๆ ได้ยินว่าเขาตายอนาถเช่นนั้น ก็รู้สึกตกใจ…” นางพลันยิ้มเล็กน้อย รอยยิ้มแม้ว่ายังคงงดงาม แต่ไม่ไร้เดียงสาเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว หว่างคิ้วเหมือนมีริ้วรอยแห่งความกังวล “ข้าไม่เป็นไร แค่เหนื่อย อยากนอนพักสักครู่หนึ่ง”
เสวียนจีห่มผ้าห่มให้นาง ก่อนจะผลักประตูค่อยๆ เดินออกมา เดินไปได้ไม่กี่ก้าว พอเลี้ยวไปก็เห็นจงหมิ่นเหยียน เขากำลังพิงเสามองไปยังฟ้าไกล ไม่รู้คิดอะไร นางค่อยๆ เดินเข้าไปหาช้าๆ ได้ยินเสียงเขาดังขึ้นเสียงหนึ่ง “เสวียนจี”
นางหยุดยืนอยู่ข้างกายเขา ไม่กล่าวอันใด จงหมิ่นเหยียนกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าควรขอบคุณเจ้า…หลายเรื่อง”
นางยิ้มบางกล่าวว่า “ทำไมอยู่ๆ ศิษย์พี่หกเกรงใจขึ้นมา ทุกคนล้วนศิษย์ร่วมสำนัก ความแค้นพวกเจ้าก็คือความแค้นข้า”
จริงๆ แล้วฉู่เหล่ยยังไม่ได้รับจงหมิ่นเหยียนกลับคืนสำนักเส้าหยาง แต่ในใจเสวียนจี ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยังคงเป็นศิษย์พี่หกแสนดีที่เอาแต่ชักสีหน้าใส่นาง เอาแต่รำคาญนางผู้นั้น
จงหมิ่นเหยียนยิ้มตาม พลันหันกลับไปมองนาง กล่าวจริงจังว่า “อย่างไรก็ขอโทษที่แต่ไรมาเอาแต่ชักสีหน้าใส่เจ้า ล้วนเพราะปัญหาที่ตัวข้าเอง จริงๆ แล้วไม่เกี่ยวกับเจ้า เจ้าเป็นแม่นางน้อยที่ดีมาก”
เสวียนจีไม่ทันตั้งตัว อยู่ๆ เขากล่าวกับนางเช่นนี้ นางอดหน้าแดงไม่ได้ จ้องมองเขาพูดไม่ออก จงหมิ่นเหยียนกล่าวต่อว่า “ข้าเพียงอยากบอกเจ้า จริงๆ แล้วข้าไม่ได้รังเกียจเจ้า”
เสวียนจี “อา” ขึ้นเสียงหนึ่ง ก้มหน้าลงเอ่ยเบาๆ ว่า “จริงหรือ ข้าคิดว่า…” นางคิดมาตลอดว่าจงหมิ่นเหยียนรังเกียจนาง แทบอยากจะให้นางหายตัวไป ที่แท้ไม่ใช่หรือ เช่นนั้นเหตุใดเขา…
“จริงนะ เพราะ…ข้ามันโง่เง่า” เขาหัวเราะขึ้นเสียงหนึ่งมองหน้านางที่กำลังมองตนอย่างงุนงง พลันตบไหล่นาง กล่าวว่า “อืม ไม่เป็นไรแล้ว เจ้าไม่ใช่จะลงเขาไปหาซือเฟิ่งหรือ รอข้ากับหลิงหลงหมั้นหมายกันก่อนค่อยไปแล้วกัน พวกเราจะช่วยเจ้าหา”
เสวียนจียังไม่เข้าใจว่าแท้จริงเขาเป็นอะไร อึ้งมองเขาที่เหมือนว่าปล่อยวางได้ รู้สึกว่าเขาสบายใจ ผิวปากเดินจากไป เขาจัดการปมในใจได้แล้ว แต่ทำเอาเสวียนจียังงง คิดหนักทั้งคืนก็ยังไม่เข้าใจว่าแท้จริงเขาหมายความว่าอย่างไร
แม้ว่าทุกคนต่างรั้งเสวียนจีไว้ให้รอหลิงหลงกับจงหมิ่นเหยียนหมั้นหมายแล้วค่อยไป แต่นางก็พามกรจากไปในคืนวันหนึ่ง แอบลงเขาไปเงียบๆ
