ตำหนักหลีเจ๋อแบ่งออกเป็นสองตำหนักหลัก หนึ่งนั้นก็คือตำหนักซีโต้วกงเป็นที่พำนักรองเจ้าตำหนัก อีกหนึ่งคือตำหนักจินกุ้ยกงอยู่ใต้อำนาจสั่งการของเจ้าตำหนักใหญ่ ระหว่างตำหนักทั้งสองยังมีหอศิลาขนาดใหญ่คั่นกลาง ทาด้วยสีแดงชาดทั้งด้านบนและด้านล่าง ชื่อว่าตันหยา ทุกครั้งที่สองเจ้าตำหนักหารือกัน ก็จะจุดไฟบนหอตันหยาเพื่อเป็นสัญญาณบอก
อวี่ซือเฟิ่งกับเจ้าตำหนักใหญ่เร่งรุดมาถึงหอตันหยา รองเจ้าตำหนักก็มารออยู่ก่อนแล้ว เขายืนรับลม ชุดครามพลิ้วตามแรงลมส่งเสียงดัง รั่วอวี้ก้มหน้ายืนอยู่ข้างกายเขา เห็นเจ้าตำหนักใหญ่มาก็รีบคุกเข่าลงคำนับ
“หลายวันนี้ไม่รู้เจ้าหายตัวไปไหน ยามนี้ถึงกับมีหน้ากลับมา” เจ้าตำหนักใหญ่กล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบ
รองเจ้าตำหนักหัวเราะเหอะๆ หันหน้ามากล่าวอ่อนโยนว่า “พี่ใหญ่ไยแล้งน้ำใจกับข้าเช่นนี้ ในเมื่อทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันจัดการเรื่องนี้ ข้าก็ไม่อาจนั่งเฉยอยู่ในตำหนักได้” เขาเห็นอวี่ซือเฟิ่งยืนอยู่ด้านหลัง น้ำเสียงจึงยิ่งนุ่มนวลขึ้น ยิ้มกล่าวว่า “พี่ใหญ่ ท่านพาเขากลับมาได้อย่างไร ตอนนั้นไม่ใช่ว่ามีสัญญากับหลิ่วอี้ฮวน…”
“อย่าพูดจาเหลวไหล” เจ้าตำหนักใหญ่ขมวดคิ้วมุ่น “เจ้าจุดไฟบนหอตันหยา มีเรื่องสำคัญอะไร”
รองเจ้าตำหนักยิ้มกล่าวว่า “รั่วอวี้ เอากุญแจให้ข้า” รั่วอวี้ควักถุงแพรหนึ่งออกจากแขนเสื้อ วางลงบนมือเขาอย่างนอบน้อม “เรื่องนี้ไม่เพียงสำคัญ ยังเป็นเรื่องดียิ่ง พี่ใหญ่ท่านรู้ไหม นี่คืออะไร” เขาดึงสิ่งที่อยู่ในถุงแพรออกมา นิ้วมือซีดเรียวคลึงไปมาเบาๆ นั่นก็คือลูกกุญแจเหล็กนิลแปดดอก มีขนาดหนาราวนิ้วมือคน ยาวราวฝ่ามือ กระทบกันอยู่ในมือเขาเสียงดัง
พอเจ้าตำหนักใหญ่เห็น อยู่ๆ พลันตกใจ “นี่คือลูกกุญแจไขโซ่หมุดทะเล?! เจ้าได้มาจากไหน?!”
