บทที่ 1452 – ไปที่จักรวรรดิเหยียนอีกครั้ง มรดกแห่งจอมอสูร

 

เมื่อเขามองตามทั้ง 4 คนที่เดินจากไปอย่างช้าๆ จิน ชื่อก็สงสัยว่าประมุขอสูรนั้นจะรับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่เขามีต่อนางหรือไม่ เขาไม่เคยมีความกล้ามากพอในเรื่องความรักหรือตัดสินใจที่จะทำอะไรสักอย่างเพื่อความรักเลย

 

ปกติแล้วซาน ยูและฮัว รูเหม่ยนั้นจะขี่สัตว์อสูรตัวเดียวกันอยู่แล้ว ยิ่งตอนนี้พวกเขาเป็นคู่แต่งงานใหม่ด้วยเช่นกัน ทำให้ชิงสุ่ยต้องไปขี่สัตว์อสูรตัวเดียวกันกับประมุขอสูร

 

ชิงสุ่ยไม่เข้าใจหญิงสาวผู้นี้ นางไม่ได้แสดงความไม่เต็มใจที่จะต้องนั่งใกล้เขามีเพียงความเฉยชาเท่านั้น แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางเป็นเช่นนี้

 

ชิงสุ่ยนั่งลงบนหลังของเต่าเฒ่าขณะที่หญิงสาวผู้นี้ยืนอยู่ข้างๆเขา นางยังคงสูงศักดิ์และเย็นชาอยู่ตลอดเวลา เขามักพูดไม่ออกและเหมือนโดนสะกดจิตทุกครั้งที่อยู่ด้วยกันกับนาง

 

แขนเสื้อของนางโบกสะบัดไปตามสายลมเมื่อเริ่มออกเดินทาง ชิงสุ่ยหลุดออกจากภวังค์ความคิดของเขาในตอนนี้จากนั้นเขาก็ยิ้มและกล่าวว่า “เหลือเวลาอีกนานกว่าเราจะถึงที่หมาย มานั่งลงและพูดคุยกันเถอะ เหตุใดเจ้าไม่พยายามเชื่อใจข้าบ้าง?”

 

ถานท่าย หลิงเยียนมองไปยังชิงสุ่ยจากนั้นตัดสินใจนั่งลงข้างๆเขา กลิ่นหอมอ่อนๆลอยไปทั่วอากาศ นี่ไม่ใช่กลิ่นหอมธรรมดาแต่เป็นกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ของหญิงสาวผู้นี้

 

เมื่อเขามองไปที่นางที่กำลังนั่งอยู่ข้างเขา ชิงสุ่ยได้แต่หัวเราะออกมา พวกเขาห่างกันเพียงแค่คืบเดียวชิงสุ่ยพยายามเข้าใกล้นางมากยิ่งขึ้นแต่ก็กลัวว่าจะเป็นการกดดันนางเกินไป ในตอนนี้พวกเขาก็ใกล้กันมากแล้ว

 

หญิงสาวไม่ได้มีท่าทีใดๆกับการกระทำของชิงสุ่ย นางเพียงนั่งลงและมองออกไปเท่านั้น

 

ดวงตาที่เย็นชาของนางไม่ได้ทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกกลัวเหมือนก่อนหน้านี้ ความรู้สึกนั้นไม่ใช่ความกลัวแต่เหมือนเป็นความรู้สึกที่ต่ำต้อย ชิงสุ่ยรู้เหมือนกับว่าตอนนี้เขาเป็นเหมือนหมูตายไม่กลัวน้ำร้อน(ไม่กลัวอะไรอีกแล้ว)อีกต่อไป

 

ชิงสุ่ยกล้าที่จะพูดคุยกับนาง ขนตาอันดกดำของนางนั้นดูน่าหลงใหลอย่างยิ่งและผิวสีขาวราวไข่มุกของนางก็เรียบเนียนดุจหยกที่เหมือนกับประติมากรรมน้ำแข็ง กลิ่นอายของนางนั้นทำให้ผู้คนโดยรอบรู้สึกด้อยกว่า

 

ชิงสุ่ยก็รู้สึกด้อยกว่าแต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากในเรื่องนี้ เขาควรจะอดทนกับความรู้สึกเช่นนี้ให้ได้มิฉะนั้นความสัมพันธ์ของเขาก็จะไม่ได้ก้าวหน้าอีกเลย