หลิ่วอี้ฮวนจากเส้าหยางไปแล้ว ไม่รู้ไปไหน ถิงหนูเหมือนชอบบรรยากาศสำนักเส้าหยางมาก กอปรกับหลังมารปีศาจโจมตี สำนักเส้าหยางมีผู้อาวุโสจากไปสองท่าน ทำให้เหอหยางบาดเจ็บ ตอนนี้ต้องการคนมีความสามารถคอยชี้แนะ พวกผู้อาวุโสต่างเลื่อมใสถิงหนู เขาจึงถูกรั้งตัวให้อยู่สำนักเส้าหยางต่อ
เสวียนจีเดิมก็ไม่ได้คิดไปหาซือเฟิ่งพร้อมกับพวกเขา สำหรับนางแล้ว นี่เป็นเรื่องของนางกับอวี่ซือเฟิ่งสองคน ไม่คิดดึงคนอื่นไปเกี่ยวข้องมากมาย นางต้องไปหาเขาคนเดียว น่าเสียดายอย่างเดียว นางไม่ได้เห็นการหมั้นหมายของหลิงหลง แต่ไม่เป็นไร ท่านพ่อบอกว่ารอให้หลิงหลงอายุสิบแปด จะจัดงานแต่งงานเป็นทางการให้ ถึงตอนนั้นนางย่อมพาซือเฟิ่งมาดูหลิงหลงสวมชุดแต่งงาน
เวลาไหลผ่านไปราวกับสายน้ำ เสวียนจีพามกรเหินกระบี่แอบลงเขาเงียบๆ ออกไปตามเส้นทางเล็กหลังเขา ป่าไม้เงียบสงบยิ่ง มีเสียงนกฮูกดังมาเป็นระยะ เสียงลมเย็นพัดมา กิ่งไม้และใบไม้กางกั้นแสงจันทร์อยู่ชั้นหนึ่งจนมืดแสง ก็ไม่รู้อีกนานเท่าไรจึงจะได้กลับมาชมทิวทัศน์ที่คุ้นเคยนี้อีก เสวียนจีรู้สึกบอกไม่ถูก ยกมือลูบกิ่งก้านต้นไม้ หันกลับไปเห็นมกรยืนอยู่ข้างๆ ท่าทางปกติ ไม่ได้โหวกเหวกโวยวาย ความจริงสองสามวันนี้เขาเงียบสงบมาก ก็ไม่รู้มีอะไรในใจ
เสวียนจียิ้มกล่าวว่า “ยากนะที่เจ้าจะยอมเดินเงียบๆ ไปกับข้า หรือว่าตัดใจจากอาหารเลิศรสที่นี่ไม่ได้”
มกรเชิดจมูกขึ้นส่งเสียงฮึกล่าวว่า “ยุ่ง! เรื่องของผู้ชาย ผู้หญิงอย่างเจ้าจะไปเข้าใจอะไร!”
เสวียนจีหัวเราะใส่เขา “เจ้าก็นับเป็นผู้ชาย? ถ้าจะจัดกลุ่มก็ควรเป็นสัตว์เพศผู้นะ เจ้ากำลังคิดเรื่องสัญญาต่อสู้กับอู๋จือฉี”
มกรถูกนางพูดแทงใจดำ ก็ร้อนตัวขึ้นมา ร้อนใจกล่าวว่า “เกี่ยวไรกับเจ้า! ข้าบอกเจ้านะ ไม่อนุญาตให้เจ้ายุ่ง!” เขาเหมือนเด็กน้อยที่กว่าจะแย่งของล้ำค่ามาได้ก็ไม่ง่าย กลัวว่ามีคนอื่นจะมาแย่งชิงไป ตอนนี้คนอื่นที่ว่าไม่ใช่ผู้ใด แต่คือเสวียนจี เขาจ้องมองนางเขม็ง เต็มไปด้วยอารมณ์ที่ว่าหากเจ้ากล้าแย่งกับข้า ก็ย่อมเป็นปรปักษ์กับข้า
เสวียนจีขี้เกียจจะสนใจเขา เชอะขึ้นเสียงหนึ่ง กล่าวอย่างสบายอารมณ์ว่า “ข้าขี้เกียจจะยุ่งด้วย ผู้ชายหน้าเหม็นสองคนสู้กัน มีอะไรน่าสนุก” นางหันหลังเดินลงเขาไปทันที มกรเห็นนางท่าทางสบายอารมณ์ก็แปลกใจขึ้นมา รีบไล่ตามไป กล่าวไม่หยุดว่า “สู้กันสนุกมากนะ เจ้าไม่คิดจริงหรือ หรือว่าก่อนสู้กับเขา พวกเราสองคนมาฝึกกันก่อน”
“ไม่เอาด้วยหรอก” เสวียนจีโบกมือ ยิ้มกล่าวว่า “ข้าไม่อยากต่อสู้กับสัตว์ป่า”
มกรพยายามล่อหลอกสุดฤทธิ์ “สนุกมากนะ มาเถอะ! มานะ มานะ!”