รองเจ้าตำหนักเขย่าลูกกุญแจพวงนั้นไปมาอย่างไม่สนใจ หัวเราะเหอะๆ กล่าวว่า “พี่ใหญ่ ท่านมักคิดว่าข้าไม่เป็นอะไรสักอย่าง ควรตามอยู่หลังท่าน อะไรก็ฟังคำสั่งท่าน ข้าไม่อยากเป็นไอ้งั่งเช่นนั้น ลูกกุญแจได้มาอย่างไร ท่านถามเด็กคนนี้ เขารู้กระจ่าง” เขาชี้ไปทางอวี่ซือเฟิ่ง
เจ้าตำหนักใหญ่จ้องมองเขาอย่างนึกระแวงครู่หนึ่ง ก่อนจะเบนสายตาไปทางอวี่ซือเฟิ่ง ถามว่า “ซือเฟิ่ง เรื่องราวเป็นมาอย่างไร”
อวี่ซือเฟิ่งกล่าวว่า “ได้จากบนเกาะฝูอวี้ ใต้เกาะฝูอวี้ไม่มีโซ่หมุดทะเล แต่กลับซ่อนลูกกุญแจโซ่หมุดทะเลไว้ รองเจ้าตำหนักน่าจะซื้อตัวพ่อบ้านโอวหยางบนเกาะให้เขาขโมยออกมา พ่อบ้านโอวหยางนั่นก็เป็นปีศาจ เนื่องจากเจ้าเกาะตงฟางมีบุญคุณกับเขา ดังนั้นจึงอยู่ตอบแทนคุณ”
รองเจ้าตำหนักยิ้มกล่าวว่า “ดีมาก แต่เจ้าพูดผิดไปนิด โอวหยางไม่ใช่ข้าซื้อตัวไว้ แต่ไรมาเขาก็คือคนของข้า ตอนนั้นเขามารายงานเท็จต่อข้า บอกว่าจะไปแทนคุณ ปลดหนี้เหตุต้นผลกรรมที่ติดค้าง ข้าจึงได้ทำเป็นหลงกล ขอให้หลังเขาตอบแทนคุณเสร็จ ต้องหาทางขโมยลูกกุญแจออกมา เดิมข้ายังเกรงว่าเขาอาจทำไม่ลง คนผู้นี้เป็นคนจริง บุญคุณความแค้นแยกแยะชัดเจน ตอบแทนคุณเสร็จก็ย่อมกลายเป็นดังคนแปลกหน้า แม้แต่ข้าเองถึงกับยังเลื่อมใสอยู่บ้างเลย”
เจ้าตำหนักใหญ่ยิ้มเยียบเย็นกล่าวว่า “ใช่ เป็นคนจริง ข้าไม่รู้คนของเจ้ามีคนมากความสามารถเท่าไร เยี่ยมมาก! เริ่มรวบรวมคนมีความสามารถตอนไหน แม้แต่ข้าผู้เป็นพี่ใหญ่เจ้ายังถูกปิดหูปิดตาราวอยู่ในกลอง”
รองเจ้าตำหนักถอนใจกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าพี่ใหญ่จะระแวงข้า ท่านและข้าเป็นพี่น้องกัน ไยต้องเป็นเช่นนี้ หรือว่าข้ายังจะทำร้ายท่านให้ได้ คนของข้าก็ไม่ใช่คนของท่านหรือ ข้าก็ทำงานเพื่อตำหนักหลีเจ๋อ เหอะๆ จะว่าไป พี่ใหญ่ก็เคยกล่าวว่า ข้ามีแผนอุบายในใจอะไร ท่านรู้หมด ข้าไหนเลยจะกล้าคิดเพ้อฝัน”
เจ้าตำหนักใหญ่ไม่กล่าวอันใด เพียงหัวเราะเยียบเย็น เสียงหัวเราะทำเอาหวาดกลัวขนหัวลุก เป็นนานเขาจึงได้หยุดหัวเราะ กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ในเมื่อลูกกุญแจได้มาแล้ว เช่นนั้นเรื่องอื่นๆ ก็พร้อมแล้ว รอเพียงประตูแดนปรภพเปิด เข้าไปช่วยคนออกมาก็พอ”
รองเจ้าตำหนักกล่าวว่า “ขอเพียงเลือกคนผู้นี้ได้ เพียงแต่เลือกยากสักหน่อย ต้องทำงานใหญ่ ต้องหนักแน่น ทนรับกระแสถาโถมได้ ฝีมือต้องไม่ธรรมดา…ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือ ต้องเป็นคนที่ไว้ใจได้ ไม่รู้พี่ใหญ่มีตัวเลือกที่ดีไหม”
เจ้าตำหนักใหญ่กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “คนของเจ้าล้วนสามารถ ไยไม่เลือกมาสักสามสี่คน”
รองเจ้าตำหนักเหมือนรู้ว่าเขาจะตอบเช่นนี้ จึงออกคำสั่งว่า “รั่วอวี้ เจ้ายอมไปแดนปรภพสักครั้งไหม นี่เป็นงานที่อันตรายอาจถึงแก่ชีวิต คิดให้ดีแล้วค่อยตอบ”
รั่วอวี้คุกเข่าลงทันที กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “แม้ศิษย์ต้องตายก็ไม่ปฏิเสธ!”