 

ในท้ายที่สุดถานท่าย หลิงเยียนก็หันหน้ามา ชิงสุ่ยเห็นความวิตกกังวลบางอย่างในสายตาของนาง นี่ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

 

“หลิงเยียน เจ้าบอกเล่าเรื่องของเจ้าเพิ่มอีกหน่อยได้หรือไม่?” ชิงสุ่ยยิ้มและถามออกไป

 

ถานท่าย หลิงเยียนตกตะลึงและหันมามองชิงสุ่ย ตั้งแต่ที่พวกเขาได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นเขาก็มีความกล้ามากพอที่จะเรียกนางด้วยชื่อของนาง “อย่าเรียกชื่อของข้า” มากล่าวด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย

 

“เช่นนั้นข้าควรเรียกเจ้าว่าอะไรดี?” ชิงสุ่ยหัวเราะ เขาคิดว่ามันคงจะดีหากได้พูดคุยเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ

 

“เรียกข้าด้วยชื่อเต็ม”

 

“มันจะไม่ยาวเกินไปหน่อยหรอ?” ชิงสุ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง

 

“เช่นนั้นข้าควรเรียกเจ้าว่าท่านหญิงถานท่ายหรือท่านหญิงหลิงเยียนดี แต่การเรียกหญิงสาวเช่นนี้นั้นฟังดูห่างเหินเกินไป ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจเรียกเจ้าว่าหลิงเยียนแทน มันดูสนิทสนมกันมากกว่า”

 

“เจ้าคิดว่าพวกเราสนิทสนมกันแล้วหรือ?” ถานท่าย หลิงเยียนรู้สึกพูดไม่ออก

 

“แล้วมีคนอื่นที่เจ้าสนิทสนมมากกว่าข้าหรือไม่?” คำพูดเหล่านี้หลุดออกไปจากปากเขาทันที

 

“ข้าผิดเอง เจ้าอย่าคิดมากในเรื่องนี้เลย” ชิงสุ่ยรีบกล่าวตามไปทันที

 

ถานท่าย หลิงเยียนเห็นว่าชิงสุ่ยรู้สึกประหม่าจึงกล่าวออกมาอย่างอ่อนโยนว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้ตั้งใจกล่าวเช่นนั้น ไม่ต้องขอโทษหรอก”

 

“ข้ากลัวว่าเจ้าจะไม่เชื่อใจข้า”

 

“หากข้ารู้สึกเช่นนั้นจริงๆ แค่ขอโทษถือว่าเพียงพองั้นหรือ?”

 

“เอ่อ ความจริง……”

 

“เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน กลุ่มมังกรอหังกาลก็มีส่วนร่วมในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน สำหรับคนอื่นๆถ้าก็ไม่ทราบเช่นกันมีเพียงเบาะแสบางอย่างเกี่ยวกับพวกเขาเท่านั้น แต่เบาะแสที่ข้ามีนั้นน้อยเกินไป หวังว่าเราจะได้อะไรจากกลุ่มมังกรอหังกาล พวกเขานั้นแข็งแกร่งอย่างยิ่งเราไม่รู้ว่าคนอื่นๆนั้นจะอยู่ในระดับเดียวกับพวกเขาหรือไม่”

 

“อย่ากังวลไปเลย เรื่องทุกอย่างต้องจบลงด้วยดี  ข้าจะอยู่กับเจ้าจนกว่าเรื่องนี้จะจบลง” ชิงสุ่ยปลอบโยนนาง

 

นางส่ายศีรษะเบาๆ “หลังจากเรื่องนี้จบลง เจ้าหัวจากไปได้แล้ว”

 

“ทำไมกัน?”

 

“เรื่องนี้ไม่ได้ง่ายดายอย่างที่เจ้าคิด เจ้าไม่ควรเอาตนเองก็มาเกี่ยวข้อง มันไม่คุ้มค่าหรอก” ถานท่าย หลิงเยียนกล่าวด้วยความสงบนิ่งขณะที่นางมองออกไปรอบข้าง

 

“เจ้าไม่ใช่ผู้ที่ตัดสินใจว่ามันคุ้มค่าหรือไม่ เป็นข้าที่ควรตัดสินใจในเรื่องนี้!”