เสวียนจีผลักศีรษะเขาเต็มแรง “มาบ้านเจ้าสิ! รีบไปเร็ว! วันๆ ไม่หาเรื่องต่อยตีก็กิน วันหน้าไปไหนอย่าบอกใครว่าเจ้าเป็นสัตว์ภูตข้า!”
พูดกันถึงตรงนี้ นางพลันนึกถึงสิ่งที่มกรเคยกล่าวว่า ต้องการให้นางรับปากว่าวันหน้าไม่ว่าตอนไหน หากเขาต้องการถอนพันธะสัญญา นางก็ต้องยอมทำตาม ก็อดกล่าวไม่ได้ว่า “ใช่แล้ว เมื่อก่อนเจ้าไม่ใช่ว่าจะถอนพันธะสัญญาหรือ พันธะสัญญานี่ถอนกันอย่างไร?”
มกรตะลึงอึ้งไป สีหน้าอยู่ๆ ก็เขียวคล้ำ กล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “ทำไม เจ้าจะถอนพันธะสัญญา? ได้ซี้ ข้าก็อยาก! ถอนก็ถอน!”
เสวียนจีถูกเขาระเบิดใส่จนทำหน้าไม่ถูก “ข้า…แค่ถามดูเท่านั้น นับประสาอันใดกับเห็นๆ ว่าครั้งก่อนเป็นเจ้าเองที่ว่า…”
“ทำไม ข้าทุ่มเทกายใจช่วยเจ้า เจ้าไม่รู้จักดี!” เห็นชัดว่าเขาไร้เหตุผล
เสวียนจีรีบหุบปากไม่กล่าวอันใด เดินไปเงียบๆ มกรทนไม่ไหวเริ่มพร่ำบ่นไม่หยุด ครู่หนึ่งว่านางเย็นชาไร้ใจ ครู่หนึ่งว่าจะถอนพันธะสัญญา เขาเองก็อยากจะตาย พูดกลับไปกลับมาไม่รู้กี่รอบ ฟังจนเสวียนจีหูชามีแต่เสียงหึ่งๆ ดังไปหมด อยู่ๆ นางก็คว้ามือเขาไว้ หันกลับมายิ้มกล่าวว่า “เอาน่า อย่าบ่นอีกเลย ข้าไม่ถอนพันธะสัญญา”
มกรโมโหกล่าวว่า “ผู้ใดสนใจว่าเจ้าจะถอนไม่ถอนกัน! อย่างไรข้า…”
“เอาน่า ข้าตัดใจถอนไม่ลง ได้ไหม? มกร เจ้าสามารถเพียงนี้ ข้าจะตัดใจถอนพันธะสัญญาได้อย่างไร”
แข็งใส่ไม่ได้ นางก็เริ่มอ่อนใส่ ดังคาด มกรชอบอ่อนไม่ชอบแข็ง พอวาจานางอ่อนให้เช่นนี้ก็อารมณ์ดีขึ้นทันที หัวเราะคิกคักกล่าวว่า “พอไหวๆ เหอๆ เจ้าตัดใจจากข้าไม่ได้ ข้าก็ฝืนใจช่วยเจ้าอีกสักพักแล้วกัน”
เสวียนจีลอบยิ้ม ลากมือเขาเดินลงเขาไป
ทางข้างหน้าแม้ว่าเลือนรางเวิ้งว้าง แต่ซือเฟิ่ง เจ้ารอก่อน ข้าต้องรีบไปตามเจ้ากลับมา!
