ซูจิ่นซีถูกเยี่ยโยวเหยารั้งแขนไว้จนรู้สึกเจ็บ ร่างของนางใกล้ชิดกับร่างกายที่เย็นเฉียบของเขา นางเป็นเพียงสตรีร่างเล็ก เมื่อเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ก็สบเข้ากับนัยน์ตาดำขลับแสนเย็นชาของเยี่ยโยวเหยาพอดี
ภายในใจของซูจิ่นซีพลันรู้สึกถึงความเจ็บปวด ทว่ายังคงแสดงออกอย่างยั่วโมโหและดื้อรั้นเหมือนเคย นางจ้องตาเยี่ยโยวเหยาด้วยความขึงขัง “ในพระทัยของท่านอ๋องมีหม่อมฉันหรือไม่? ท่านอ๋องให้หม่อมฉันเป็นสตรีของท่านใช่หรือไม่? เช่นนั้นหม่อมฉันนับเป็นสิ่งใดกันแน่? ราวกับ… เป็นเพียงพระชายาในนามใช่หรือไม่? ”
เมื่อเอ่ยถึงประโยคสุดท้าย สีหน้าของซูจิ่นซีก็แปรเปลี่ยน กระทั่งนางเองยังต้องหันหลังกลับไปหัวเราะเยาะตนเองอย่างควบคุมไม่ได้
ดวงตาดำขลับของเยี่ยโยวเหยาหรี่ลง ปิดบังความเจ็บปวดไว้ภายใต้แววตาที่ยากจะคาดเดา พลางพูดเสียงดุดันว่า “ซูจิ่นซี ข้าจะถามอีกครั้ง เจ้าจะไปหรือไม่? ”
“ไม่ไป ไม่ไป! หม่อมฉันไม่ไป! เยี่ยโยวเหยา… หม่อมฉันต้องการหย่าขาดกับพระองค์! ”
ซูจิ่นซีตะโกนซ้ำๆ และดิ้นรนสุดกำลังเพื่อสลัดตัวให้หลุดจากการควบคุมของเยี่ยโยวเหยา
เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วเคร่งเครียด ด้วยไม่เข้าใจคำพูดประโยคท้ายของซูจิ่นซี “หย่า? ”
ซูจิ่นซีหยุดชะงักเล็กน้อย ก่อนจะดิ้นรนต่อไป “ก็คือหย่าเพคะ! เยี่ยโยวเหยา หม่อมฉันต้องการหย่าขาดกับพระองค์! ”
หย่าขาด?
ฮูหยินปี้ แม่นมเจิ้ง และคนอื่นๆ ที่เดินไปส่งซูจิ่นซีด้านหน้าประตูต่างตกตะลึงในทันที แม้แต่องครักษ์เงา JX กับเหล่าองครักษ์ที่หลบอยู่ในเงามืด หรือแม้แต่ JX2 ที่คาบหญ้าไว้ในปาก ก็ตกใจอ้าปากค้างจนหญ้าฟางหล่นลงบนพื้น
ไม่เคยมีสตรีนางใดกล้าพูดว่าจะหย่าขาดกับสามี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นถึงโยวอ๋องผู้กุมอำนาจทั้งราชสำนักของแคว้นจงหนิง
พระชายาโยวอ๋องไม่ต้องการมีชีวิตอยู่แล้วหรือ?
“ซูจิ่นซี เจ้าพูดใหม่อีกครั้ง! ” เยี่ยโยวเหยาพูดเสียงเย็นชา
ภายในใจซูจิ่นซีสั่นสะท้าน นางคิดว่าเยี่ยโยวเหยาฟังได้ไม่ชัดเจน จึงเชิดหน้าพูดอีกครั้งว่า “เยี่ยโยวเหยา… หม่อมฉัน… หม่อมฉันต้องการหย่าขาดกับพระองค์”
หลังสิ้นเสียงพูดของซูจิ่นซี ทันใดนั้น ร่างของนางก็ถูกเยี่ยโยวเหยาดึงเข้ามาประชิดตัว จากนั้นซูจิ่นซีก็รู้สึกเพียงดวงตาของนางมืดสนิทและความเจ็บปวดที่ลำคอ
นึกไม่ถึงว่าเยี่ยโยวเหยาจะกัดลำคอของซูจิ่นซี
หลังจากที่สติของซูจิ่นซีกลับคืนมาเพราะทนต่อความเจ็บปวดไม่ไหว นางจึงผลักเยี่ยโยวเหยาออกไปแล้วพูดว่า “เยี่ยโยวเหยา… พระองค์บ้าไปแล้วหรือ? ปล่อยหม่อมฉัน! ปล่อยหม่อมฉัน! ”
น่าเสียดาย พละกำลังของนางมีจำกัด เยี่ยโยวเหยาแข็งแกร่งดั่งภูเขาไท่ซาน นางดิ้นรนอย่างไรก็ไร้ผล
ชั่วพริบตา ซูจิ่นซีนึกว่าพิษสลายโลหิตในร่างกายของเยี่ยโยวเหยากำเริบ จึงต้องการดูดเลือดของนาง
ผ่านไปครู่ใหญ่ เยี่ยโยวเหยาก็ปล่อยตัวซูจิ่นซี