รองเจ้าตำหนักยิ้มกล่าวว่า “พี่ใหญ่ ท่านว่าเด็กคนนี้เป็นอย่างไร”
เจ้าตำหนักใหญ่เหมือนไม่ปฏิเสธ มองเขาอย่างพิเคราะห์ สายตาราวสายฟ้าเยียบเย็น ในใจรั่วอวี้หนาวสั่น อดก้มหน้าลงไม่ได้ ผ่านไปครู่หนึ่งได้ยินเสียงเหนือศีรษะหัวเราะขึ้นเสียงหนึ่ง เสียงนั้นเยียบเย็นยิ่งกว่าน้ำแข็งหิมะ “ที่แท้เจ้าก็คือรั่วอวี้ อืม รั่วอวี้ รั่วอวี้…รั่วอวี้ที่สังหารศิษย์ร่วมสำนัก!”
ในใจเขาเย็นวาบ ลมพัดมาเหนือศีรษะ เขารู้ว่าเป็นฝ่ามือเจ้าตำหนักใหญ่ เจ้าตำหนักคิดจะฟาดฝ่ามือนี้แก้แค้นให้กระบี่ที่เขาแทงหน้าอกอวี่ซือเฟิ่ง! พริบตานั้นในหัวรั่วอวี้มีความคิดมากมายแวบขึ้นมา สุดท้ายก็กลายเป็นความว่างเปล่า หลับตาลงรอความตายอย่างสิ้นหวัง
รองเจ้าตำหนักร้อนใจกล่าวว่า “พี่ใหญ่โปรดยั้งมือ!” กล่าวจบก็กันมือเขาไว้ สลายพลังฝ่ามือเขาออกไปครึ่งหนึ่ง แต่ฝ่ามือนั้นก็ยังฟาดลงบนหลังของรั่วอวี้ ร่างเขาสะดุ้งเล็กน้อย สองมือยันพื้น หอบหายใจเจ็บปวดแผ่วเบา มีเลือดสดไหลซึมออกจากหน้ากากเขาหยดลงพื้น
เจ้าตำหนักใหญ่กล่าวน้ำเสียงนิ่งว่า “คนจิตใจชั่วร้ายเช่นนี้ สังหารศิษย์ร่วมสำนัก ควรค่าแก่การรับหน้าที่สำคัญหรือ?! ควรให้อยู่ตำหนักหลีเจ๋อต่อหรือ?!”