********
ฝนตกติดต่อกันมาได้ห้าหกวันแล้ว ลมพัดมาจากทะเล หอบเอาความเย็นและความชื้นมา ฟ้าครึ้มฝนตกเป็นสิ่งปกติที่บรรดาศิษย์ตำหนักหลีเจ๋อพบเห็นบ่อยและไม่ชอบที่สุด ฝั่งทะเลมีศิษย์น้อยมาก มีบางคนถูกลมทะเลหนาวเหน็บพัดเอาหนาวสั่นไปทั้งตัว วิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวก็รีบกลับ
ไกลออกไป ราวกับมีคนกำลังดีดพิณเจ็ดสาย เสียงบรรเลงดังเหมือนผิดจังหวะไปบ้าง น่าจะดีดเล่นๆ ไม่ได้ตั้งใจ เสียงพิณเจ็ดสายแว่วดังราวกระตุกความเศร้าประมาณมิได้ในใจออกมา ความคิดถึงไม่อาจจางหาย คนที่เคยได้ยินบทเพลงงดงามมากมายมาก่อนหน้า มาได้ยินเพลงนี้ก็คงต้องอุทานว่าบทเพลงท่วงทำนองแห่งเทพเซียนสวรรค์โดยแท้ โลกมนุษย์มิอาจได้ยินยล แต่ผิดแล้ว เห็นชัดว่าเป็นบทเพลงในโลกมนุษย์ เพียงแต่ในบทเพลงแฝงกลิ่นอายแห่งความรักอยู่
นิ้วมือเรียวยาวค่อยๆ ดีดพิณเจ็ดสาย เสียงกง[1] ทุ้มต่ำ ราวนางก้มหน้า ราวน้ำค้างใบบัว เสียงอวี่ขึ้นสูง นางร่างอรชรร่ายรำกระบี่พลิ้วแผ่วไปกับสายลม เสียงจื่อสับสนผสมผสาน ลมพัดผมนุ่มดำขลับยาวสยายของนาง แต่ละเส้นเงางามสะท้อนแสง เสียงเจวี๋ยไม่สูงไม่ต่ำ ยามนางยิ้มเล็กน้อย ดวงตากลมโตใสกระจ่างมองเขาเงียบๆ เสียงซังปรากฏวับแวม ราวลักยิ้มมุมปากนางปรากฏวับแวม ซุกซนน่ารักเช่นนั้น
เสียงทั้งห้า เขาบรรจงดีดนางทั้งร่างด้วยปลายนิ้ว ค่อยๆ ดีดทีละเส้น
เขานั่งอยู่ริมหน้าต่างมานานมากแล้ว ฝนพรำด้านนอกพัดเข้ามากระเซ็นโดนผมตรงหน้าอกเขาเปียกชื้น ขนตายาวงอนงามของเขามีละลองน้ำจับ กะพริบเบาๆ ก็ราวกับปีกผีเสื้อตื่นตระหนก
เขายังคงหวนคำนึง หรือบางทีอาจไม่หวนคำนึง รอยยิ้มและคิ้วขมวดมุ่นของนาง หลับตาลงก็กระจ่างชัดในห้วงความคิด ราวกับนางมีชีวิตยืนอยู่ตรงหน้า เขาเหมือนคิดถึงสถานที่แห่งความสุขที่ใดสักที่ ข้อมือสั่นไหว เสียงบรรเลงพิณเจ็ดสายเว้าวอนอย่างที่สุด ราวกับคลื่นผิวน้ำกระเพื่อมเบา
เสียงฝีเท้าด้านนอกทำลายความอ่อนหวานในห้วงเวลานี้ลง ตามมาด้วยคนผลักประตูเข้ามา น้ำเสียงทุ้มต่ำกล่าวว่า “ซือเฟิ่ง ในตำหนักหลีเจ๋อนี้อย่าดีดทำนองดนตรีแว่วหวานเช่นนี้!” วาจาไม่ทันจบก็ได้ยิน ผึง ดังขึ้น สายพิณขาด อวี่ซือเฟิ่งลุกขึ้นเก็บพิณเจ็ดสายไปอีกทางหนึ่ง หันกลับไปกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ขอรับ อาจารย์”
ผู้ที่มาก็คือเจ้าตำหนักใหญ่ สีหน้าบึ้งตึง สองคิ้วขมวดแน่น เห็นชัดว่าอารมณ์ไม่ดีอย่างที่สุด เดินมาถึงหน้าโต๊ะ ก็ยกมือปัดปึกกระดาษปึกหนึ่งบนหล่นลงพื้น น้ำเสียงดุดันขึ้นว่า “เจ้าอูถง กล้ามาก! กองกำลังในเขาปู้โจวซานไว้ให้มันใช้งานหรือ?!”
