หลังลวี่หลีลงจากรถม้า ซูจิ่นซีก็หันไปมองเยี่ยโยวเหยาด้วยความสงสัย เยี่ยโยวเหยาดึงซูจิ่นซีเข้ามาอย่างรุนแรง ก่อนจะใส่ยาให้ซูจิ่นซี
ในตอนแรก ซูจิ่นซีรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย นางคิดจะปฏิเสธเพราะต้องการหลีกหนี ทว่านางกลับพบว่า เยี่ยโยวเหยาทำด้วยความอ่อนโยน อ่อนโยนอย่างมาก นางยังเห็นสายตารักใคร่และหวงแหนของเขา
ทันใดนั้น ภายในใจซูจิ่นซีราวกับมีสิ่งใดบางอย่างดึงรั้งไว้จนรู้สึกเจ็บปวด นางไม่ได้หลบหนีอีก ทำเพียงเม้มริมฝีปากแผ่วเบา เฝ้ามองเยี่ยโยวเหยาด้วยความรู้สึกลึกซึ้ง
เมื่อเยี่ยโยวเหยาทายาเสร็จแล้ว ก็สบตากับซูจิ่นซีเข้าพอดี ดวงตาลึกลับดำขลับนั้นแอบซ่อนความโศกเศร้าทั้งหมดไว้ ทว่าสิ่งที่ซูจิ่นซีมองเห็น กลับเป็นความคลุมเครือที่ยากเข้าใจ
“เยี่ยโยวเหยา” ซูจิ่นซีเม้มริมฝีปากแผ่วเบา
“ซูจิ่นซี เจ้ายังต้องการหย่าขาดกับข้าหรือไม่? ” เยี่ยโยวเหยาค่อยๆ เอื้อมมือจับคางซูจิ่นซี
เมื่อเผชิญหน้ากับเยี่ยโยวเหยา ได้มองใบหน้าที่คุ้นเคย โครงหน้าอันงดงามหล่อเหลา ในใจซูจิ่นซีจึงไม่อาจควบคุมความเจ็บปวดไว้ได้
“ต้องการ ต้องการแน่นอน! เยี่ยโยวเหยา หม่อมฉันจะไม่กลับไปที่จวนโยวอ๋องอีกแล้ว”
หลังสิ้นเสียงพูดของซูจิ่นซี ทันใดนั้นใบหน้าเย็นชาของเยี่ยโยวเหยาก็ก้มลงมาบดขยี้ริมฝีปากของนางอย่างหนักหน่วง
ริมฝีปากเย็นชาของเขา ทำให้บรรยากาศครุกรุ่นยิ่งขึ้น ทำให้ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้าน นางตอบสนองด้วยการหลบหลีก ทว่าเยี่ยโยวเหยากลับใช้มือรั้งศีรษะซูจิ่นซีไว้ได้อย่างง่ายดาย และกดนางชิดติดกับผนังรถม้า ไม่เปิดโอกาสให้นางหลบหนี
ความใกล้ชิดและการจุมพิตนั้น อบอวลไปด้วยเสน่หาอันหอมกรุ่น เยี่ยโยวเหยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงทรงพลัง “ซูจิ่นซี หากข้าไม่ปล่อยเจ้าไปหนึ่งวัน เจ้าก็ต้องเป็นพระชายาอีกหนึ่งวัน หากไม่กลับไปจวนโยวอ๋อง เช่นนั้นเจ้าคิดจะไปที่ใด? ว่าอย่างไร? ”
หัวใจของซูจิ่นซีถูกพลังแห่งความอ่อนโยนของเยี่ยโยวเหยาหลอมละลาย ทว่านางยังดึงดันไม่ยอมแพ้ “แผ่นดินกว้างใหญ่ ต้องมีสถานที่ให้หม่อมฉันอยู่ได้อย่างสงบบ้าง ไปที่ใดก็ได้ ขอเพียงไม่กลับไปเท่านั้น”
“เช่นนั้นข้าจะยึดครองใต้หล้า ให้เจ้าไร้ที่อยู่”