มุมปากเย็นชาของเขายังมีคราบเลือดของซูจิ่นซีติดอยู่ ใบหน้าถมึงทึงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ดวงตาลึกซึ้งดำขลับทำให้ผู้คนไม่กล้าสร้างความขุ่นเคือง
เยี่ยโยวเหยามองซูจิ่นซีด้วยความโกรธและเย็นชา
“ซูจิ่นซี เจ้าเป็นสตรีของข้า หลังหย่าขาดกับข้า เจ้าก็จะมีบาดแผลนี้ติดตัวไปด้วย ข้าจะดูสิว่า ในแผ่นดินนี้ยังมีผู้ใดต้องการเจ้าอีก”
ซูจิ่นซีแปลกใจกับคำพูดของเยี่ยโยวเหยา นางฝืนความเจ็บยื่นมือจับที่ลำคอ เมื่อเห็นมือที่เต็มไปด้วยเลือดก็รู้สึกเดือดดาล แม้นางจะมีกำลังไม่มาก ทว่านางยังหันไปโจมตีเยี่ยโยวเหยาด้วยกำปั้น “เยี่ยโยวเหยา ท่านมีสิทธิ์อันใด? ”
“สิทธิ์ในความเป็นเจ้าของ เจ้าคือพระชายาของข้า”
เยี่ยโยวเหยาพูดพลางใช้มืออุ้มซูจิ่นซีขึ้น และใช้มืออีกข้างโอบเอวซูจิ่นซีไว้ ดึงตัวนางขึ้นพาดไหล่ ก่อนจะเดินไปทางรถม้าใหญ่โตหรูหราคันนั้น
เสียงลมหนาวหวีดหวิวข้างใบหู ปนเปกับเสียงเย็นชาของเยี่ยโยวเหยา “ซูจิ่นซี นอกจากข้าจะไม่ต้องการเจ้าแล้ว ชีวิตนี้เจ้าอย่าได้คิดหย่ากับข้าเป็นอันขาด”
ซูจิ่นซีเม้มริมฝีปากแน่น เห็นได้ชัดว่าเยี่ยโยวเหยากำลังโกรธเคือง เห็นได้ชัดว่านี่เป็นคำพูดที่ไม่น่าฟังและเอาแต่ใจของเขา ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด ในใจของนางกลับรู้สึกถึงความอบอุ่นที่ไหลผ่าน อบอุ่นยิ่งนัก
“ลวี่หลี ยังไม่รีบขึ้นรถไปปรนนิบัติพระชายาอีก! ”
หลังจากที่เยี่ยโยวเหยาโยนซูจิ่นซีเข้าไปในรถม้าและพาตนเองเข้าไปนั่งด้านในแล้ว ก็ตะโกนออกไปด้านนอกด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ลวี่หลีที่ยืนอยู่ด้านหลังฮูหยินปี้ตกใจกลัวเป็นอย่างมาก นี่เป็นครั้งแรกที่เยี่ยโยวเหยาเรียกชื่อนาง นางทั้งหวาดกลัวและตื่นตระหนก จึงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับ
ฮูหยินปี้ผลักลวี่หลีไปทีหนึ่ง “เด็กโง่ ยืนเหม่ออันใดอยู่? ยังไม่รีบไปอีก! ”
“เพคะ! ”
เมื่อลวี่หลีได้สติก็ส่งเสียงตอบรับ ทว่าขาทั้งสองยังคงไร้เรี่ยวแรง นางเดินตัวลอยโดยไม่รู้ว่าตนเองเดินไปทางรถม้าได้อย่างไร และไม่รู้ว่าตนเองขึ้นไปบนรถม้าได้อย่างไร
ท่านอ๋องช่างโหดเหี้ยมเสียจริง !
นี่เป็นครั้งแรกที่ลวี่หลีนั่งอยู่ในรถม้าคันเดียวกับคุณหนูและท่านอ๋อง และยังเป็นรถม้าคันใหญ่โตหรูหราอีกด้วย
รถม้าที่หรูหราเช่นนี้ กระทั่งรัชทายาทคงไม่เคยได้ประทับมาก่อนกระมัง? คาดว่ายังหรูหรายิ่งกว่ารถม้าที่ฮ่องเต้ทรงใช้ในการเสด็จตรวจเยี่ยมราษฎรเสียอีก
ลวี่หลีขึ้นไปบนรถม้าและนั่งลงตรงข้ามซูจิ่นซี ที่อยู่เยื้องกับนางคือเยี่ยโยวเหยา รัศมีเย็นชาจากร่างกายของเยี่ยโยวแผ่ซ่านกดดันข่มขวัญผู้คน จนทำให้รถม้าทั้งคันแทบพลิกคว่ำ
ลวี่หลีตื่นกลัวจนไม่กล้าหายใจเสียงดัง ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้า นางรู้สึกได้ว่าสองมือสองขาของนางไม่ใช่ของตนอีกต่อไป ทั้งไม่รู้ว่าควรตอบสนองอย่างไร
“ยังไม่รีบใส่ยาให้พระชายาอีก? ” เยี่ยโยวเหยากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ร่างกายลวี่หลีสั่นเทาด้วยความตกใจ
ใส่… ใส่ยา?