อวี่ซือเฟิ่งเก็บกระดาษปึกนั้นขึ้นมาเงียบๆ สิ่งที่อยู่บนนั้นทำให้เขาต้องขมวดคิ้วเล็กน้อย ที่แท้เขาปู้โจวซานแอบซ่อนกองกำลังตำหนักหลีเจ๋อไว้มากมาย คิดว่าวันหน้าพอได้เวลาเหมาะก็จะบุกแดนนรกช่วยอู๋จือฉีออกมา สาเหตุที่ทำให้เจ้าตำหนักใหญ่โมโหก็คืออูถงเคลื่อนกำลังพลการไปโจมตีสำนักเส้าหยาง จากนั้นสูญสิ้นทั้งกอง สายที่เฝ้ารักษาการอยู่เขาปู้โจวซานรายงานว่า อูถงกลัวความผิดคิดหนี ระหว่างทางปะทะกับศิษย์สำนักเส้าหยางที่มาแก้แค้น สองฝ่ายสู้กันจนรุกเข้าไปในประตูแดนปรภพ จากนั้นหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
เขาถึงกับไม่ต้องเดาก็รู้ว่าศิษย์ที่มาแก้แค้นคือผู้ใด จะมีผู้ใดเข้าเขาปู้โจวซานได้อย่างง่ายดาย ยังบีบอูถงนั่นเข้าแดนปรภพได้อีก
เสวียนจี! มือเขาสั่นเทา กระดาษร่วงหล่นลงพื้น อวี่ซือเฟิ่งเก็บขึ้นมาใหม่เงียบๆ ไม่ส่งเสียง ได้ยินเพียงเสียงเจ้าตำหนักใหญ่กล่าวว่า “เสียหายไปตั้งมากมาย แต่ทำคนเขาบาดเจ็บได้ไม่เท่าไร เจ้าอูถง มันตายถือว่าสบายไปแล้ว หากยังอยู่ ต้องให้มันได้ลิ้มรสหนักหลีเจ๋อ”
อวี่ซือเฟิ่งกล่าวว่า “ในเมื่อคนก็ตายไปแล้ว อาจารย์ก็อย่าได้คิดถึงอีกเลย ข้ามีคำถามมาตลอด ตอนนั้นห้าสำนักใหญ่ประกาศจับอูถง ต่อมาเขามาทำงานให้ตำหนักหลีเจ๋อได้อย่างไร”
เจ้าตำหนักใหญ่หัวเราะขึ้นเสียงหนึ่ง กล่าวอย่างสบายอารมณ์ว่า “ก็แค่บังเอิญ เห็นสุนัขใกล้ตายตัวหนึ่ง ช่วยมันไว้ มันก็ตามติดมาเอง น่าเสียดาย สุนัขก็ยังคงเป็นสุนัข สุดท้ายยังถูกมันแว้งกัด”
เขามองอวี่ซือเฟิ่งแวบหนึ่ง กล่าวอีกว่า “เจ้าอย่าได้กังวล ดวงแม่นางน้อยนั่นแข็งมาก ไม่ตายหรอก”
อวี่ซือเฟิ่งไม่กล่าวอันใด เป็นนานจึงได้กล่าวว่า “อาจารย์ จากนี้จะทำเช่นไร” เจ้าตำหนักใหญ่กล่าวว่า “ข้าคงต้องไปแดนปรภพด้วยตนเองสักครั้งแล้ว…”
ยังกล่าวไม่ทันจบ ก็ได้ยินมีคนรายงานอยู่นอกประตูว่า “ไฟบนเสาในหอตันหยาจุดแล้ว รองเจ้าตำหนักกลับมาแล้ว”
เจ้าตำหนักใหญ่สีหน้าขรึมลง ลุกขึ้นจะออกไป พลันนึกอะไรขึ้นมาได้ หันกลับไปกล่าวว่า “ซือเฟิ่ง เจ้าไปด้วยกัน เจ้าถึงวัยเข้าร่วมรับรู้เรื่องนี้แล้ว”
[1] กง ซัง เจวี๋ย จื่อ อวี่ คือชื่อเรียกโน้ตเสียงทั้งห้าแบบจีน เท่ากับเสียงโด เร มี ซอล ลา ตามลำดับ