รองเจ้าตำหนักกล่าวอ่อนโยนว่า “พี่ใหญ่ หากท่านจะโมโห ก็ให้มาลงที่ข้า ไยต้องไปโมโหใส่เด็กน้อยคนหนึ่งด้วย”
เจ้าตำหนักใหญ่สะบัดมือทิ้ง กล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “นับวันเจ้ายิ่งกล้าขึ้นทุกวัน”
รองเจ้าตำหนักยิ้มกล่าวว่า “ความกล้าข้าจริงๆ แล้วไม่ได้มากมายอะไร แต่เล็กจนโตล้วนไม่กล้าทำเรื่องนอกกรอบ ไหนเลยจะใจกล้าเหมือนพี่ใหญ่ ปิดบังคนตั้งมากมาย ถึงกับได้ขึ้นเป็นเจ้าตำหนักใหญ่อย่างราบรื่นได้อีก ทุกคนต่างชื่นชมท่าน แม้ว่าพวกเขารู้ว่าตอนนั้นท่าน…”
วาจาเขากล่าวไม่จบ เพราะสายตาเจ้าตำหนักใหญ่ราวกับน้ำแข็งเย็นเยียบจ้องสะกดเขาไว้ แม้ว่าเจ้าตำหนักไม่กล่าวอันใด แต่สายตาเช่นนี้เห็นชัดว่ากำลังเตือนว่าหากเขาพูดต่อไป ก็จะไม่คำนึงถึงความเป็นพี่น้องอีกแม้แต่น้อย จะลงมือกับเขาแล้ว รองเจ้าตำหนักจึงได้แต่หัวเราะ กล่าวเบาๆ ว่า “พี่ใหญ่ เขาไปแล้วก็แล้วไป ไยท่านต้องพาเขากลับมาอีก ยังจะปกป้องเขาอีก ยังจะต้องกังวลเรื่องอู๋จือฉีอีก ท่านลำบากมากจริงๆ”
เจ้าตำหนักใหญ่หัวเราะกล่าวว่า “เอาละ วาจาเหลวไหลเช่นนี้พูดไปจะยังมีความหมายอะไร เจ้ามีคนมีความสามารถเป็นตัวเลือกที่ดีไหม”
รองเจ้าตำหนักยักไหล่กล่าวว่า “ข้าเลือกรั่วอวี้ แต่ท่านทำเขาบาดเจ็บแล้ว” น้ำเสียงนั้นเหมือนกับตำหนิเขา เจ้าตำหนักใหญ่นิ่งเงียบเป็นนาน จริงๆ แล้วเดิมเขาก็คิดจะไปแดนปรภพช่วยคนออกมาด้วยตนเอง เรื่องนี้มอบหมายให้ผู้อื่นทำ เขาไม่อาจวางใจ เขากำลังจะกล่าวความคิดตนเองออกมา พลันเห็นรองเจ้าตำหนักหลุบตาลงทำท่าราวกับไม่ใส่ใจ
ท่าทางเช่นนี้เขาคุ้นเคยมาก เจ้าตำหนักใหญ่รู้มาตลอดว่าคนคนหนึ่งจะทำการใดต้องไม่แหวกหญ้าให้งูตื่น จึงจะประสบความสำเร็จได้ ดังนั้นเขาจึงไม่เคยคิดใส่ใจรองเจ้าตำหนัก เพราะเขามีจุดอ่อนอย่างมากอันหนึ่ง ขอเพียงเขาคิดหลอกลวง คิดเรื่องชั่วเมื่อใด สายตาก็จะหลุบลง ทำท่าทางไม่ใส่ใจ
ยามนี้เขาหลุบตาลง เห็นชัดว่ามีแผนการในใจ เจ้าตำหนักใหญ่จะกล่าวก็กลับกลืนวาจากลับลงไป คิดไปคิดมาก็พอเริ่มเข้าใจ เขาต้องคิดฉวยโอกาสที่ตนเองไปแดนปรภพครั้งนี้ทำร้ายซือเฟิ่ง รั่วอวี้เป็นศิษย์เขา ไหนเลยจะกล้าแทงซือเฟิ่ง เห็นชัดว่ามีคนบงการเบื้องหลัง
เยี่ยม เผ่าครุฑยากมีเลือดแท้สิบสองก้านปีก ส่วนใหญ่ขอเพียงมีเลือดแท้สิบสองก้านปีกก็จะได้เป็นเจ้าตำหนัก หลังเขาได้เป็นเจ้าตำหนักใหญ่ก็ต้องสืบทอดตำแหน่งต่อให้อวี่ซือเฟิ่ง เพราะนอกจากเขา อวี่ซือเฟิ่งเป็นครุฑสิบสองก้านปีกเพียงคนเดียว ดังนั้นให้เขาไปแดนปรภพเสี่ยงอันตรายที่อาจถึงแก่ชีวิตก่อน แล้วค่อยฉวยโอกาสช่วงที่เขาไปแดนปรภพกำจัดอวี่ซือเฟิ่งที่ยังอ่อนกำลัง เช่นนี้ตำแหน่งเจ้าตำหนักก็ย่อมตกเป็นของเขาอย่างแน่นอน
แผนการนี้จะใช่แผนการในใจเขาไหม เจ้าตำหนักใหญ่มองจ้องรองเจ้าตำหนักตรงหน้าเงียบๆ ในใจลังเลตัดสินใจไม่ได้ ไม่ ไม่ เขาไม่ควรแล้งน้ำใจเช่นนี้ ที่เขาต้องการ ไม่น่าจะแค่นี้ ความลับยิ่งใหญ่ที่สุดของตำหนักหลีเจ๋อ เขารู้แล้ว?