นางพบว่าบนโต๊ะเล็กที่อยู่ตรงกลางรถม้ามีขวดยาใบเล็กวางอยู่ ด้านข้างยังมีอุปกรณ์ทายาและผ้าสะอาด
ในเวลานี้ลวี่หลีไม่ทันได้คิดว่า เหตุใดในรถม้าถึงมียาพวกนี้ นางยื่นมือออกไปหยิบขวดยาทันที ทว่าตอนที่นางเอื้อมมือหยิบขวดยานั้น จู่ๆ มือกลับสั่นเทาจนทำให้ขวดยาตกลงบนพื้น
แม้ลวี่หลีจะก้มศีรษะลงต่ำ ไม่ได้เงยหน้ามองเยี่ยโยวเหยา ทว่านางสามารถรับรู้ได้ถึงอารมณ์ฉุนเฉียวของเขา
ขวดยาตกไปอยู่ข้างเท้าซูจิ่นซี ลวี่หลียื่นมือไปเก็บ ทว่าซูจิ่นซีกลับเก็บขวดยาขึ้นมาเสียก่อนและประคองตัวลวี่หลีขึ้น
“ไม่ต้องกลัว! ”
ซูจิ่นซีมองออกว่าลวี่หลียังคงหวาดกลัว จึงปลอบใจนาง และด่าทอเยี่ยโยวเหยาอย่างรุนแรงภายในใจ
ทำให้คนตกใจถึงเพียงนี้ คงเป็นผู้ใดไปไม่ได้อีกแล้ว
เมื่อลวี่หลีเห็นแววตาที่อ่อนโยนของซูจิ่นซี ความตึงเครียดในใจจึงผ่อนคลายลงเล็กน้อย ทว่ายังไม่กล้าวางใจ นางถือขวดยาแน่น ก่อนจะเคลื่อนตัวไปด้านข้างซูจิ่นซี และใส่ยาตรงรอยกัดที่ลำคอ
นี่เป็นครั้งแรกที่ลวี่หลีเห็นเยี่ยโยวเหยาโหดร้ายกับซูจิ่นซี และเป็นครั้งแรกที่เห็นเยี่ยโยวเหยา ‘กัด’ ซูจิ่นซี
เมื่อมองดูบาดแผลที่มีเลือดไหล ลวี่หลีก็ตกใจจนอดนึกถึงเรื่องก่อนหน้านี้ไม่ได้ ในความคิดปรากฏภาพการกระทำของเยี่ยโยวเหยาที่แนบใบหน้ากับลำคอของซูจิ่นซี ทำให้เด็กสาวที่อ่อนต่อโลกอย่างนาง แก้มแดงก่ำขึ้นมาในทันที จนไม่ทันได้ใส่ใจน้ำหนักมือ เผลอใช้แรงทายามากไปโดยไม่ตั้งใจ
“ซี๊ด! ”
ซูจิ่นซีหรี่ตาลง มุมปากยกขึ้นส่งเสียงแผ่วเบา
“เจ้าโง่”
เยี่ยโยวเหยาสบถด่าเสียงต่ำ ก่อนจะแย่งขวดยาจากมือลวี่หลี “ไสหัวไป! ”
ลวี่หลีตกใจอีกครั้ง นางตอบสนองในทันที รีบออกจากรถม้าไป
เพิ่งกระโดดลงจากรถม้า สองขาของลวี่หลีพลันอ่อนแรงทรุดตัวลงกับพื้น
นางกลัวท่านอ๋องจริงๆ !!!
หวาดกลัวมาตลอด!
ฮูหยินปี้รีบให้คนเข้าไปประคองลวี่หลีขึ้นมา
“แม่หนู เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? ”
ลวี่หลีใบหน้าขาวซีด ทำเพียงส่ายศีรษะอย่างไร้เรี่ยวแรง
ฮูหยินปี้อดหันไปทางรถม้าด้วยสายตาเคร่งเครียดไม่ได้ โยวอ๋องเจ้าอารมณ์ทั้งยังเย็นชา ท่าทางของเขาในวันนี้น่าหวาดกลัวยิ่งกว่าเมื่อก่อนเสียอีก
นางกังวลใจแทนพระชายาจริงๆ !
เมื่อครู่อารมณ์โกรธของท่านอ๋องปะทุขึ้นจนกัดพระชายาเช่นนั้น ไม่รู้ว่าต่อไปจะเกิดอันใดขึ้นอีก