 

“เจ้ามีครอบครัวของตัวเอง” ถานท่าย หลิงเยียนตอบกลับ

 

“ข้าไม่อาจทิ้งเจ้าเอาไว้เบื้องหลังกับปัญหาเช่นนี้ได้ ข้าทำไม่ได้อย่างแน่นอน” ชิงสุ่ยกล่าวออกมาเบาๆ เบาจนเขาก็ไม่แน่ใจว่านางได้ยินหรือไม่

 

“หยุดโง่งมเสียที เจ้าควรรู้ได้แล้วว่าเจ้าต้องทำอะไร?” หญิงสาวยืนขึ้นและเดินตรงไปที่ศีรษะของเต่าเฒ่า

 

……

 

ตลอดการเดินทางชิงสุ่ยฝึกฝนทักษะเสียงสัมผัสแห่งพระเจ้าของเขาอย่างต่อเนื่องและยังมีรูปแบบต่างๆของเขา ในเวลาเดียวกันนั้นเขาก็ซึมซับมรดกแห่งเทพสงครามไปด้วย มรดกแห่งเทพสงครามช่วยเพิ่มพลังของชิงสุ่ยได้อย่างมหาศาล แต่มันก้ยังช่วยเพิ่มความเร็วในการฝึกฝนให้แก่เขาด้วยเช่นกัน

 

ไม่กี่วันหลังจากนั้นทั้ง 4 คนก็ได้มาถึงจักรวรรดิเหยียนและพวกเขาก็บินตรงไปที่พระราชวังทันที ไม่นานหลังจากเยียนจงเยว่ได้มาถึงที่นี่

 

ผู้อาวุโสของจักรวรรดิเหยียนต่างก็ยินดีกับการมาถึงของชิงสุ่ยและชิงสุ่ยก็ไม่ได้ปกปิดการมาถึงของตนเองแต่อย่างใด กลับกันเขาแสดงตัวให้เห็นอย่างชัดเจน พวกเขาทั้ง 4 คนก็เข้าไปพักที่พระราชวังในทันที

 

คนที่นี่ก็ดูแลชิงสุ่ยอย่างดีเช่นกันเพราะพวกเขาคิดว่าเป็นพี่น้องกัน ไม่ว่าผู้ชายหรือผู้หญิงก็ดูแลพวกเขาอย่างดีเยี่ยม

 

เด็กทั้งสามคนก็สนิทสนมกับชิงสุ่ยเป็นพิเศษ พวกเขายังเรียกชิงสุ่ยว่า ‘ท่านพี่’ ได้อย่างเป็นธรรมชาติแม้จะเคยพบหน้ากันเพียง 2 ครั้งเท่านั้น แม้ว่าเหยียน ชิงถิงจะเคยเรียกเขาอีกอย่างตอนที่พบหน้ากันครั้งแรกแต่ครั้งหน้าพวกเขามีความประหม่าน้อยลง

 

“ท่านพี่ ข้ากำลังรอให้ท่านมาถึงอยู่เลย” เหยียน ชิงถิงกล่าวอย่างยินดีขณะที่นางเกาะแขนของชิงสุ่ยเอาไว้

 

“รองั้นหรือ? ข้าคิดว่าเจ้าเคยอยากจะกลืนกินข้าด้วยซ้ำ!”

 

“แน่นอนว่าไม่ ข้าเพียงแต่คิดถึงท่านก็เท่านั้น”

 

“เช่นนั้นก็ดี ข้าอยากจานำขนมต่างๆมาให้เจ้านะ แต่ข้าลืม เอาเป็นว่าครั้งหน้า ตกลงไหม?” ชิงสุ่ยหัวเราะและกล่าวออกมา

 

“อ้า ท่านมันคนใจร้าย……” เหยียน ชิงถิงมีสีหน้าที่ไม่พอใจ

 

คนอื่นๆเพียงยิ้มเมื่อได้เห็นพวกเขา หลังจากที่ได้สัญญากันหลายเรื่องชิงสุ่ยก็เดินไปที่ห้องรับแขกพร้อมกับชายชราและหญิงสาว

 

“กลุ่มมังกรอหังกาลกระทำสิ่งใดบ้างหลังจากที่พวกเราจากไป?” ชิงสุ่ยถามขึ้นทันทีที่เขานั่งลง