พริบตาเขาก็คิดไปมากมาย จากนั้นกล่าวว่า “อืม…เรื่องตัวเลือกข้าค่อยคิดอีกที ลูกกุญแจให้เจ้าดูแลไปก่อน รอให้ข้าหาตัวเลือกได้ครบค่อยว่ากัน เรื่องนี้ยังต้องวางแผนอีกหลายปี ไม่รีบในตอนนี้ ยิ่งถึงห้วงเวลาสำคัญ ก็ยิ่งต้องหนักแน่น”
เขาหันหลังจะกลับ ขณะจมในห้วงความคิด ไม่ทันได้ใส่ใจอารมณ์ความรู้สึกอวี่ซือเฟิ่งที่อยู่ข้างๆ อวี่ซือเฟิ่งมองเขาเดินออกไปไกลสองสามก้าว พลันแขนเสื้อโดนกระตุก รองเจ้าตำหนักกระซิบข้างหูเขา เผยรอยยิ้มบางกล่าวว่า “เจ้าค้างน้ำใจข้าครั้งหนึ่ง ข้าช่วยเจ้าสังหารศัตรูหัวใจแล้ว ซือเฟิ่ง เจ้าจะขอบคุณข้าอย่างไรดี”
อวี่ซือเฟิ่งพลันตะลึงงัน ก่อนจะได้สติขึ้นทันที สีหน้าในยามนั้นซีดเผือด จ้องเขาอย่างแทบไม่อยากจะคิด น้ำเสียงสั่นกล่าวว่า “เจ้าสังหารหมิ่นเหยียนแล้ว?!”
รองเจ้าตำหนักหัวเราะดังลั่น นิ้วมือเย็นเยียบวาดผ่านแก้มเขา กล่าวเบาๆ ว่า “เจ้าเป็นเด็กรู้ความจริง พอพูดว่าศัตรูหัวใจ เจ้าก็รู้ทันทีว่าคือผู้ใด แต่ในเรื่องรักบางเรื่อง ทำไมเจ้าโง่งมได้อีก”
เขาหมายถึงอะไร อวี่ซือเฟิ่งเอาแต่จ้องมองเขา ไม่กล่าวอันใด เจ้าตำหนักใหญ่ด้านหน้าตะโกนเรียก “ซือเฟิ่ง ไปกันได้แล้ว” เขารับคำเสียงหนึ่ง มองรองเจ้าตำหนักสุดท้ายอีกแวบหนึ่ง ก่อนจะหันกายจากไปด้วยคำถามมากมายในใจ
พอตกค่ำ เจ้าตำหนักใหญ่ก็พูดขึ้นว่า “เจ้าหนุ่มนั่นยังไม่ตาย เจ้าวางใจได้” ไม่มีที่มาที่ไป อยู่ๆ ไม่รู้จริงๆ ว่าเขาพูดถึงอะไร อวี่ซือเฟิ่งกลับพยักหน้า ในที่สุดในใจก็สบายใจลงมาหน่อย ก่อนจะจมสู่ห้วงความคิดอย่างรวดเร็ว นิ่งเงียบไปตลอดคืน
******
การกระทำของตำหนักหลีเจ๋อ อวี่ซือเฟิ่งไม่เห็นด้วย แต่ไม่คิดยุ่งเกี่ยว ยามนี้กลุ่มคนที่รวมตัวกันที่เขาปู้โจวซานพวกนั้นถูกทำลายไปแล้ว ในระยะเวลาสั้นๆ ความหวังที่เจ้าตำหนักใหญ่คิดอยากจะทำลายสำนักบำเพ็ญเซียนทั้งหมดก็คงไม่อาจเป็นจริงได้ นับประสาอันใดกับในตำหนักยังมีรองเจ้าตำหนักที่เจ้าเล่ห์เพทุบาย มีเขาคอยฉุดรั้ง เชื่อว่าเจ้าตำหนักใหญ่ไม่อาจคิดอะไรพลการ