รถม้าค่อยๆ ขับเคลื่อนออกไป สายลมพัดผ้าม่านที่ติดบนผนังรถม้าให้โบกสะบัด ฮูหยินปี้ แม่นมเจิ้ง ลวี่หลี และคนอื่นๆ ที่ยืนอยู่หน้าประตูจวนสกุลซู ยังมีผู้คนที่เดินอยู่ด้านนอก ล้วนมองเห็นเยี่ยโยวเหยาใช้กำลังจุมพิตซูจิ่นซีอยู่ด้านในรถม้า
ฮูหยินปี้และแม่นมเจิ้งต่างตกตะลึง ลวี่หลีตกใจจนแก้มทั้งสองแดงก่ำ
“อ๋า… โยวอ๋อง… ”
“ท่านอ๋อง… ท่านอ๋อง… ”
“ท่านอ๋อง… ท่านอ๋อง… ”
……
ทันใดนั้น เสียงของเหล่าสตรีก็ดังขึ้นด้วยความประหลาดใจ
ยิ่งไปกว่านั้น นึกไม่ถึงว่าเหล่าสตรีทั้งหลายจะตกตะลึงกับภาพที่เห็นในรถม้า หัวใจพลันแตกสลายจนหมดสติล้มกองกับพื้น
สตรีบางคนยังวิ่งไล่ตามรถม้าที่ไกลออกไป กระทั่งวิ่งไม่ไหวจึงยอมแพ้ล้มลงกับพื้น
จนกระทั่งรถม้าเคลื่อนออกไปไกลเรื่อยๆ และกำลังจะลับสายตาไป ภายในป่าไผ่เล็กไม่ไกลจากจวนสกุลซูนัก อวิ๋นจิ่นกำลังขี่ม้าสีขาวใกล้เข้ามา
รอยยิ้มของอวิ๋นจิ่นราวกับมีเพื่อซูจิ่นซีเพียงผู้เดียว ใบหน้าของเขาในตอนนี้แม้ไม่ถึงกับเย็นชา ทว่ายังคงจริงจัง สัมผัสความอบอุ่นไม่ได้แม้แต่น้อย
“ไป! ”
ขาทั้งสองหนีบท้องม้า มือกุมบังเหียน ไล่ตามรถม้าของเยี่ยโยวเหยากับซูจิ่นซี
ภายในรถม้า ผ่านไปเป็นครู่ใหญ่ เยี่ยโยวเหยาถึงปล่อยซูจิ่นซี ซูจิ่นซีถูกจุมพิตจนแก้มแดงก่ำราวกับเมาสุรา แววตาแฝงความเสน่ห์หา นางเม้มริมฝีปากแน่นพลางหันศีรษะไปทางอื่น ทว่าไม่รู้ภายในใจครุ่นคิดอันใด จึงหันหน้ากลับมามองเยี่ยโยวเหยาอีกครั้ง
ดวงตาของทั้งคู่พลันสบกัน “เยี่ยโยวเหยา ท่าน… ก่อนหน้านี้ท่านเคยจูบสตรีเช่นนี้หรือไม่? ”
เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วด้วยท่าทางเย็นชา
ซูจิ่นซีดูไม่ค่อยสดใส ใบหน้าแดงก่ำจนควบคุมไม่ได้ “เหตุใด… ท่านถึงมีฝีมือร้ายกาจเช่นนี้”
ให้ตายเถิด เหมือนผ่านประสบการณ์มามากมายและช่ำชองเรื่องเช่นนี้
“ฮ่าฮ่าฮ่า… ”
ทันใดนั้น เยี่ยโยวเหยาก็ระเบิดหัวเราะเสียงดัง เขายกแขนกว้างใหญ่รั้งซูจิ่นซีเข้ามาในอ้อมกอด
ใบหูของซูจิ่นซีแนบชิดที่ทรวงอกของเยี่ยโยวเหยา รู้สึกได้ถึงเสียงหัวใจเต้นแรงและจังหวะลมหายใจของเขาอย่างชัดเจน ทั้งได้ยินน้ำเสียงเย็นชาอันทรงพลังและเสียงแห่งความสุข
“ซูจิ่นซี เจ้าลองเดาดูสิ”
เดาดู?
บ้าเถิด เรื่องเช่นนี้ จะให้นางเดาได้อย่างไร?
ระยะห่างระหว่างพวกเขามีถึงสามพันปีเชียวนะ! อดีตที่ผ่านมา นางเองก็ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน จะรู้ได้อย่างไรว่าดีหรือไม่?
อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีนึกเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ทั้งยังเป็นเรื่องที่ทำให้นางหน้าแดงและตื่นเต้น
ก่อนหน้านี้ นางบังเอิญเห็นสิ่งเหล่านี้ในหนังสือประวัติศาสตร์ ในหนังสือมีบันทึกไว้ว่า เรื่องบนเตียงของบุรุษในสมัยโบราณ มักมีวุฒิภาวะทางเพศก่อนวัย
ชนชั้นสูงศักดิ์ที่มีทั้งกำลังและอำนาจ กระทั่งตอนที่ยังเป็นเด็ก ก็มีการจัดเตรียมสาวใช้ไว้คอยรับใช้เรื่องบนเตียง
เยี่ยโยวเหยาเป็นถึงโอรสกษัตริย์ เป็นเสด็จลุง เป็นท่านอ๋อง ทั้งยังเป็นผู้ควบคุมอำนาจในราชสำนัก ตั้งแต่เล็กจนโต ข้างกายของเขาต้องมีสตรีเข้าหาไม่ขาดสายเป็นแน่
คิดมาถึงตรงนี้ ทันใดนั้น ซูจิ่นซีก็รีบกระโดดออกจากอ้อมแขนของเยี่ยโยวเหยาและย้ายไปนั่งอีกฝั่งของรถม้า พยายามนั่งให้ห่างจากเยี่ยโยวเหยา นางรู้สึกหงุดหงิดราวกับภายในใจมีบางสิ่งยัดเยียดเข้ามา
“เป็นอันใด? ” เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วมุ่น
“ไม่มีอันใดเพคะ”
ซูจิ่นซีค่อยๆ ยกมือทัดเส้นผมไว้หลังใบหู เหมือนพยายามปิดบังบางสิ่งบางอย่าง ใบหน้าหันไปมองนอกหน้าต่าง
“มานี่สิ! ”
เยี่ยโยวเหยากางแขนที่โอบกอดซูจิ่นซีไว้ก่อนหน้านี้ ก่อนจะพูดกับซูจิ่นซีด้วยน้ำเสียงเย็นชาเล็กน้อย
ซูจิ่นซีมองเยี่ยโยวเหยาพลันรู้สึกปวดร้าวอยู่ในใจ นางไม่ได้พูดอันใด ทำเพียงหันไปมองด้านนอกหน้าต่างอีกครั้ง
“มานี่สิ”
เยี่ยโยวเหยาเน้นย้ำอีกครั้ง ทว่าซูจิ่นซียังคงไม่ขยับเขยื้อน
หากเวลานี้ องครักษ์และองครักษ์เงาของเยี่ยโยวเหยาที่อยู่ด้านนอกมองเห็นการกระทำภายในรถม้า พวกเขาต้องตกตะลึงอีกครั้งเป็นแน่
โยวอ๋องผู้มีฐานะสูงส่ง ไม่เห็นสิ่งใดอยู่ในสายตา ไม่มีผู้ใดกล้าขัดคำสั่ง นึกไม่ถึงว่ายังต้องยอมแพ้ต่อพระชายาของตน
ซูจิ่นซีหยุดนิ่งครู่ใหญ่ เยี่ยโยวเหยาจึงขยับตัวไปด้านข้างซูจิ่นซี และรั้งศีรษะของซูจิ่นซีมาไว้ในอ้อมกอดของตนอีกครั้ง
ซูจิ่นซีต้องการขัดขืน ทว่าถูกเยี่ยโยวเหยาจับไว้แน่น
“เยี่ยโยวเหยา… ” ซูจิ่นซีต้องการพูดอันใดบางอย่าง ทว่าเยี่ยโยวเหยาพูดแทรกขึ้นก่อนว่า “ซูจิ่นซี ข้ามีเจ้าเป็นสตรีเพียงคนเดียว เพียงคนเดียวเท่านั้น”
ซูจิ่นซีที่กำลังผลักไสมือของเยี่ยโยวเหยาพลันหยุดนิ่ง นางค่อยๆ แนบชิดร่างกายของเยี่ยโยวเหยา หลับตาอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างสงบนิ่ง
ไม่รู้ว่าแววตาที่ลึกซึ้งของเยี่ยโยวเหยากำลังคิดอันใด เขาจับมือข้างซ้ายของตนเอง ผ่านไปครู่หนึ่ง เยี่ยโยวเหยาก้มหน้ามองซูจิ่นซี เมื่อเห็นซูจิ่นซีหลับไปแล้ว จึงยกยิ้มมุมปากแผ่วเบา เผยให้เห็นรอยยิ้มแห่งความรักใคร่ ก่อนจะหยิบจดหมายออกมา และเริ่มต้นจัดการจดหมายทีละฉบับอย่างจริงจัง
เยี่ยโยวเหยาใช้มือเพียงข้างเดียวหยิบจดหมายและเปิดจดหมาย ส่วนมืออีกข้างถูกซูจิ่นซีทับไว้จึงไม่กล้าขยับเขยื้อน เขาเกรงว่าหากขยับตัวจะทำให้ซูจิ่นซีตื่น
ตอนที่ซูจิ่นซีตื่นนอน เป็นเวลาที่พระอาทิตย์กำลังตกดิน แสงแดดสาดส่องไปทั่วรถม้าที่ค่อยๆ ขับเคลื่อนไปยังเส้นทางหลักนอกเมือง สายลมพัดผ่านผ้าม่านแผ่วเบา ซูจิ่นซีมองเห็นทิวทัศน์สุดขอบฟ้าซึ่งแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงอันงดงามได้อย่างชัดเจน
ทันใดนั้น ซูจิ่นซีก็นึกถึงช่วงเวลายามตะวันตกดินในเรือนชิงโยวจวนโยวอ๋อง