 

“พวกเขาไม่ได้ทำอะไรเลย”

 

“หลังจากที่คิดเล็กน้อย ข้าคิดว่ามันจะดีกว่าหากพวกเราได้รับรู้ข้อมูลภายในของกลุ่มมังกรอหังกาล” ชิงสุ่ยมองไปยังชายชราและกล่าวขึ้น

 

ก่อนหน้านี้เขาวางแผนที่จะแฝงตัวเข้าไปกลุ่มมังกรอหังกาลและสังหารบรรพบุรุษของพวกเขา แต่เมื่อคิดอีกที พวกเขาก็อาจตกอยู่ในอันตรายได้หากมีอะไรเกิดขึ้นกับผู้อาวุโสโม่หลูที่จักรวรรดิเหยียน

 

ด้วยอายุและประสบการณ์ของเขา ชายชราจึงเข้าใจความคิดของชิงสุ่ยได้ ในช่วงเวลาสั้นๆเขาก็นิ่งเงียบแล้วก็หัวเราะออกมา “เจ้าเฒ่านั่นจะต้องรีบร้อนอย่างแน่นอน เขาไม่มีเวลาเหลืออีกแล้ว”

 

เมื่อได้ยินคำพูดของชายชรา ชิงสุ่ยก็เข้าใจได้ทันทีว่าเขาไม่จำเป็นต้องรีบร้อน กลับกันมันควรเป็นอีกฝ่ายที่จะต้องตื่นตระหนกในตอนนี้ ด้วยสถาการณ์ในตอนนี้การรีบเร่งไปก็อาจทำให้พ่ายแพ้ได้ หลังจากที่คิดครู่หนึ่งเขาก็กล่าวว่า “เช่นนั้นขณะที่พวกเรากำลังรอคอยให้ศัตรูเริ่มลงมือ เราสามารถใช้เวลานี้เพื่อทำอะไรบางอย่างได้ เช่น ปราบปรามเหล่าขุมพลังรอบดินแดนแห่งนี้”

 

“ทำตามที่เจ้าต้องการเถอะ ด้วยพลังของเจ้า ตราบใดที่เจ้าเฒ่านั่นไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร”ชายชราหัวเราะและกล่าวออกมา

 

“ท่านบรรพบุรุษ ถ้าอยากตามท่านพี่ไปเหมือนกัน” หญิงสาวกล่าวขึ้นทันที

 

นี่ทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกกังวล แต่สิ่งที่ชายชราตัดสินใจล้วนเป็นเรื่องที่ดี ดังนั้นเขาจึงรู้สึกผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น

 

ตอนนี้เรื่องนี้ได้รับการตัดสินใจแล้วพวกเขาต้องรออีกสองสามวันก่อนที่เยียนจงเยว่จะกลับมาที่นี่

 

“ท่านผู้อาวุโส พรุ่งนี้เราไปเยี่ยมเยียนจักรวรรดิตะวันฉายกันเถอะ พวกเราสามารถจำกัดคนที่คุ้นเคยในอดีตออกไปได้เช่นกัน” ตลอดการทางมาที่นี่ชิงสุ่ยได้รู้เรื่องราวที่กลุ่มมังกรอหังกาลต้องการกำจัดพระราชวังจอมอสูรในอดีต

 

ชายชราไม่ได้ห้ามปรามเขา เพียงแต่ยิ้มและกล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้าก็จงระวังให้ดี เจ้าคงทราบดีถึงความแข็งแกร่งของกลุ่มมังกรอหังกาลใช่ไหม? จงจำไว้ว่าเจ้าต้องหลีกเลี่ยงที่จะปะทะกับมัน บางครั้งภัยคุกคามที่เข้ามาก็อาจไม่ใช่แค่หมนุษย์และสัตว์อสูร”

 

“ขอบคุณที่เตือนพวกเรา พวกเราจะจำเอาไว้ให้ดี” ชิงสุ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

 

“อื้ม สิ่งที่เจ้าเห็นบนโลกใบนี้นั้นมีเพียง 1 ใน 3 เท่านั้น ดังนั้นจงอย่าประมาทไป มาเถอะมาดื่มกับข้าหน่อย!” ชายชราดูเหมือนจะมีอารมณ์ที่ดียิ่งนัก