วันนั้นที่เกาะฝูอวี้ วาจารองเจ้าตำหนัก เขายังคงคิดไปมาหลายตลบมาตลอด เขาว่าเจ้าตำหนักใหญ่ตอนหนุ่มเคยทำความผิดที่ไม่อาจแก้ไข แท้จริงแล้วคือความผิดอะไร เขาพูดจาคลุมเครือ แยกวิเคราะห์ไม่ออก นับประสาอันใดกับตำหนักหลีเจ๋อกฎระเบียบดังขุนเขา คนทำผิดมหันต์ไม่ว่าอย่างไรก็คงไม่อาจเป็นเจ้าตำหนักได้ เขาพลันสว่างวาบ ไม่ใช่สิ! แต่ไรมาตำหนักหลีเจ๋อมีเพียงเจ้าตำหนักคนเดียว มาถึงยุคนี้จึงได้มีรองเจ้าตำหนัก แยกกันดูแลตำหนักซีโต้วกงกับตำหนักจินกุ้ยกง หรือว่าเพราะเจ้าตำหนักใหญ่เคยทำผิด ดังนั้นอดีตเจ้าตำหนักจึงได้แยกตำแหน่งสูงสุดออกเป็นสองส่วน จะได้ให้รองเจ้าตำหนักคอยคุมเขา?
ใช่แน่ เจ้าตำหนักใหญ่มีเลือดครุฑสิบสองก้านปีกที่สูงส่งที่สุด เขาได้ตำแหน่งเจ้าตำหนักก็ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่ต้องคิด แต่เพราะเขาทำความผิดจนไม่อาจให้อภัย ดังนั้นอดีตเจ้าตำหนักก่อนสิ้นใจจึงได้แต่งตั้งตำแหน่งรองเจ้าตำหนัก เห็นชัดว่าในใจเขานั้นไม่พอใจต่อการรับตำแหน่งสืบทอดของเจ้าตำหนักใหญ่
เจ้าตำหนักใหญ่เคยทำความผิดอะไรกัน
คำถามนี้ผุดขึ้นมาในความคิดเขาทันที เขาไม่อาจระงับได้อีก คิดไปมาราวกับสายน้ำไหล ตอนคำสาปคู่รักกำเริบ เขาเจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหว แต่หูไม่ได้ดับไปด้วย ได้ยินบทสนทนาหลิ่วอี้ฮวนกับเจ้าตำหนักใหญ่ชัดเจน ดังนั้นจึงเริ่มสงสัย บิดาแท้จริงของเขาคือผู้ใด
เจ้าตำหนักใหญ่เคยบอกว่ามารดาเขาตายไปนานแล้ว บิดาเขาเป็นชายชั่วทอดทิ้งภรรยา ไม่จำเป็นต้องคิดถึงอีก แต่ความจริงคงไม่ใช่เช่นนี้ หลายเรื่อง หลายร่องรอย ทำให้เขาตระหนักรู้ขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง เจ้าตำหนักใหญ่กับบิดาเขาน่ามีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันบางอย่าง
หรือว่าเจ้าตำหนักใหญ่ทำความผิดเช่นเดียวกับหลิ่วอี้ฮวนตอนนั้น มีลูกนอกสมรส? ศิษย์ตำหนักหลีเจ๋อหลายคนมีครอบครัวของตนเอง ทุกปีมาเยี่ยมพวกเขาที่ตำหนัก หากแต่ไรมาอวี่ซือเฟิ่งไม่รู้จักคำว่าครอบครัวคืออะไร ความทรงจำเดียวที่มีต่อบ้านเกิดก็คือท้องฟ้าสีครามสุดลูกหูลูกตา สายลมพัดแผ่วพลิ้ว เป็นครั้งแรกในชีวิตเขาที่กางปีกค่อยๆ บินทะยาน
เขาเคยบอกกับเสวียนจีถึงบ้านเกิดตนเอง ตอนพูดนั้นก็ไม่ได้เศร้าเสียใจคิดถึงอะไร เพราะความจริงบ้านเกิดนั้นเป็นเช่นไร ในใจเขาก็ยังไม่มีภาพชัดเจนอะไร ตั้งแต่จำความได้ เขาก็อยู่ตำหนักหลีเจ๋อแล้ว
บางทีเจ้าตำหนักใหญ่คือบิดาแท้ๆ ของเขา เช่นนั้นเรื่องราวมารดาเขาเป็นอย่างไรกัน เหตุใดชื่อเฮ่าเฟิ่งจึงคุ้นหูมากเช่นนี้ เหตุใดเหมือนความทรงจำปีหนึ่งนั้นของเขาหายไปปีเดียว
คำถามน่าสงสัยมากมายทำให้อวี่ซือเฟิ่งคิดกลับไปกลับมา ยากจะหลับลง จนกระทั้งฟ้าเริ่มมีแสงรำไร เขาจึงได้ผล็อยหลับไป หลับไปไม่นานก็ได้ยินเสียงเปิดประตู มีคนผลักเข้ามา เขาลืมตาผึงขึ้นทันที เห็นเจ้าตำหนักใหญ่มายืนข้างเตียง มองเขาเงียบๆ ในมือยังมีกล่องอาหารที่เปิดฝาออก ในนั้นมีกลิ่นยาลอยออกมา กลิ่นแรงอยู่สักหน่อย
“อาจารย์…” อวี่ซือเฟิ่งเรียกเบาๆ ยังมึนงง ลุกขึ้นนั่งบนเตียง
เจ้าตำหนักใหญ่มองเขาครู่หนึ่งก็ถอนหายใจยาว วางกล่องอาหารลงบนโต๊ะ กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ซือเฟิ่ง นี่คือยาถอนคำสาปคู่รัก รีบดื่ม จัดการเรื่องติดค้างในใจก่อน ข้าจึงจะวางใจมอบตำหนักหลีเจ๋อให้เจ้า”
อวี่ซือเฟิ่งอดตกใจไม่ได้ ร้อนใจกล่าวว่า “อาจารย์! ทำไมท่าน…”
เจ้าตำหนักใหญ่กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ยาถอนคำสาปคู่รักนี้มีส่วนผสมซับซ้อนมาก มีหลายอย่างที่ไม่มีในแดนมนุษย์ ดังนั้นเป็นของมีค่าหายากยิ่ง เจ้าอย่าได้ถามนี่ถามนั่น รีบดื่มก่อนค่อยพูดต่อ”
อวี่ซือเฟิ่งยกยาชามนั้นออกมาจากกล่องอาหาร เห็นเพียงสีเหมือนสีน้ำเงินเข้มของน้ำทะเล กระจ่างใสสวยงาม ควันร้อนลอยกรุ่น ส่งกลิ่นหวานล้ำกำจายอบอวล เขากำลังจะส่งเข้าปาก พลันนึกสงสัย หยุดมือ เงยหน้าถามว่า “อาจารย์ ก่อนหน้านี้ไม่ใช่เคยบอกว่าคำสาปคู่รักไม่มียาถอน ไม่ใช่หรือ”
เจ้าตำหนักใหญ่กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “โลกนี้ไม่มียาพิษใดไม่มียาถอน เพียงแต่ว่าหากต้องถอน ก็ต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยนเท่านั้น ในเมื่อคำสาปคู่รักเกิดจากรัก ยาถอนก็ย่อมต้องขจัดความหลงใหล ทำให้เจ้าลืมความทรงจำที่ทุกข์ระทมทั้งหมด แม่นางผู้เป็นดังมารแทรกในใจเจ้าผู้นั้น ผู้ที่เจ้าทุ่มเทด้วยใจลึกซึ้ง ข้าจึงกังวลมาตลอด กลัวว่าวันหน้าเจ้าจะตำหนิข้า แต่ตอนนี้มีเวลาไม่มากแล้ว เรื่องใหญ่สำคัญ เจ้าดื่มยาถอนนี้แล้ว ข้ามีเรื่องสั่งการเจ้า”