 

ครั้งที่แล้วชิงสุ่ยลืมนำสุราและน้ำชามาด้วยแต่ครั้งนี้เขานำมามอบให้ชายชราอย่างมากมาย แม้แต่ชายชราก็ต้องรู้สึกตกใจ ครั้งที่แล้วพวกเขาฉลองวันเกิดของชายชรา เขายังช่วยปรุงอาหาร แนะนำจุฬาที่ล้ำค่าออกมา นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมชิงสุ่ยไม่ได้นำของขวัญของเขามาครั้งที่แล้ว แม้ว่าสิ่งที่เขานำออกมานั้นจะดีกว่าของขวัญอื่นๆที่ชายชราได้รับ แต่เขาก็ยังบอกว่าจะนำของขวัญมามอบให้หากพบกันครั้งต่อไป

 

ชิงสุ่ยมีสุรามากมายที่เขาได้หมักบ่มเอาไว้ภายในดินแดน เหล้าน้ำค้างโอชารส เหล้าน้ำดีอสรพิษ และเหล้าเชี่ยงชุนกระดูกเสือ ยกเว้นเหล้าน้ำค้างโอชารส สุราอื่นๆล้วนมีมากมาย สำหรับสุราอย่างเช่นเหล้านารีแดง สิ่งที่เขาต้องทำก็มีเพียงโยนสุราเข้าไปภายใน ดินแดนหยกยุพราชอมตะและรอจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น

 

ในวันถัดมาทั้ง 4 คนก็ได้บอกลาชายชราและเดินทางไปยังจักรวรรดิตะวันฉาย นี่เป็น 1 ใน 3 จักรวรรดิใหญ่ของมหาทวีปมังกรอหังกาล เดิมทีพวกเขาไม่ได้คิดจะไปที่นี่เพราะพลังของจักรวรรดินี้ย่อมไม่น้อยอย่างแน่นอน แต่จักรวรรดินี้ยังไงพวกเขาก็ต้องจัดการไม่ช้าก็เร็ว พวกเขาคาดว่าขุมพลังของจักรวรรดิอื่นๆจะไม่เข้ามาข้องเกี่ยวเพราะพวกเขาไม่ด้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับกลุ่มมังกรอหังกาล

 

แต่เรื่องอื่นๆนั้นต้องได้รับการไตร่ตรองให้ดีและพระราชวังจอมอสูรนั้นมีชื่อเสียงในด้านที่เลวร้าย แม้ว่าขุมพลังส่วนใหญ่ในมหาทวีปมังกรอหังกาลนั้นไม่อาจต่อกรกับพระราชวังจอมอสูรได้ ทำให้พวกเขาต้องเลือกที่จะเข้าร่วมกับกลุ่มศัตรูของพระราชวังจอมอสูร ความน่ากลัวที่สุดคือข่าวลือที่พวกเขานั้นสร้างขึ้นมาเพื่อโจมตี อีกอย่างที่ชิงสุ่ยสงสัยนั้นคือ ทำไมพระราชวังจอมอสูรถึงได้มีชื่อว่า ‘พระราชวังจอมอสูร’ ?

 

“หลิงเยียน เหตุใดพระราชวังจอมอสูรถึงได้มีชื่อว่าพระราชวังจอมอสูร? และทำไมเจ้าถึงได้มีชื่อว่าประมุขอสูร?” ชิงสุ่ยถามหญิงสาวที่อยู่ข้างๆเขาโดยไม่ได้ลังเลแต่อย่างใด

 

สิ่งที่ถานท่าย หลิงเยียนตอบกลับมานั้นทำให้ชิงสุ่ยต้องตกตะลึง

 

“มรดกแห่งเทพสงครามที่เจ้าได้รับนั้นเป็นศัตรูกับมรดกแห่งจอมอสูร มันยังมีอีกชื่อว่ามรดกแห่งประมุขอสูร  และข้าคือผู้สืบทอดแห่งประมุขอสูร ใครจะรู้กัน วันหนึ่งพวกเราอาจจะต้องจับดาบสังหารกันเองก็เป็นได้ การต่อสู้แห่งความตายของจอมอสูรและเทพสงครามนั้นมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ” ถานท่าย หลิงเยียนมองไปยังชิงสุ่ยและกล่าวอย่างช้าๆ