อวี่ซือเฟิ่งนิ่งอึ้งอยู่กับที่ ในใจมีอารมณ์มากมายบอกไม่ถูก ที่แท้ไม่ใช่ยาถอน ที่เรียกว่ายาถอนก็คือลืมทุกสิ่ง ดื่มลงไปแล้ว เขาก็จะไม่ต้องทุกข์เพราะรักอีก ในใจก็จะไม่มีคนผู้นั้นอีก คำสาปคู่รักก็ย่อมสูญสลายไปเอง
เพียงแต่ เขาจะลืมได้อย่างไร
เขาค่อยๆ วางยาลง ส่ายหน้ากล่าวว่า “ข้าไม่อาจดื่ม ไม่คิดลืม”
เจ้าตำหนักใหญ่กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “เจ้ายังโง่งมอีก! ต้องให้ข้าตายก็ไม่อาจวางใจเจ้าหรือ?!”
อวี่ซือเฟิ่งตกใจยิ่ง มองเขาอย่างสงสัย เจ้าตำหนักใหญ่กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “แต่โบราณมา การแย่งชิงอำนาจน่ากลัวที่สุด ในอดีตนั้น อดีตเจ้าตำหนักโกรธแค้นที่ข้าละเมิดกฎ ดังนั้นจึงแบ่งตำแหน่งเจ้าตำหนักออกเป็นสองเพื่อบังคับข้าไว้ ตอนนี้เรื่องใหญ่ใกล้สำเร็จ ข้าต้องไปแดนปรภพด้วยตนเองสักครั้ง การไปครั้งนี้ในตำหนักหลีเจ๋อก็จะไม่มีคนปกป้องเจ้า คำสาปคู่รักเจ้ายังติดตัว จะทำให้ข้าเป็นห่วง ซือเฟิ่ง เจ้าฟังให้ดีนะ ตำหนักหลีเจ๋อจะไม่มอบให้รองเจ้าตำหนักเด็ดขาด! แม้ข้าไปครั้งนี้ล้มเหลว เจ้าก็อย่าได้เสียใจ ทำหน้าที่ปกป้องรักษาตำหนักหลีเจ๋อแทนข้า! ตำแหน่งเจ้าตำหนักเป็นของเจ้า ผู้ใดก็อย่าคิดแตะต้อง!”
วาจาเป็นชุดกล่าวจบ ในห้องก็ตกในความเงียบงันเป็นนาน นานมาก สีหน้าอวี่ซือเฟิ่งซีดเผือด กำนิ้วมือแน่น กล่าวอย่างเหนื่อยล้าเบาๆ ว่า “อาจารย์เมตตาข้ามากเช่นนี้ ศิษย์ซาบซึ้งยิ่งนัก…เพียงแต่มีเรื่องหนึ่ง ศิษย์ไม่เข้าใจ ขออาจารย์บอกข้า…เรื่องละเมิดกฎที่ท่านทำผิดตอนนั้น เหมือนพี่หลิ่วใช่ไหม…ท่านพ่อ?”
สุดท้ายคำว่าท่านพ่อแผ่วเบานั้นก็เปล่งออกมา ราวเสียงดังสนั่นหวั่นไหวกระแทกเข้ากับหูเจ้าตำหนักใหญ่ สองมือเขาสั่นเทิ้ม กล่องอาหารบนโต๊ะร่วงลงพื้นเสียงดังแตกกระจายเป็นเสี่ยง